ขุนสามเมือง…รายงาน
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/12/แม่น้ำโขง-e1670569588922-620x413.jpg)
ชะตากรรมของสายน้ำแห่งชีวิต
แม่น้ำโขงมีต้นกำเนิดมาจากการละลายของน้ำแข็งและหิมะบริเวณที่ราบสูงทิเบต และมณฑลชิงไห่ของประเทศจีน ไหลผ่านเทือกเขาสูงและทุ่งราบจากมณฑลยูนานเข้าสู่ประเทศลาว พม่า เข้าสู่ไทยบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ กลายเป็นเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างประเทศไทยและลาว ตั้งแต่จังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี รวมระยะทางกว่า 1,520 กิโลเมตร ก่อนจะไหลกลับเข้าสู่ลาวและกัมพูชา แล้วไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ในประเทศเวียดนาม
แม่น้ำโขงเป็นดั่งสายน้ำแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงประชากรตลอดลุ่มน้ำกว่า 300 ล้านคน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 795,000 ตารางกิโลเมตร เป็นของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษา เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าที่มิควรจะถูกแบ่งแยกยึดครองโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประเทศใดประเทศหนึ่งได้ แต่จากพัฒนาการของรัฐชาติสมัยใหม่และกระแสทุนนิยมที่เชี่ยวกราก ได้ทำให้เกิดความพยายามในการเข้าครอบครอง ฉกฉวยผลประโยชน์จากสายน้ำแห่งนี้ จนแทบจะไม่เหลือสภาพเดิมอีกต่อไป
ชีพจรแม่น้ำโขงไหลเอื่อย…อ่อนแรงลง
หากเทียบกับร่างกายคนเรา มาถึงวันนี้ สัญญาณชีพของแม่น้ำโขงก็เปรียบดังคนไข้โคม่าที่อ่อนแรงลงทุกขณะ ปรากฏการณ์เหล่านี้เริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่ประเทศมหาอำนาจจีนเริ่มสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง (ในประเทศจีนมีชื่อว่าแม่น้ำล้านช้าง) ในเขตของตนเองเพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า และการชลประทาน เขื่อนเหล่านี้ถูกพูดถึงกันมาอย่างยาวนานและก่อผลกระทบให้ชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำโขงในไทยที่ จ.เชียงราย ชายแดนไทย-ลาว ที่ต้องเผชิญกับภาวะน้ำโขงขึ้นลงผันผวนผิดธรรมชาติ ส่งผลต่อการขึ้นลงของสายน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปไม่เป็นไปตามฤดูกาลตามที่ควรโดยสิ้นเชิง
ความเป็น “แม่น้ำ” ได้ตายไปแล้ว คงเหลือเป็นเพียง “คลองส่งน้ำขนาดยักษ์” ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์เท่านั้น
จนถึงขณะนี้จีนก็ก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงรวมทั้งสิ้น 11 แห่ง เขื่อนเหล่านี้ไม่ใช่โครงการใหญ่ชุดเดียวที่มหาอำนาจจีนทำในแม่น้ำโขง แต่ยังมีโครงการอีกจำนวนหนึ่งในแถบลุ่มน้ำโขง ที่จีนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างทั้งในลาว และกัมพูชา
นางสาวเพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการรณรงค์ประเทศไทย องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ได้ให้ความเห็นไว้ว่า เขื่อนที่สำคัญคือ “เขื่อนจิงหง” (Jinghong dam) ตั้งอยู่ในเมืองเชียงรุ้ง ดินแดนสิบสองปันนา เป็นเขื่อนตอนล่างสุดและใกล้ชายแดนไทยมากที่สุด คือห่างจากบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ราว 340 กิโลเมตร เขื่อนแห่งนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านริมแม่น้ำโขงใน อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย มาตลอดกว่า 25 ปี โดยจีนเป็นเพียงประเทศเดียวที่ได้ประโยชน์จากการควบคุมระดับน้ำ ส่งผลกระทบระดับน้ำในแม่น้ำโขงท้ายน้ำบริเวณพรมแดนไทย-ลาว ผันผวนขึ้นลงไปตามการใช้งานของเขื่อนผลิตไฟฟ้าในจีน
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/12/เพียรพร-ดีเทศน์.png)
