1721955
สารภาพตามตรงว่าบทความวันนี้จะลักลั่น เพราะเราแอบรักพี่เสียดายน้อง เมื่อพูดถึงงานออกแบบสิ่งที่โดดเด่นมากในหนังเรื่องนี้ คือตัว AI หุ่นตุ๊กตา M3GAN แต่อีกสิ่งที่จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้ แม้มันจะเป็นแค่ฉากหลัง และบางคนอาจไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ มันคือสไตล์การออกแบบที่เรียกว่า เมมฟิส มิลาโน
พัฒนาการล่าสุด AI เก่ง โกง ฆ่า
ในช่วงบั้นปลายชีวิตของ สตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ผู้ล่วงลับไปเมื่อปี 2018 อัจฉริยะผู้ไขความลับจักรวาล เมื่อถูกถามถึงสิ่งที่อยากจะฝากไว้กับโลกนี้ เขากล่าวเรื่องนึงว่า “การพัฒนา AI เต็มรูปแบบอาจนำไปสู่จุดจบของมวลมนุษยชาติ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าความกังวลนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้เป็นมิตรอย่างที่เราคิด
แล้วเพียงหนึ่งปีหลังจากฮอว์คิงเสียชีวิต AI ก็เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญขึ้นในปี 2019 เมื่อรัฐบาลชั่วคราวของลิเบีย ใช้โดรนติดอาวุธรุ่น Kargu-2 (ผลิตในตุรกี) ที่ถูกโปรแกรมให้ไล่ล่าฝ่ายศัตรูแล้วพบว่ามันสามารถล็อคเป้าหมายยิงแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องออกคำสั่งได้ด้วย
เมื่อปลายปีที่แล้วนักวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และ DeepMind (ศูนย์วิจัย AI ของกูเกิล) ได้ค้นพบว่า AI ส่อเค้าเป็นอันตรายเมื่อพวกมันรู้จักโกง ผ่านโปรแกรม “GAN” (Generative Adversarial Networks) อันเป็นโปรแกรมให้ AI เรียนรู้ด้วยตนเองที่มี 2 รูปแบบ คือ 1.ให้ AI สร้างภาพจากข้อมูลที่ถูกป้อน 2.ให้ AI ให้คะแนนผลงานตัวเอง นักวิจัยสังเกตว่าถ้า GAN ก้าวหน้ากว่านี้ มันอาจถึงขั้นโกงการให้คะแนนตัวเองได้
ในปีที่ผ่านมายังมีข่าวสะพรึงอีกข่าวว่า วิลลี แอคนิว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้ทำการทดลองกับแขนกลในโลกเสมือนกว่าล้านสามแสนครั้ง พบว่าอัลกอริทึมมีความสอดคล้องกับการกีดกันทางเพศและเชื้อชาติของมนุษย์ กล่าวคือ เมื่อสั่งให้แขนกลเลือกภาพอาชญากร หุ่นยนต์จะเลือกภาพคนผิวสีมากกว่ากลุ่มอื่น 10% แต่เมื่อให้เลือกภาพหมอ แขนกลจะเลือกผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเสมอ แล้วเมื่อถามว่ามนุษย์มีลักษณะอย่างไร มันจะเลือกชายผิวขาวมากกว่า และพบว่าในทุกคำถาม หญิงผิวดำจะถูกเลือกน้อยที่สุด

ปีที่แล้วอีกเช่นกันเมื่อ เจสัน เอ็ม. อัลเลน เกมดีไซเนอร์ ส่งผลงานเข้าประกวดครั้งแรก ที่ชื่อว่า ‘Théâtre D’opéra Spatial’ (โรงโอเปราอวกาศ) และชนะในงาน Colorado State Fair Fine Arts Competition สาขาศิลปะ/ภาพถ่ายดิจิทัลที่ผ่านการตกแต่งดิจิทัล ทว่าผลงานชิ้นนี้ไม่ใช่ฝีมือของเขา แต่เป็น AI ที่นำไปสู่ข้อถกเถียงที่ว่า “สิ่งนี้คือผลงานศิลปะหรือไม่”
