ThaiPublica > ประเด็นร้อน > COVID-19 พลิกโลก > ผลวิจัยพบ ‘ใส่หน้ากาก’ ช่วยลดเสี่ยงติดเชื้อโควิดได้ 53%

ผลวิจัยพบ ‘ใส่หน้ากาก’ ช่วยลดเสี่ยงติดเชื้อโควิดได้ 53%

21 พฤศจิกายน 2021


ที่มาภาพ: https://www.bnnbloomberg.ca/masks-cut-covid-risk-in-half-new-study-shows-1.1683763

การใส่หน้ากากอนามัยเป็นมาตรการด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพียงมาตรการเดียวในการแก้ปัญหาโควิด โดยลดการเกิดโควิดลง 53% จากผลการศึกษาระดับโลกชิ้นแรก

วัคซีนมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และช่วยชีวิตคนทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้การป้องกัน 100% ประเทศส่วนใหญ่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนให้กับทุกคน และยังไม่ทราบว่าการฉีดวัคซีนจะป้องกันการแพร่เชื้อของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในอนาคตได้หรือไม่

ทั่วโลกมีผู้ป่วยโควิดเกิน 250 ล้านคนในเดือนนี้ ไวรัสยังคงแพร่ระบาดสู่ผู้คน 50 ล้านคนทั่วโลกทุกๆ 90 วัน จากสายพันธ์เดลต้าที่แพร่เชื้อได้สูง โดยมีผู้เสียชีวิตหลายพันคนในแต่ละวัน

จากการศึกษาอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ(meta analysis) ของมาตรการควบคุมการระบาด (non-pharmaceutical interventions) พบว่า การใส่หน้ากาก การเว้นระยะห่างทางสังคม และการล้างมือเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมจำนวนติดเชื้อ โดยที่ การใส่หน้ากากมีประสิทธิภาพสูงสุด

“การศีกษาอย่างเป็นระบบและวิธีการทางสถิติชี้ให้เห็นว่ามาตรการป้องกันส่วนบุคคลและสังคม รวมถึงการล้างมือ การสวมหน้ากาก และการเว้นระยะห่างทางกายภาพ เกี่ยวข้องกับการลดการเกิดโควิด-19” นักวิจัยระบุในบทความที่ตีพิมพ์ใน BMJ (British Medical Journal) วารสารการแพทย์รายสัปดาห์

นักวิจัยระบุว่า ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม และล้างมือควบคู่ไปกับโครงการวัคซีน

  • “นพ.ประสิทธิ์” ขอความร่วมมือสวมหน้ากาก-ฉีดวัคซีน อย่ารอจนวิกฤติรุนแรงแก้ไขไม่ได้
  • นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโมนาช และมหาวิทยาลัยเอดินบะระกล่าวว่า มาตรการหลายด้าน เช่น การล็อกดาวน์และการปิดพรมแดน การปิดโรงเรียน และสถานที่ทำงาน จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อประเมินผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นต่อประชากร

    เป็นที่ทราบกันดีว่ามาตรการควบคุมการระบาด หรือมาตรการทางสาธารณสุขมีประโยชน์ในการต่อสู้กับการติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้พยายามใช้มาตรการเหล่านี้เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโควิด

    ผลจากการศึกษามากกว่า 30 ชิ้นจากทั่วโลกได้รับการวิเคราะห์โดยละเอียด แสดงให้เห็นการลดการเกิดขึ้นของโควิด จากการใส่หน้ากากลง 53% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และลดลง 25% จากการเว้นระยะห่างทางกายภาพ

    การล้างมือยังช่วยลดอัตราการเกิดโรคโควิดลงอย่างมากถึง 53% แม้ว่ามาตรการด้านนี้จะไม่มีนัยสำคัญทางสถิติหลังจากปรับการศึกษาการล้างมือจำนวนน้อยที่รวมอยู่ด้วยแล้ว

    ที่มาภาพ: https://www.bmj.com/content/375/bmj-2021-068302

    นักวิจัยกล่าวว่า การวิเคราะห์โดยละเอียดในมาตรการอื่นๆทำได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นการกักกันและการแยกตัว การล็อกดาวน์แบบครอบจักรวาล และการปิดพรมแดน การปิดโรงเรียน และสถานที่ทำงาน เนื่องจากความแตกต่างในการออกแบบการศึกษา การวัดผลลัพธ์ และคุณภาพ และยังไม่มีข้อมูลที่เชื่อถือที่นำมาเปรียบเทียบกันได้

    การสวมหน้ากากมีการใช้ในหลายประเทศในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ แต่เกือบสองปีหลังจากนั้นหลายประเทศได้ยกเลิกข้อกำหนดเดิมบางส่วนหรือทั้งหมด

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ในเดือนนี้ได้ตัดสินใจบังคับใช้การสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้ง เพื่อพยายามชะลอการติดเชื้อครั้งล่าสุด

    เมื่อเร็วๆนี้ โรมาเนีย สาธารณรัฐเช็ก สโลวาเกีย และโปแลนด์ ยังได้มีกฎเกณฑ์เข้มงวดในการสวมหน้ากาก แต่ฮังการีซึ่งมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนนี้ กลับไม่บังคับให้สวมหน้ากากในพื้นที่ปิด

    ในอังกฤษ ข้อกำหนดทางกฎหมายบังคับให้ใส่หน้ากากสิ้นสุดลงในเดือนกรกฎาคม นอกเหนือจากในสถานพยาบาล และเนิร์สซิ่งโฮม เว้นแต่จะได้รับการยกเว้น ในเวลส์ ยังบังคับใช้ใส่หน้ากากเมื่อใช้บริการกการขนส่งสาธารณะและพื้นที่สาธารณะในร่มทั้งหมด ยกเว้นในผับและร้านอาหาร ในสกอตแลนด์ ยังคงต้องใส่หน้ากากในร้านค้าและในระบบขนส่งสาธารณะ และในผับและร้านอาหารเมื่อไม่ได้นั่งโต๊ะ ในไอร์แลนด์เหนือยังคงต้องใส่หน้ากากในระบบขนส่งสาธารณะและในร้านค้า

    นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ถูกวิจารณ์จากทูตพิเศษด้านโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลกในเดือนนี้ หลังถูกถ่ายรูปโดยไม่ใส่หน้าหากระหว่างการเยี่ยมโรงพยาบาล