หายนะจากเขื่อนและผลกระทบข้ามแดนที่ยากจะหลีกพ้น
นอกจากเขื่อนจีนแล้ว เขื่อนกั้นแม่น้ำโขงในลาว โดยเขื่อนไซยะบุรี (มีบริษัทซีเค พาวเวอร์ จำกัด เครือ ช.การช่าง เป็นผู้ก่อสร้าง) ได้เริ่มเดินเครื่องผลิตและขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อปลายปีที่แล้ว แต่แผนการสร้างเขื่อนกั้นน้ำโขงแห่งใหม่ที่กำลังจะเป็นตัวสร้างปัญหาร้ายแรงที่สุดตัวล่าสุด คือ โครงการเขื่อนปากแบง ที่ตั้งอยู่ที่ดอนเทด เขตเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ในประเทศลาว ห่างจากชายแดนด้าน อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ไปทางท้ายน้ำระยะทางประมาณ 97 กิโลเมตร เป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าแบบน้ำไหลผ่าน กำลังการผลิต 912 เมกะวัตต์ ดำเนินการโดย บริษัทไชน่า ต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสเมนต์ จำกัด ของจีน และมีแผนจะขายกระแสไฟฟ้ากว่าร้อยละ 90 ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/12/นิวัฒน์-ร้อยแก้ว.png)
นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ ให้ข้อมูลไว้ว่า การที่รัฐบาลเร่งรัดการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จากเขื่อนปากแบง ทั้งๆ ที่ยังไม่มีผลการศึกษาถึงผลกระทบข้ามแดนที่ชัดเจน โดยเฉพาะปัญหาเรื่อง “น้ำเท้อ” ที่จะเข้ามาถึงแผ่นดินไทย ซึ่งจะทำให้เกาะดอนบริเวณผาได อ.เวียงแก่น ที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งต้องถูกท่วมหายไปตลอด ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของท้องถิ่น แต่เป็นเรื่องของประเทศเพราะเป็นการสูญเสียแผ่นดินที่เคยใช้ประโยชน์ต่อเนื่องยาวนานมานับจากรุ่นบรรพบุรุษ แม้ชาวบ้านและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านการอนุรักษ์จะพยายามออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างต่อเนื่อง จนถึงขั้นมีการนำเรื่องขึ้นฟ้องศาลปกครอง เมื่อ 18 กันยายน 2560 แต่หลังการพิจารณานานกว่า 3 ปี ในที่สุดศาลปกครองก็ไม่รับฟ้อง
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/12/มนตรี-จันทร์วงศ์1-620x403.png)
นายมนตรี จันทวงศ์ ผู้ประสานงานกลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง (The Mekong Butterfly) ให้ข้อมูลไว้ว่าการสร้างเขื่อนปากแบง จะทำให้มีน้ำเท้อเข้ามาในเขตประเทศไทยประมาณ 10 กิโลเมตร ทำให้เกาะแก่งบริเวณผาไดถูกท่วมหมด แม้จะมีการลดความสูงของสันเขื่อนลงจาก 345 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) เป็น 340 ม.รทก. ก็ตาม และจากการที่คณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎรได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปชี้แจง ได้รับคำตอบว่ายังไม่มีการทำรายงานผลกระทบข้ามแดนมายังฝั่งไทย
นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรการ ให้ข้อมูลไว้ว่าเคยมีการเปิดเวทีรับฟังความเห็น 3-4 ครั้ง ตามกระบวนการแจ้งล่วงหน้าและปรึกษาหารือ (PNPCA) ตามข้อตกลงแม่น้ำโขง โดยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ซึ่งเมื่อประชุมร่วมกับลาวเมื่อปี 2560 ทางไทยได้แสดงความกังวลใจเรื่องผลกระทบข้ามแดนและน้ำเท้อมาถึง อ.เวียงแก่น และขอให้มีการปรับปรุง แต่เรื่องก็เงียบหายไปจนมีการเดินหน้าผลักดันโครงการเขื่อนปากแบงอีกครั้ง เครือข่ายชาวบ้านริมแม่น้ำโขงได้เคยทำหนังสือถึงสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน
![นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ มูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2012/05/หาญณรงค์-620x455.jpg)