สิ่งที่เรากำลังอรัมภบทอยู่นี้สืบเนื่องมาจาก M3GAN หนังล่าสุดที่เจ้าพ่อหนังสยองรุ่นใหม่ เจมส์ วาน (Saw, Insidious, The Conjuring) โปรดิวซ์ โดยฝีมือกำกับของ เจอราร์ด จอห์นสโตน (Housebound) ว่าด้วย M3GAN ของเล่นเด็กโปรโตคอลที่กำลังจะถูกพัฒนาออกมาวางจำหน่าย เป็น AI ที่มีความสามารถในการตรวจจับอารมณ์ความรู้สึก มันมีรูปลักษณ์เป็นเด็กหญิงขนาดเขื่องที่มีพัฒนาการเรียนรู้เป็นของตัวเอง มีความเหมือนมนุษย์เป็นอย่างมาก คีย์เวิร์ดในที่นี้คือ “อารมณ์ความรู้สึก” และ”เหมือนมนุษย์เป็นอย่างมาก” 2 สิ่งนี้แล้วในทางหุ่นยนต์วิทยานับเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
“มนุษย์ควรกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามโดย AI” บิลล์ เกตส์ อภิมหาเศรษฐีเจ้าพ่อไมโครซอล์ฟ
ห้ามออกแบบให้เหมือนมนุษย์
กฎเหล็กข้อแรกของการประดิษฐ์ปัญญาประดิษฐ์ คือ ห้ามออกแบบให้เหมือนคนจนเกินไป เพราะมนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่า “Uncanny valley” หรือ หุบเขาเร้นลับ “บุกิมิ โนะ ทานิ” อันเป็นระดับความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่คล้ายคลึงมนุษย์ กับการตอบสนองทางอารมณ์ของมนุษย์ที่มีต่อวัตถุสิ่งของ แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่า วัตถุที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์จะก่อให้เกิดความไม่สบายใจ ความรังเกียจ ความแปลกประหลาด หรือคุ้นเคยอย่างประหลาดต่อผู้สังเกตการณ์ “หุบเขา” หมายถึงความสัมพันธ์ที่ขึ้นลงลดเลี้ยวดิ่งลงหรือพุ่งสูงขึ้นของผู้สังเกตการณ์ที่เป็นมนุษย์มีต่อแบบจำลอง
แนวคิดนี้เกิดขึ้นในยุค70s โดยศาสตราจารย์ด้านวิทยาการหุ่นยนต์ชาวญี่ปุ่น มาซาฮิโระ โมริ ต่อมาคำนี้เริ่มแพร่หลายจากตำราฝรั่งปี 1987 ชื่อ Robots: Fact, Fiction and Prediction ของนักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษ ยาเซีย รีชชาร์ดต์ เมื่อเวลาผ่านไปการแปลเป็นภาษาอังกฤษของคำนี้ได้สร้างความเชื่อมโยงโดยไม่ตั้งใจกับบทความเก่าในปี 1906 ของจิตแพทย์ชาวเยอรมัน เอิร์นสต์ เยนต์ช ที่ชื่อ On the Psychology of the Uncanny (แนวคิดจิตวิเคราะห์เรื่องสิ่งเร้นลับ) บทความนี้ต่อมามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแนวคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์ โดยเฉพาะในผลงานของฟรอยด์ในปี 1919 ชิ้นที่ชื่อว่า The Uncanny
