ปิติคุณ นิลถนอม
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/11/FilpBQfXkAATWaq-620x465.jpg)
มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างฟุตบอลโลก FIFA World Cup ได้หวนกลับมาให้แฟนานุแฟนลูกหนังทั่วโลกร่วมเชียร์กันอีกครา
ต้องยอมรับว่าฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของมนุษยชาติไม่ว่าชาติใด ภาษาใด บางคนกล่าวว่าเป็นกีฬาที่สลายชนชั้นในสังคมลง ไม่ว่าจะเป็น CEO บริษัทข้ามชาติหรือผู้ใช้แรงงานก็สามารถสนุกกับเกมส์ได้โดยการเชียร์ทีมๆเดียวกัน แม้แต่ผู้ลี้ภัยที่เตะฟุตบอลกับเพื่อนร่วมค่ายก็สนุกกับมันได้ไม่ต่างจากฟุตบอลกระชับมิตรที่ อีลีท หรือเซเลบ นัดสังสรรค์โดยใช้ฟุตบอลเป็นสื่อกลาง
นอกจากนี้ ฟุตบอลยังเป็นกีฬาที่สร้างแรงบันดาลใจและความหวังให้กับเยาวชนมากมายที่อยากเป็นเหมือนนักเตะที่ชื่นชอบ เพราะมันนำมาซึ่งชื่อเสียง รายได้และความมั่นคงในชีวิตและเมื่อฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมถึงขีดสุด ฟุตบอลจึงถูกใช้เป็นสื่อกลางในการส่งต่อ “คีย์แมสเสจ” ให้ถึงสังคมในวงกว้าง เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม เช่น การยุติความรุนแรง การสร้างความเท่าเทียม แม้กระทั่งการโปรโมทเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs ที่ สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป หรือ UEFA ได้ส่งเสริมประเด็นดังกล่าว ในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์ยุโรป (Women’s Euro 2022) เมื่อกลางปีที่ผ่านมา
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/11/ฟุตบอล4-620x338.png)
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/11/ฟุตบอล.jpg)
หรือล่าสุดที่ทีมฟุตบอลในยุโรปนัดกันให้กัปตันทีมชาติใส่ปลอกแขนวันเลิฟเพื่อสะท้อนถึงการสนับสนุนความเท่าเทียม และปกป้องสิทธิ์ของกลุ่ม LGBTQ+ แม้จะมีดราม่าจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA ที่ไม่ต้องการให้ทำแคมเปญดังกล่าวเพราะเรื่องรักร่วมเพศขัดแย้งกับกฎหมายของชาติเจ้าภาพอย่างการ์ต้า
อย่างไรก็ตาม ในภาพดีๆที่เห็นก็ยังมีมุมมืดเช่นเดียวกับวงการอื่นๆ สืบเนื่องมาจากวงการฟุตบอลมีผลประโยชน์มหาศาล ทั้งเรื่องการตลาด ลิขสิทธิ์การถ่ายทอด ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องเย้ายวนใจให้มนุษย์เข้ามาตักตวงผลประโยชน์อันมิชอบเพื่อตนเองและพวกพ้อง
เรื่องการทุจริตเหล่านี้เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกับหลักการของกีฬาโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะการบ่อนทำลายความเป็นนักกีฬา (Sportsmanship) ที่ต้องเป็นสุภาพชน รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย มีน้ำใจนักกีฬา อยู่ในกติกาของการแข่งขัน เรียกได้ว่าการทุจริตในวงการกีฬาทำลายทั้งธรรมาภิบาลของวงการ รวมถึง “หลักการ”และ “สปิริต” ของกีฬาด้วย
ก่อนฟุตบอลโลกเริ่มได้ไม่นาน มีเรื่องน่าตกใจไม่น้อยที่ เซปป์ แบลตเตอร์ อดีตประธานฟีฟ่า ได้ออกมายอมรับว่ากาตาร์ไม่เหมาะสมที่จะจัดฟุตบอลโลกในครั้งนี้ ซึ่งเรื่องความไม่โปร่งใสนี้มีส่วนเชื่อมโยงกับกรณีอื้อฉาวของฟีฟ่าเมื่อ ค.ศ. 2015 ที่มีการจับกุมและดำเนินคดีกับผู้บริหารฟีฟ่าหลายราย หลังสำนักงานสอบสวนกลางหรือ FBI และหน่วยสืบสวนของกรมสรรพากรสหรัฐหรือ IRS-CI ทำการสอบสวนพบกรณีการรับสินบน จนส่งผลให้ เซปป์ แบล็ตเตอร์ ต้องลาออกจากตำแหน่งประธานฟีฟ่า และถูกแบนจนถึงปี 2027
