
สเตฟาน บันเซล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)โมเดอร์นา กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี(6 ม.ค.2565)ว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มที่ 3 ในการต้านโควิด-19 มีแนวโน้มลดลงเมื่อเวลาผ่านไป และ อาจต้องรับวัคซีนเข็มที่ 4ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเพิ่มการป้องกัน
บันเซลกล่าวว่า ผู้ที่ได้รับเข็มที่ 3 หรือ booster เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วมีแนวโน้มที่จะได้รับการป้องกันเพียงพอตลอดฤดูหนาว ซึ่งมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้คนจะอยู่ในบ้านเพื่อเลี่ยงสภาพอากาศความหนาวเย็น
พร้อมกล่าวว่า ประสิทธิภาพของเข็มที่ 3 อาจลดลงในช่วงระยะหลายเดือน ซึ่งเหมือนกับสองเข็มแรก ทั้งนี้บันเซลให้สัมภาษณ์โกลด์แมนแซคส์ระหว่างการเสวนากับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการดูแลสุขภาพที่จัดโดยธนาคาร
“ผมคงจะแปลกใจเมื่อเราได้รับข้อมูลนั้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าว่ายังมีประสิทธิภาพดีเมื่อเวลาผ่านไป เพราะผมคาดว่าประสิทธิภาพจะไม่ดีขนาดนั้น” บันเซล กล่าวโดยชี้ไปที่ประสิทธิภาพของเข็มที่สาม
ปัจจุบันมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนจากไวรัสกลายพันธุ์สายใหม่โอไมครอนที่ติดต่อได้สูงกำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก ในสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยรายใหม่ต่อวันเฉลี่ย 7 วันมากกว่า 574,000 ราย จากการวิเคราะห์ของสำนักข่าวซีเอ็นบีซี โดยใช้ข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์
ซีอีโอของ โมเดอร์นา กล่าวว่า รัฐบาลหลายประเทศ ทั้งสหราชอาณาจักรและเกาหลีใต้ ได้สั่งซื้อวัคซีนเพื่อเตรียมความพร้อมแล้ว “ผมยังเชื่อว่าเราต้องการเข็มกระตุ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2022 และปีต่อๆ ไป” บันเซลกล่าวและว่า ผู้สูงวัยหรือมีโรคประจำตัวอาจต้องการเข็มกระตุ้นเป็นประจำทุกปีในอีกหลายปีข้างหน้า
“เราเคยบอกว่าเราเชื่อในตอนแรกว่าไวรัสนี้จะไม่หายไป เราต้องอยู่กับมันให้ได้” บันเซลกล่าว
โมเดอร์นา เผยแพร่ข้อมูลเบื้องต้นเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นในปริมาณ 50 ไมโครกรัมที่ได้รับอนุญาตในปัจจุบัน เพิ่มแอนติบอดีที่ป้องกันการติดเชื้อจากโอไมครอน 37 เท่า และเข็มกระตุ้นปริมาณ 100 ไมโครกรัมเพิ่มแอนติบอดีได้ 83 เท่า
เข็มกระตุ้นกำลังมีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขในการควบคุมไวรัส โดยการฉีดวัคซีนสองเข็มเดิมนั้นไม่พอที่จะรับมือกับสายพันธุ์โอไมครอน
ข้อมูลจากสหราชอาณาจักรพบว่า วัคซีน 2 เข็มของโมเดอร์นาและไฟเซอร์มีประสิทธิภาพเพียง 10% เท่านั้นในการป้องกันการติดเชื้อที่แสดงอาการจากสายพันธุ์โอไมครอนในเวลา 20 สัปดาห์หลังการฉีดเข็มที่สอง
ผลการศึกษาชิ้นเดียวกันซึ่งเผยแพร่โดยหน่วยงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร พบว่าการให้วัคซีนเข็มกระตุ้นมีประสิทธิภาพถึง 75% ในการป้องกันการติดเชื้อที่แสดงอาการหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน 2 สัปดาห์
ผลการศึกษาพบว่าประสิทธิภาพของการฉีดเข็มที่ 3 เริ่มลดลงหลังจากผ่านไปประมาณ 4 สัปดาห์ เข็มที่ 3 มีประสิทธิภาพ 55% ถึง 70% ในการป้องกันการติดเชื้อในสัปดาห์ที่ 5 ถึง 9 และมีประสิทธิภาพ 40%- 50% ในสัปดาห์ที่ 10 หลังจากได้รับการฉีด
อัลเบิร์ต บูร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ให้สัมภาษณ์ ซีเอ็นบีซีในเดือนที่แล้วว่า อาจจะต้องมีการฉีดวัคซีนเข็มที่สี่ และอาจจำเป็นต้องฉีดเร็วกว่าที่คาดไว้เนื่องจากความรุนแรงของโอไมครอน
ในระหว่างการสัมภาษณ์กับโกลด์แมนแซคส์ บันเซล กล่าวว่า โอไมครอน สามารถเร่งการเปลี่ยนผ่านจากวิกฤติเฉียบพลันที่เกิดจากไวรัสไปสู่ระยะที่ระบาดในวงกว้าง จนคนจำนวนมากมีภูมิคุ้มกันเพียงพอ และโควิดก็ไม่มีผลต่อการใช้ชีวิต
อย่างไรก็ตาม บันเซลค่อนข้างระมัดระวังที่คาดคาดการณ์ โดยชี้ว่า โอไมครอนที่มีการกลายพันธุ์หลายสิบครั้ง ทำให้กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ประหลาดใจ ข้อมูลจนถึงขณะนี้บ่งชี้ว่า โอไมครอนสามารถแพร่เชื้อได้ดีกว่าแต่มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆที่ผ่านมา
บันเซลกล่าวว่า “การกลายพันธุ์แบบสุ่มสามารถเปลี่ยนเส้นทางของการระบาดใหญ่ได้อีกครั้ง”
“สิ่งที่คาดเดาไม่ได้โดยสิ้นเชิง คือมีการกลายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นในหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือสามเดือน ซึ่งเลวร้ายกว่าในแง่ของความรุนแรงของโรค นั่นเป็นสิ่งที่เราจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องนี้”บันเซลกล่าว