สมมติฐานดั้งเดิมของ โมริ ระบุว่า “ถ้ารูปลักษณ์ของหุ่นยนต์กลายเป็นมนุษย์มากขึ้น การตอบสนองทางอารมณ์ของผู้สังเกตการณ์บางคนต่อหุ่นยนต์นั้นจะเป็นในเชิงบวกหรือเห็นอกเห็นใจในเบื้องแรก แต่ต่อมาเมื่อมันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับหนึ่ง มนุษย์จะมีการตอบสนองอย่างฉับพลันกลายเป็นความรังเกียจอย่างรุนแรง ในทางเดียวกัน เนื่องด้วยเพราะมันมีหน้าตาเหมือนมนุษย์อย่างมาก การตอบสนองต่อสิ่งที่เหมือนมนุษย์นั้นจะกลับมาเป็นในเชิงบวกอีกครั้ง และค่อนข้างใกล้เคียงระดับความเห็นใจระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ในทางกลับกันความเหมือนมนุษย์มากจนเกินไป สำหรับมนุษย์บางคนอาจทำให้ไม่สามารถกระตุ้นการตอบสนองในทางเห็นอกเห็นใจ และอาจถึงขั้นแสดงออกด้วยความรุนแรง ไปจนถึงขั้นทุบตี ทำลายวัตถุที่เหมือนมนุษย์ชิ้นนั้น”
อย่างไรก็ตามเนื่องจากแนวคิดนี้มีมาตั้งแต่ยุค70s ปัจจุบันก็มีสมมติฐานใหม่ด้วยเช่นกันว่า สำหรับคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับ CGI อาจได้รับผลกระทบจากปัญหานี้น้อยกว่า รวมถึงมีนักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า หาก Uncanny valley เป็นปัญหา ก็เท่ากับมันเป็นความท้าทายที่จะต้องใช้วิทยาศาสตร์ในการแก้ให้ปัญหานี้ผ่านพ้นไปให้ได้ กฎเหล็กนี้จึงไม่เป็นกฎเหล็กที่นักวิทยาศาสตร์หัวก้าวหน้ายุคใหม่พยายามจะละเมิด และท้าทายสร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ขึ้นมา ทุกวันนี้เราจึงพบว่ามีหุ่นยนต์หลายตัวที่ออกแบบมามีหน้าตาเหมือนมนุษย์
ห้ามโปรแกรมอารมณ์ความรู้สึก
“ตราบเท่าที่เราไม่โปรแกรมอารมณ์ความรู้สึกลงไปในหุ่นยนต์ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลัวพวกมันจะครองโลก” เป็นประโยคที่ นีล เดอกราสส์ ไทสัน นักฟิสิกส์อวกาศ ทวิตขึ้นในปี 2014
คีย์เวิร์ดอีกประการของ M3GAN คือ ตัวมันเองสามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึก และมีระบบตรวจจับอารมณ์ความรู้สึกได้ แน่นอนว่าปัจจุบันเราจะเห็น AI ที่ถูกพัฒนาให้แสดงสีหน้าความรู้สึกต่าง ๆ ให้ใกล้เคียงคนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่จริงในหนังคือ มันสามารถอ่านปาก อ่านน้ำเสียง แล้วตีค่าออกมาเป็นอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้
แต่อันที่จริงโปรแกรมตรวจจับอารมณ์ความรู้สึกมีมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว และมันกำลังถูกพัฒนาให้แม่นยำมากขึ้น โดยโปรแกรมแรก ๆ เรียกว่า SER (Speech Emotion Recognition) หรือระบบที่สามารถรับรู้อารมณ์มนุษย์จากน้ำเสียงได้ทันทีและแบบเรียลไทม์