นอกเหนือจากฟีฟ่าแล้ว ในแวดวงกีฬาโลก สถานการณ์การทุจริตมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเรื่องนี้องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือ Interpol ได้รวบรวมสถิติการทุจริตในวงการกีฬาทั่วโลกไว้ในฐานข้อมูลอย่าง Sports Corruption Barometer ที่ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัย Abertay โดยระบุว่า ปี 2021 ที่ผ่านมา มีการลงโทษทั้งทางอาญาและทางปกครองจำนวน 157 คดี เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาค ยุโรปและเอเซีย ในจำนวนนี้มีประเทศที่ถูกลงโทษเฉพาะกีฬาฟุตบอลรวม 21 ประเทศ
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/11/ฟุตบอล1-620x349.jpg)
เมื่อดูประเภทกีฬาแล้ว นอกจากกีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอล มีกีฬาที่มีแนวโน้มการทุจริตเพิ่มขึ้นคือ ปิงปอง ขี่ม้า แฮนด์บอล ฮอคกี้น้ำแข็ง และกีฬาสมัยใหม่อย่าง eSports
มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์ของปี 2021 คือการใช้ เงินดิจิทัล ในการใช้กระทำผิด อันเป็นความท้าทายใหม่ของผู้บังคับใช้กฎหมาย ส่วนคนที่ถูกลงโทษนอกจากนักกีฬาแล้วยังมี กรรมการผู้ตัดสิน โค้ชผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนกรณีการปั่นผลการแข่งขันมักจะทำในทัวร์นาเมนต์ที่ไม่ใหญ่นัก และสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดการทุจริตคือขาดธรรมภิบาล
ข้อมูลข้างต้นคือข้อมูลในปีที่แล้วที่สะท้อนภาพและแนวโน้มในปัจจุบันเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงแล้วการทุจริตในวงการกีฬามีมาตั้งแต่ในยุคโอลิมปิกสมัยโบราณ และมาหนักขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษหลัง ที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบการโอนเงิน หรือแม้แต่ cryptocurrency ที่มีบทบาทสูงในปัจจุบัน ทำให้การทุจริตมีช่องทางมากขึ้นและซับซ้อนขึ้น ยากที่จะจับได้ และมีแนวโน้มที่จะอยู่ในรูปแบบขององค์กรอาชญากรรมที่มีเครือข่ายการฟอกเงินในหลายประเทศ
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก คำกล่าวนี้ไม่เกินเลยความจริงแต่อย่างใด ดังจะสะท้อนให้เห็นจากองค์กรระดับโลก ได้ริเริ่มแคมเปญต่างๆ เพื่อต่อสู้กับการทุจริตและอาชญากรรมในวงการกีฬา อาทิ สำนักงานว่าด้วยอาชญากรรมและยาเสพติดแห่งสหประชาชาติหรือ UNODC ที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขาของการประชุมภาคีสมาชิกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการคอร์รัปชัน หรือ UNCAC ซึ่งอนุสัญญานี้เป็นเอกสารกฎหมายฉบับเดียวในประชาคมโลกที่มีผลผูกพันสมาชิกในการต่อสู้กับการคอร์รัปชัน
ความพยายามดังกล่าวเริ่มจากการมีข้อมติร่วมกันของชาติภาคีสมาชิก UNCAC ทั่วโลกกว่า 180 ประเทศ ในปี 2017 ที่กรุงเวียนนา และ 2019 ที่เมืองอาบูดาบี เป็นข้อมติที่อุทิศให้กับการต่อต้านการทุจริตในวงการกีฬา ซึ่งในปี 2017 UNODC ได้มีการจัดตั้งโครงการปกป้องวงการกีฬาจากการทุจริตและอาชญากรรมขึ้นอีกด้วย
และล่าสุดเมื่อ 9 ธันวาคม 2021 ที่ผ่านมา UNODC ได้เผยแพร่ Global Report on Corruption in Sport ซึ่งถือเป็นรายงานฉบับแรกของโลกที่ฉายภาพให้เห็นสถานการณ์การทุจริตในทุกมิติที่เกิดขึ้นในวงการกีฬารวมถึงข้อเสนอแนะให้รัฐบาลแต่ละประเทศรวมถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดการกับปัญหาโดยมีข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการต่อสู้กับปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรมด้วย
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/11/ฟุตบอล2.png)