จากการเฝ้าติดตามข้อมูลในระดับพื้นที่มาตลอด อาจสรุปได้ว่า จนถึงเวลานี้ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดๆ ของไทยสามารถออกมาให้ข้อมูลได้ว่า การสร้างเขื่อนปากแบงจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวสน์วิทยาของลำน้ำ และวิถีชีวิตของชุมชนตลอดแนวลำน้ำอย่างไร ปัญหา “น้ำเท้อ” (ปรากฏการณ์ที่ระดับน้ำจะค่อยๆ ยกตัวเออล้นท่วมสูงขึ้นในพื้นที่ท้ายเขื่อน) จะส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านมากน้อยแค่ไหน หากน้ำท่วมทั้งปีจะทำให้ธรรมชาติ เช่น หาดทราย เกาะแก่ง หายไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบควรเร่งตอบคำถามให้ได้ว่าหากมีการสร้างเขื่อนปากแบง ระดับน้ำที่เอ่อสูงขึ้นจะอยู่ระดับไหน และใครจะรับผิดชอบช่วยเหลือชาวบ้านที่จะได้รับผลกระทบในประเด็นเหล่านี้
เกาะช้างตาย รูปธรรมของความสุ่มเสี่ยงที่เกิดจากนิการเปลี่ยนแปลงของสายน้ำ
เกาะช้างตาย เป็นเกาะริมน้ำโขง ตั้งอยู่ในพื้นที่ ในพื้นที่ ม. 7 บ.สบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ. เชียงราย ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาว พื้นที่ของเกาะช้างตาย มีขนาดประมาณ 7 ไร่ มีความยาวจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกประมาณ 800 เมตร และความกว้างจากทิศเหนือไปทิศใต้ประมาณ 200 เมตร ลักษณะเป็นดินเหนียวคลุมด้วยหญ้า มีไม้ยืนต้นชุกอยู่บนเนินกลางเกาะ
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/12/เกาะช้างตาย-620x297.png)
พื้นที่เกาะช้างตาย เดิมเป็นเกาะที่เชื่อมกับแผ่นดินใหญ่บ้านสบกก ในฤดูแล้งสามารถเดินทางไปตามสันทรายไปที่เกาะได้ และที่เกาะแห่งนี้เคยใช้เป็นที่จัดงานและกิจกรรมประเพณีของชุมชนมายาวนาน
ต่อมามีโครงการก่อสร้างท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 (ผ่านการอนุมัติและเห็นชอบในหลักการ ตามมติคณะรัฐมนตรีในสมัย พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2550 ด้วยวงเงินก่อสร้าง 1,546.40 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี พ.ศ. 2552-2554 ก่อนจะให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริหารท่าเรือ และเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555)
ผลจากการสร้างท่าเรือพาณิชย์แห่งนี้ ทำให้มีการขุดร่องน้ำลึกใหม่ มีผลทำให้สันทรายที่เคยเชื่อมเกาะช้างตายกับแผ่นดินใหญ่ถูกตัดขาดออกไป โดยอ้างว่าเพื่อการอำนวยความสะดวกเส้นทางเรือที่เข้าเทียบท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน หรือท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ 2 ในพื้นที่ฝั่งด้านในตรงข้ามกับเกาะช้างตาย ซึ่งห่างจากท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ 1 เป็นระยะทางน้ำลงมา 5 กิโลเมตร โดยท่าเรือแห่งใหม่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการขนส่งสินค้า ตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ที่มีประเทศสมาชิกคือ ไทย จีน เมียนมา และลาว
อีกสาเหตุหนึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำโขงในพื้นที่ท้ายน้ำลงไปจากเขตจังหวัดเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนไซยะบุรี ที่มีการสร้างเสร็จและเปิดดำเนินการไปแล้ว รวมถึงที่กำลังก่อสร้างอยู่คือเขื่อนปากแบง กั้นลำน้ำโขงของลาว ทั้งหมดล้วนเป็นเขื่อนสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อป้อนขายให้กับประเทศไทยทั้งสิ้น ซึ่งผลจากการสร้างเขื่อนดังกล่าวทำให้เกิดผลกระทบข้ามแดนที่เรียกว่าปรากฏการ “น้ำเทิ้ม” คือปริมาณน้ำหลังเขื่อนจะเพิ่มสูงขึ้นจนผิดปกติ ทำให้ท่วมพื้นที่เกาะแก่งต่างๆ พื้นที่ลุ่มชายฝั่งตลอดแนว ทำให้เกิดผลกระทบต่อชายแดนไทย ซึ่งผูกมัดอยู่กับสนธิสัญญาที่เสียเปรียบที่ถูกฝรั่งเศสบังคับทำไว้ในสมัยล่าอาณานิคม