ความรู้สึกและอารมณ์ของคนเราถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้าทั้งภายนอก และภายใน(เช่น ความทรงจำ) และแสดงออกมาในรูปแบบของสัญญาณทางกายภาพ เช่น อัตราชีพจร เหงื่อ สีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียง เราอาจร้องไห้หรือหัวเราะ สั่นสะท้านขนหัวลุกซู่ด้วยความขยะแขยง หรือหดหู่ในความพ่ายแพ้ อารมณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่แสดงออกมาโดยธรรมชาติและโดยอัตโนมัติ โดยไม่มีการควบคุมอย่างมีสติ เราเรียนรู้ที่จะรับรู้อารมณ์ในมนุษย์คนอื่นตั้งแต่แรกเกิด ทารกจะได้รับการปลอบประโลมด้วยเสียงฮัมเบา ๆ จากเพลงกล่อมเด็กก่อนที่พวกเขาจะเกิด พวกเขาตอบสนองต่อใบหน้าที่ยิ้มแย้มของพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิดและสามารถแสดงอารมณ์ของตนเองได้ตั้งแต่วันแรก
ขณะที่หุ่นยนต์อุตสาหกรรมสร้างรถยนต์ สมาร์ทโฟนของเรา หุ่นยนต์ฟื้นฟูช่วยให้คนเดินได้อีกครั้ง เครื่องช่วยสอนที่เป็นบอทตอบคำถามของนักเรียนได้ โปรแกรมซอฟต์แวร์สามารถเขียนเอกสารทางกฎหมาย พวกเขายังสามารถให้คะแนนเรียงความของคุณ ระบบซอฟต์แวร์สามารถเขียนบทความข่าว และ AI สามารถเอาชนะมนุษย์ในเกมโกะ ซึ่งเป็นหมากกระดานที่ซับซ้อนที่สุด คอมพิวเตอร์ IBM Watson เอาชนะแชมป์เปี้ยนมนุษย์ในการแข่งเกมโชว์ Jeopardy มาแล้ว แล้วเดี๋ยวนี้ยังมีอีกหลายโปรแกรมที่สามารถวาดภาพจนหลอกให้มนุษย์เชื่อว่าผลงานที่ออกมานั้นเป็นฝีมือของศิลปินมืออาชีพได้ด้วย เครื่องจักรสามารถแต่งเพลงได้ เห็นได้ชัดว่าหุ่นยนต์สามารถสร้างให้แข็งแกร่งขึ้น เร็วขึ้น และฉลาดกว่ามนุษย์ในบางแง่บางมุมได้ แต่พวกเขาจำเป็นต้องรู้สึกเหมือนเราหรือไม่?
หุ่นยนต์ทุกตัวทำงานบนแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริธึมของซอฟต์แวร์ อัลกอริทึมได้รับการออกแบบโดยมนุษย์เพื่อบอกเครื่องจักรถึงวิธีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าบางอย่าง เช่น วิธีตอบคำถาม หรือวิธีนำทางไปบนแผนที่ วิธีเลือกแสดงโพสต์เฟซบุคบนหน้าฟีด ฯลฯ
เช่นเดียวกับสถาปนิกที่สร้างบ้าน วิศวกร AI จะพิจารณาภาพรวมของงานที่เครื่องจักรควรจะบรรลุ และสร้าง ‘บล็อก’ ของซอฟต์แวร์เพื่อให้บรรลุงานนั้น สิ่งที่เรียกว่าการเขียนโปรแกรมนั้นเป็นเพียงการนำรหัสมาใช้งานซึ่งตระหนักถึงบล็อกเหล่านี้ หนึ่งในบล็อกที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้ของเครื่อง – อัลกอริทึมที่ช่วยให้เครื่องสามารถเรียนรู้และจำลองการตอบสนองที่เหมือนมนุษย์ เช่น การเดินหมากรุกหรือการตอบคำถาม
สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้าอย่างแท้จริงในปัญญาประดิษฐ์คือการเรียนรู้ของเครื่อง แทนที่จะตั้งโปรแกรมให้ตอบสนองด้วยวิธีที่คาดเดาได้บางอย่าง เครื่องจักรถูกตั้งโปรแกรมให้เรียนรู้จากตัวอย่างการตอบสนองสิ่งเร้าในโลกแห่งความเป็นจริงจำนวนมาก หากเครื่องดูรูปภาพแมวจำนวนมากที่มีป้ายกำกับว่า ‘แมว’ เครื่องจะสามารถใช้อัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่องตัวใดตัวหนึ่งเพื่อจดจำแมวจากรูปภาพที่มองไม่เห็น หากเครื่องตรวจดูเว็บไซต์หลายล้านล้านแห่งและการแปลของเว็บไซต์เหล่านั้น เครื่องจะสามารถเรียนรู้ที่จะประมาณการแปลในลักษณะของ กูเกิลแปลภาษา