นอกเหนือจากความพยายามดังกล่าวข้างต้น UNODC ยังได้ริเริ่มความร่วมมือกับองค์กรกีฬาระดับโลก โดยลงนามใน MoU กับคณะกรรมการโอลิมปิกสากลหรือ IOC ในปี 2011 และ FIFA ในปี 2020 เพื่อร่วมกันเฝ้าระวังและเสริมสร้างศักยภาพในการจัดการกับมะเร็งร้ายที่ชื่อว่าการทุจริต
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2022/11/ฟุตบอล3-620x349.png)
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ทำไปเพื่อมุ่งหวังที่จะผลักดันให้ประชาคมโลกผลักดันให้มีกฎหมายภายในประเทศเพื่อจัดการกับการทุจริตในวงการกีฬาทุกรูปแบบ ทั้งการติดสินบน การล็อคผลการแข่งขัน การพนันที่ผิดกฎหมาย การล่วงละเมิดในวงการกีฬา เป็นต้น
รวมถึงการผลักดันให้ทุกประเทศจัดให้มีหน่วยงานกลางภายในประเทศ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและรายงานต่อผู้บังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินคดีอาญาและทางแพ่ง รวมถึงยึดทรัพย์ตามมาตรการการฟอกเงินกับผู้กระทำผิด โดยจะต้องจัดสรรงบประมาณและบุคลากรให้กับหน่วยงานดังกล่าวอย่างเพียงพอในการทำหน้าที่ พร้อมทั้งต้องมีระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสและบุคลากรในกระบวนการด้วย
นอกจากนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกแก่กันในทางระหว่างประเทศรวมถึงการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในการบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และประชาชน ในระดับนานาชาติ ระดับภูมิภาค และภายในประเทศ
…ทั้งนี้เพื่อปกป้อง “สปิริต” ของกีฬา ซึ่งเป็นทั้งความหวัง และสัญลักษณ์ของสุภาพชนที่เคารพกติกา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เอาไว้…
เมื่อฟุตบอล และกีฬา สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับเยาวชนหลายล้านทั่วโลกฉันท์ใด การสร้างความโปร่ง ตรวจสอบได้ ในวงการย่อมทำให้เกิดตัวอย่าง และ “ภาพจำ” ที่ดี ที่ทำให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการรักษากติกา และเกิดวัฒนธรรมการไม่ยอมรับต่อการทุจริตในแวดวงอื่นๆ ได้ฉันท์นั้น
ประชาชนอย่างเราๆต้องไม่ยอมให้เกิดการทุจริตไม่ว่าวงการใด เพราะการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตย่อมเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะนำไปสู่การพัฒนา และหากมองในบริบทของประชาคมโลกแล้วจะเป็นส่วนส่งเสริมเป้าหมาย SDG ที่ 16 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้โลกของเราบรรลุเป้าหมายที่ยั่งยืน ทั้ง 17 เป้าหมายได้
ในสนามฟุตบอลมีระบบกล้อง VAR หรือ Video Assistant Referee เพื่อช่วยกรรมการในการตัดสิน และมีหลายครั้งที่จับได้ว่ามีผู้เล่นทำผิดกติกา จนเสียจุดโทษ หรือได้ใบเหลือใบแดงกันไป หากเรารวมพลังและทำตัวเป็น VAR ที่สอดส่องและบันทึกภาพในสังคมและใช้ข้อมูลที่เก็บได้เพื่อจัดการกับผู้ทำผิดกติกาบ้านเมือง เชื่อว่าบรรดา “ผู้เล่น” ทั้งที่เป็นเบอร์ใหญ่แบบซุปตาร์ หรือตัวเล็กตัวน้อย ก็คงเล่นกันอย่างระวัง เพราะหากทะเล่อทะล่าทำผิดมา มีหวังได้เจอกล้อง VAR ภาคประชาชนแน่นอน !
เอกสารประกอบการเขียน
https://news.un.org/en/story/2022/07/1122002
https://www.voathai.com/a/fifa-arrests-1st-update-nm/2793633.html
https://www.interpol.int/Crimes/Corruption/Corruption-in-sport
https://www.unodc.org/unodc/en/safeguardingsport/grcs/index.html
https://www.fifa.com/legal/football-regulatory/media-releases/unodc-fifa-partner-to-kick-out-corruption-and-foster-youth-development-through-f