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/12/พื้นที่เกาะช้างตาย-620x473.png)
ผลจากการพัฒนาข้างต้นทำให้ระบบนิเวศของเกาะช้างตายซึ่งตั้งอยู่ปากแม่น้ำกกเปลี่ยนแปลงไป โดยในอดีตเกาะแห่งนี้มีคนไทยขึ้นไปทำการเกษตรเพราะในฤดูแล้งสามารถเดินข้ามไปยังบนเกาะได้ รวมทั้งชุมชนในพื้นที่ข้างเคียงใช้เกาะแห่งนี้เป็นพื้นที่สำหรับศูนย์กลางทางวัฒนธรรมในการจัดงานประเพณีต่างๆ ของชุมชนสืบเนื่องมายาวนาน เช่น การแข่งกีฬาชุมชน การจัดประเพณีสงกรานต์ ไปจนถึงจัดประเพณีแข่งเรือประจำปี เป็นต้น
ปัจจุบันมีการดูดทรายและสร้างท่าเรือ ทำให้เกาะช้างตายไม่ได้เชื่อมต่อกับแผ่นดินไทยและมีคนลาวอ้างกรรมสิทธิโดยอ้างว่าเกาะทุกแห่งในแม่น้ำโขงเป็นของลาวตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ปัจจุบันมีประชาชนลาวรุกเข้ามาทำการเกษตร ปลูกกล้วย และกั้นคอกเลี้ยงวัวประมาณ 10 ตัว (มีประชาชนลาว ไปมาประมาณ 3 คน พักอาศัยประจำ 1-2 คน) โดยคนลาวอ้างกรรมสิทธิ์โดยอ้างว่าเกาะทุกแห่งในแม่น้ำโขงเป็นของลาวตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส
ชาวบ้านร้อนใจทนแทบไม่ไหวแต่หน่วยราชการเงียบสนิท
เมื่อ 2 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา นายนิรันดร์ กุณะ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านสบกก หมู่ 7 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย และนายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลและเรียกร้องผ่านสื่อมวลชนหลายสำนัก หลายช่องทาง ถึงประเด็นที่ประชาชนในพื้นที่มีความวิตกกังวล และไม่พอใจท่าทีฝ่ายความมั่นคงในการแก้ไขปัญหาเกาะช้างตายล่าช้า จนชาวบ้านหวั่นว่าจะทำให้ไทยต้องเสียเกาะช้างตายให้กับฝ่ายลาว
นายสมยศ จันทรังสี ชาวบ้านผู้มีถิ่นกำเนิดและเติบโตในบ้านสบกก และอดีตสมาชิกสภาเทศบาลตำบลบ้านแซว บอกเล่าถึงความกังวลและไม่สบายใจ ที่อยู่ๆ ก็มีคนลาวเข้ามาอ้างสิทธิ์ นำสัตว์เลี้ยงข้ามเข้ามาเลี้ยง และทำการเกษตรอย่างสบายใจ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นชาวบ้านในพื้นที่สามารถเดินข้ามไปยังเกาะช้างตายได้ พื้นที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ ที่เล่น ที่ทำกินของชาวบ้าน แต่หลังจากนั้นก็มีการสร้างท่าเรือขึ้นมา ก็มีการใช้รถแบคโฮขุดร่องน้ำลึก จนน้ำตัดแผ่นดินเป็นเกาะ เดินข้ามไม่ได้อีก แล้วอยู่ๆ ก็มีคนลาวมาอ้างสิทธิ์ นำเอาสัตว์ข้ามมาเลี้ยง และปลูกพืชผลการเกษตรต่างๆ พวกเราร้องไปยังทหารและหน่วยงานรัฐก็ไม่เห็นมีความคืบหน้าอะไร ถ้าเราจะทำอะไรก็มักอ้างว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่อึดอัดใจเป็นอย่างมาก ต้องลุกขึ้นมาร้องเรียนผ่านสื่อต่างๆ ให้ลงมาช่วยตรวจสอบให้
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/12/สมยศ-จันทรรังษี-620x442.png)
พระอธิการอภิชาติ รติโก เจ้าอาวาสวัดสบกก ให้ข้อมูลว่า ในอดีตพื้นที่เกาะช้างตายมีความอุดมสมบูรณ์มากๆ เป็นแหล่งทำกินของชาวประมง มีปลามากมายมาอาศัยอยู่เยอะมาก ปัจจุบันแทบจะไม่เหลือปลาให้จับ ชาวบ้านที่ทำอาชีพประมงหายไปมาก เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของสายน้ำและการขุดลอกสันทรายอันเนื่องมาจากการสร้างท่าเรือยิ่งทำให้เส้นทางเชื่อมกลายหายไป ในหน้าแล้งชาวบ้านไม่สามารถเดินข้ามไปทำกิจกรรมบนพื้นที่เกาะช้างได้เหมือนก่อนแล้ว เมื่อก่อนมีกิจกรรมประเพณีต่างๆ โดยเฉพาะในห้วงปีใหม่เมือง (สงกรานต์) แต่เดี๋ยวนี้มีคนฝั่งโน้นมาอยู่ ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าเกาะแห่งนี้เป็นของใคร
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/12/พระครู-แม่น้ำโขง-620x423.png)