ส่วนสำคัญของแมชชีนเลิร์นนิงคือการเรียนรู้การแสดงคุณลักษณะที่เรียกว่าคุณลักษณะของอินพุตทางกายภาพ แมวถูกแสดงด้วยรูปร่าง ขอบ ใบหน้าและลำตัว อินพุตเสียงพูดแสดงโดยส่วนประกอบความถี่ของเสียง อารมณ์ในการพูดไม่ได้แสดงเพียงแค่ระดับเสียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงน้ำเสียง จังหวะ ความเร็ว ของเสียงนั้นด้วย แมชชีนเลิร์นนิงจำเป็นต้องทำวิศวกรรมคุณลักษณะก่อนจึงจะแยกคุณลักษณะเหล่านี้ได้ สำหรับโทนเสียง โดยทั่วไปวิศวกรรมคุณลักษณะจะแยกลักษณะเฉพาะ 1,000-2,500 รายการจากเสียงอินพุต และกระบวนการนี้จะทำให้กระบวนการรับรู้อารมณ์ทั้งหมดช้าลง คุณสมบัตินับพันเหล่านี้ได้รับการออกแบบอย่างระมัดระวังโดยมนุษย์ และแต่ละคุณสมบัติต้องใช้เวลาในการประมวลผล
ความก้าวหน้าล่าสุดในโครงข่ายประสาทเทียมหรือที่เรียกว่าการเรียนรู้เชิงลึกซึ่งเปิดใช้งานโดยทั้งการเร่งเครื่องและข้อมูลจำนวนมหาศาลสำหรับการเรียนรู้ได้นำไปสู่การปรับปรุงการเรียนรู้ของเครื่องอย่างมากมาย ในการเริ่มต้น วิธีการเรียนรู้เชิงลึกบางวิธี เช่นเครือข่ายประสาทเทียม convolutional neural networks (CNN) สามารถเรียนรู้ลักษณะเฉพาะโดยอัตโนมัติในระหว่างกระบวนการเรียนรู้ โดยไม่ต้องมีกระบวนการทางวิศวกรรมคุณลักษณะที่ชัดเจนและล่าช้าหรือการออกแบบโดยมนุษย์ นี่อาจเป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญที่สุดของการเรียนรู้เชิงลึกในด้าน AI
กลับมาที่ระบบการรู้จำอารมณ์ของเราจากน้ำเสียง สิ่งที่เราทำคือแทนที่วิศวกรรมคุณลักษณะและการเรียนรู้ตัวแยกประเภทด้วยโครงข่ายประสาทเทียมแบบง่าย ๆ ซึ่งเรียนรู้ได้ดีเท่า ๆ กัน และเร็วกว่าแบบดั้งเดิมอย่างมาก เนื่องจากไม่ต้องการกระบวนการวิศวกรรมคุณสมบัติที่ชัดเจนและช้า ในทำนองเดียวกัน การจดจำสีหน้าสามารถทำได้แบบเรียลไทม์ด้วย CNN
นอกจากนี้ นักวิจัยกำลังทำงานเพื่อให้หุ่นยนต์แสดงอารมณ์ – เปลี่ยนระดับเสียงของเสียงเครื่องจักร โดยใช้มอเตอร์ขนาดเล็กหลายสิบถึงหลายร้อยตัวเพื่อควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าสังเคราะห์ หุ่นยนต์ Sofia หรือ Erica เป็นสองตัวอย่างหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่มีการแสดงออกทางสีหน้า
ถึงกระนั้นหุ่นยนต์จะมีสติหรือไม่?
หากหุ่นยนต์พัฒนาทักษะการวิเคราะห์ ความสามารถในการเรียนรู้ การสื่อสาร หรือแม้กระทั่งความฉลาดทางอารมณ์ หุ่นยนต์จะมีจิตสำนึกหรือไม่? มันจะฝันได้ไหม?
โครงข่ายประสาทเทียมที่กล่าวถึงข้างต้น ซึ่งแตกต่างจากอัลกอริธึมการเรียนรู้ของเครื่องอื่น ๆ ทำให้ผู้คนนึกถึงสมองของเรามากขึ้น โครงข่ายประสาทเทียมยังสามารถสร้างภาพแบบสุ่มที่เหมือนความฝัน ทำให้บางคนเชื่อว่าแม้แต่หุ่นยนต์ก็สามารถฝันได้
คำถามที่แท้จริงคือเราเข้าใจหรือไม่ว่าอะไรที่ทำให้มนุษย์เรามีความรู้สึก? มันเป็นเพียงการรวมกันของการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของเราและกระบวนการคิด? หรือมีอะไรมากกว่านั้น? นักวิจัย AI ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้
แม้เราจะเชื่อว่าการสร้างหุ่นยนต์ที่ ‘ดี’ เราต้องสอนค่านิยมให้พวกเขา ซึ่งเป็นชุดของกฎการตัดสินใจที่เป็นไปตามบรรทัดฐานทางจริยธรรมและศีลธรรมของมนุษยชาติ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกันท่ามกลางความขัดแย้งของมนุษย์ที่มีความแตกต่างหลากหลายในเรื่องค่านิยมในแต่ละชาติพันธุ์ นี่ยังไม่นับเรื่องศีลธรรมที่มนุษย์เป็นผู้วางกฎแต่ในทุกวัฒนธรรมก็มีคนแหกศีลธรรมอันดีงาม รวมถึงคำว่า “ศีลธรรมอันดีงาม” ก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นแค่ภาพลักษณ์อันสูงส่งของมนุษย์ในการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่
เมมฟิส มิลาโน ดีไซน์
ฉากพบกันครั้งแรกระหว่าง M3GAN กับ เคดี้ (วิโอเล็ต แม็คกราว จาก The Haunting of Hill House) เด็กหญิงผู้เพิ่งสูญเสียพ่อแม่ไปในอุบัติเหตุรถยนต์ เป็นฉากที่ยากจะละสายตาจากเมแกนตุ๊กตา AI สุดหลอน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ดึงสายตาคนดูได้อย่างเห็นได้ชัด คือดีไซน์ห้องทดสอบ พื้นที่กว้างโล่งดูสนุกแต่สุดแสนจะไม่สงบมากที่สุดในเรื่อง
“ภาพของฉันสำหรับห้องทดสอบสำหรับเด็กมาจากความทรงจำในตอนเด็ก ฉันจับแมลงได้ เก็บมันไว้ในขวดแยม มันถูกกักขังไว้ และฉันก็ส่องดูมันด้วยแว่นขยาย ฉันต้องการให้ห้องทดสอบมีความรู้สึกแบบนั้น สว่างไสวและเรียบง่ายเหมือนขวดแยม แต่บิดเบี้ยวเหมือนมองผ่านแว่นขยาย ผู้กำกับต้องการแค่ห้องเด็กเล่น แต่งแต้มสีสันสวยงามด้วยของเล่นมากมายทุกหนทุกแห่ง แต่ฉันขอดื้อทำแบบนี้ออกมา” คิม ซินแคลร์ ผู้ออกแบบงานสร้างของ M3GAN กล่าว “ฉันใช้เฟอร์นิเจอร์สไตล์ Memphis มันเป็นของแท้ แล้วมันก็ดูป่วย ๆ ไม่สบายใจ เรากระจายเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ไว้ทั่วห้อง บางชิ้นเราก็ทำขึ้นเอง และบางส่วนมาจากนักสะสม มันทั้งดูน่ารักและน่าสะพรึงอย่างบอกไม่ถูก”
ความประหลาด ความไม่สมมาตร เหมือนจะเป็นระเบียบ แต่ไม่เรียบง่าย เหมือนสะดวกสบาย แต่มีบางอย่างพิลึกกึกกือ สิ่งเหล่านี้คือ ดีไซน์แบบเมมฟิส มิลาโน ดีไซน์ นิตยสารเดอะการ์เดียน เรียกการออกแบบนี้ว่า “เทรนด์การออกแบบอันเป็นที่รัก ถูกเกลียดชัง และถูกเข้าใจผิด เป็นผลงานของกลุ่มที่มีอายุสั้นและแตกแยกมากที่สุด”