นายกฤษฎา ทิวาคำ รองนายกเทศมนตรีเทศบาลบ้านแซว อ.เชียงแสน กล่าวว่า อยากพัฒนาให้พื้นที่เกาะช้างตายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์การเรียนรู้ แต่เมื่อเกิดความไม่ชัดเจนและคลุมเครือ ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ อยากให้รัฐบาลเข้ามาดำเนินการ หากท้องถิ่นทำอะไรก็มักถูกอ้างในเรื่องสัญญาที่ไทยทำไว้กับฝรั่งเศส แต่ในชีวิตจริง ภาครัฐหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงที่มีหน้าที่ดูแลไม่เคยบอกหรือทำความเข้าใจอะไรกับชาวบ้านในพื้นที่เลย มีแต่คำสั่งห้ามคนไทยฝ่ายเดียว
เมื่อชาวบ้านลุกขึ้นทวงถามถึงผู้รับผิดชอบ
หากพิจารณาจากความวิตกกังวลและข้อเรียกร้องของกลุ่มราษฎรในพื้นที่ พวกเขาไม่ได้เรียกร้องอะไรที่เกินความเป็นจริงไปมากมายเลย เพียงแค่ต้องการให้ทางราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงเข้ามาหาทางแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ปล่อยให้คนลาวบุกรุกเข้ามาในพื้นที่เกาะช้างตาย แต่สำหรับคนไทยกันเอง หลังเวลา 6 โมงเย็นจะถูกเจ้าหน้าที่หน่วย นรข. (หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง) ห้ามไม่ให้ขับขี่เรือเข้าไปใกล้ แต่สำหรับคนลาวดึกๆ ดื่นๆ ก็ยังขับเรือเข้ามาได้ ทำให้ชาวบ้านอึดอัดและคับข้องใจมาก
นอกจากนี้ ฝ่ายผู้เกี่ยวข้องจะต้องเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ให้คลายกังวล และมีการตอบสนองต่อข้อร้องเรียน ข้อห่วงใยของราษฎรมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมาร้องเรียนผ่านไปเรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีการดำเนินการอะไร หรือชี้แจงอะไรให้ชาวบ้านรับทราบเลย ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ เกี่ยวข้องกับดินแดนและอธิปไตยของประเทศ แล้วก็พยายามปิดหูปิดตาปิดปากชาวบ้านโดยอ้างว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนในที่สุดชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องผ่านสื่อมวลชนกันเอง ถึงจะมีคนสนใจในประเด็นนี้
จากการตรวจสอบกรณีปัญหาดังกล่าว ทราบว่าฝ่ายความมั่นคง (กองทัพภาค 3) ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ได้พยายามดำเนินการในทางลับเพื่อการแก้ไขปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีความคืบหน้าล่าสุด คือ เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2565 หน่วย นรข. ประจำพื้นที่ อ.เชียงแสน ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ ได้รายงานรายละเอียดของประเด็นปัญหาเพิ่มเติมเข้าไปยังกองกำลังผาเมือง กองทัพภาค 3 แล้ว โดยในชั้นต้น ทางฝ่ายไทยมีข้อสั่งการ (ลับมาก) ให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคง (นรข. เป็นหน่วยรับผิดชอบ) หาวิธีการผลักดันคนลาวที่เข้ามาใช้พื้นที่ออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด และจะต้องดำเนินการในลักษณะที่ถือว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นดินแดนของไทยถูกต้องมาแต่อดีต โดยจะต้องไม่มีการนำเรื่องหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหารือหรือเจรจากับทางการลาวโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เสียเปรียบทางลาวทันที เนื่องจากหากมีการหยิบยกไปเจรจา หรือหารือ หรือขอให้มาทำความเข้าใจกับคนลาวที่เข้ามาใช้พื้นที่บนเกาะ ลาวจะยกระดับปัญหาพื้นที่ขึ้นเป็น “พื้นที่สงสัย” หรือถือเป็นพื้นที่พิพาทที่ต้องเจรจา และจะไปเข้าข่ายกฎหมายระหว่างประเทศที่ไทยถูกบังคับทำไว้กับประเทศฝรั่งเศสในสมัยอาณานิคม (ฉบับลงวันที่ 25 ส.ค. 2469) ซึ่งฝ่ายไทยจะเสียเปรียบทันที
ก็ได้แต่หวังว่าจะมีคำตอบ และรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาที่ช่วยคลายความวิตกกังวล และความห่วงใยในใจชาวบ้านในพื้นที่ได้ในเร็ววันนี้