เดวิด โบวี่ ศิลปินแกลมร็อคผู้ยิ่งใหญ่และล่วงลับที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือนักสะสมตัวยงผลงานของกลุ่มนักออกแบบเมมฟิส เขาเคยพูดถึงว่า “ดีไซน์แบบเมมฟิสคือแรงสั่นสะเทือน คือผลกระทบจากยุคเก่า การเดินเข้าไปในห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์แบบเมมฟิส เหมือนได้เข้าไปเห็นอวัยวะภายใน มีแต่สีไอศกรีม ดูวัป-เมโสโปเตเมีย-ปิกัสโซ-เดคโค-สัญลักษณ์-เสียดสี-แดกดัน เฉิดฉาย แล้วเมื่อถึงเวลาก็เลิกรากัน เหมือนถ้อยคำที่เบื่อหูของจากเอเจนซี่โฆษณา และรูปแบบบ้านของความชั่วร้ายที่อุดมไปด้วยคอเมดี้สไตล์หนังฮอลลีวูด” หลังจากการเสียชีวิตของโบวี่ในปี 2016 ของสะสมสไตล์เมมฟิสของเขาถูกประมูลไปในราคารวม 1,387,000 ปอนด์ (ราว 56ล้านบาท)
คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ แฟชั่นดีไซเนอร์ชาวเยอรมันผู้ล่วงลับ และเคยเป็นครีเอทีฟให้แบรนด์หรูแพงมีระดับอย่าง Chanel และ Fendi เป็นนักสะสมตัวยงของดีไซน์แบบเมมฟิส ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “มันเป็นรักแรกพบ ตอนนั้นฉันเพิ่งมีอพาร์ตเมนต์ในมอนติคาร์โลและในหัวก็จินตนาการได้แต่สไตล์เมมฟิสเท่านั้น ที่จะเอามาตกแต่งที่นั่น มันเป็นเทรนด์ยุค 1980 ที่แสดงออกถึงความเรียบง่ายปลอมเปลือก ทำตัวซับซ้อน สำหรับฉันแล้ว ซอตต์ซาสส์ เป็นหนึ่งในอัจฉริยะด้านการออกแบบแห่งศตวรรษที่ 20”
เมื่อกลุ่มนักออกแบบรุ่นใหม่วัยต้น 20 ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80s ร้อนวิชา ออกแบบผลงานที่จงใจจะยั่วยุ และมีอายุสั้น มีส่วนผสมทั้งน่าเคารพและน่ารังเกียจ ก่อตั้งโดยนักออกแบบและสถาปนิกชาวมิลาน เอ็ตโตเร ซอตต์ซาสส์ จุดประกายให้นักออกแบบมาร่วมกันดีไซน์สิ่งของในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เก้าอี้สำนักงานไปจนถึงอาคารบุวอลล์เปเปอร์ประดับแจกันหน้าตาพิลึก ให้กลายเป็นสไตล์โดดเด่นแยกตัวออกมาจากสไตล์ยุโรปยุคโมเดิร์นที่สุดแสนจะสะอาดสะอ้าน ทีมเมมฟิส อธิบายว่ามันเป็น “วิถีชีวิตของการถ่ายโอนวัฒนธรรมดนตรีร็อค การเดินทางท่องโลก และส่วนที่ขาด ๆ เกิน ๆ ของชีวิตมาสู่บ้านแบบชาวตะวันตกในยุคโพสโมเดิร์น”
ปรัชญาของเมมฟิสนั้นค่อนข้างจะเบาหวิวและเสียดสี ซ็อตต์ซาสส์ กล่าวว่า “ดีไซน์แบบเมมฟิส มิลาโน มีอยู่ในพื้นที่เหมือนวุ้น สวย ใส และเละเทะ เป็นสิ่งหายากที่ธรรมชาติไม่อาจกำหนดรูปแบบ และไม่สามารถจำกัดความได้ เป็นปฏิกิริยาตอบโต้กับความนิยมในความคลาสสิกของ สีดำ ที่สมูธลื่นไหลเป็นที่ชื่นชอบของผู้ผลิตเกือบทุกสิ่งทุกอย่างในยุโรปช่วงปลายทศวรรษ 1970 ตั้งแต่เครื่องพิมพ์ดีดและกล้องไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน รถยนต์ และตัวอาคารอันสุดแสนจะน่าเบื่อ”
ไร้ค่า ผสมผสาน และสะสมได้ เมมฟิส กับความสุขของรสนิยมแย่ ๆ
เมมฟิส มิลาโน เป็นเสมือนดอกไม้ไฟที่เปิดตัวอย่างครึกโครมในปี 1981 ภายในงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่มิลาน ที่มีแขกกว่า 2,500 คน มันเปล่งประกายระยิบระยับจนเศษชิ้นส่วนตกลงสู่พื้นในปี 1987 ซึ่งอาจเป็นไปตามแผนของมันที่วางไว้แต่แรก เพราะเมมฟิสไม่เคยแสวงหาความเป็นอมตะ หรือการสถาปนาความจริงอันเป็นนิรันดร์เพื่อปกครองการออกแบบตลอดไป มันเกี่ยวกับชีวิตในขณะหนึ่ง มันคือความฉาบฉวย ในขอบเขตที่วัตถุที่ไม่มีชีวิตเหล่านี้สามารถสื่อสารช่วงเวลานั้นออกมาได้ – เกี่ยวกับอิสระในการสร้างสรรค์และทำผิดพลาดผิดแผน
แรงบันดาลใจเบื้องหลังการตั้งชื่อตัวเองว่า “เมมฟิส” เกิดขึ้นระหว่างการพบกันครั้งแรกเมื่อเพลง ” Stuck Inside of Mobile with the Memphis Blues Again ” ของ บ็อบ ดีแลนเล่นอยู่ในตอนนั้น สำหรับ ซอตต์ซาสส์ ชื่อ “เมมฟิส” หมายถึงสองสิ่ง: เมืองในรัฐเทนเนสซี และ เมืองหลวงของอียิปต์โบราณ จากนั้นกลุ่มนักออกแบบก็เดินหน้าต่อไปและใช้ความกำกวมเบื้องหลังชื่อ “เมมฟิส” เพื่อเป็นตัวแทนและเป็นสัญลักษณ์ของปรัชญาการออกแบบเครื่องเรือน วัตถุ และสิ่งทอที่กำกวมของพวกเขา ที่ดูเหมือนแฝงปรัชญาใหญ่โต แต่ก็ไร้สาระด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีของ ซอตต์ซาสส์ เขาแสดงความสนใจอย่างมากในความปลอมเปลือกแบบรสนิยมของชนชั้นกลาง ประเพณีของโลกที่สามและตะวันออก กับธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย
ทีมเมมฟิสยุบไปในปี 1987 เนื่องจากสมาชิกพบว่าเป็นการยากที่จะรักษาความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ไว้ได้หลังจากที่กระแสความเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ของพวกเขาจางหายไป และมีกระแสอื่น ๆ ถาโถมเข้ามา เฟอร์นิเจอร์สีสันสดใสของเมมฟิสได้รับการอธิบายว่า “แปลกประหลาด” “เข้าใจผิด” “น่าเกลียดน่าชัง” และ “มันคือพิธีหรูหราของการแต่งงานแบบคลุมถุงชนระหว่างเบาเฮาส์ (สไตล์การออกแบบล้ำสมัยช่วงสงครามโลก) กับ ฟิชเชอร์ไพรซ์ (โรงงานผลิตของเด็กเล่นพลาสติกสีฉูดฉาด)”
ชั้นวาง Carlton สินค้าขายดีของเมมฟิสดีไซน์
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มเมมฟิสได้ออกแบบชุดเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่สอดคล้องกัน หนึ่งในการออกแบบที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือฉากกั้นห้อง “Carlton”ซึ่งเป็นเสาโทเท็มที่ผสมผสานสีสันสดใส รูปทรงทึบ และช่องว่างต่าง ๆ ตัวโครงสร้างนั้นสร้างโดยใช้พลาสติกลามิเนตราคาถูก แม้ว่าจะถูกออกแบบให้ขายในตลาดสินค้าหรูหรา และประกอบด้วยชุดเข้ากันด้านบนเป็นเหมือนรูปคนยกมือ และมีลิ้นชักอยู่ด้านล่าง ดูเกะกะ บ้าบอสิ้นดี”
การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ สถาปัตยกรรม ของใช้ในบ้าน และเสื้อผ้าในปี 1980 ได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก Memphis Design บริษัทเล่นกระดานโต้คลื่น สเก็ตบอร์ด สกี และ BMX ได้นำความสวยงามมาใช้ในการออกแบบของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
การออกแบบของเมมฟิสเป็นแรงบันดาลใจสำหรับแฟชั่นโชว์คอลเลกชั่นโอต์กูตูร์ของ Christian Dior ฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว 2011–2012