ThaiPublica > ประเด็นร้อน > COVID-19 พลิกโลก > ศบค.คลายล็อก “ร้านอาหาร-ตัดผม-นวดเท้า-ฟิตเนส-ห้าง” เปิดบริการถึง 2 ทุ่ม เริ่ม 1 ก.ย.นี้

ศบค.คลายล็อก “ร้านอาหาร-ตัดผม-นวดเท้า-ฟิตเนส-ห้าง” เปิดบริการถึง 2 ทุ่ม เริ่ม 1 ก.ย.นี้

27 สิงหาคม 2021


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

ศบค.คลายล็อก “ร้านอาหาร-ตัดผม-นวดเท้า-ห้าง” เปิดให้บริการได้ถึง 2 ทุ่ม เริ่ม 1 ก.ย.นี้ – คงมาตรการเคอร์ฟิว 29 จังหวัด กำชับสถานประกอบการ ฉีดวัคซีนให้พนักงานครบ – ใช้ ATK ตรวจทุกสัปดาห์

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2564 เวลา 09.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ครั้งที่ 13/2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุม ศบค.วันนี้ นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการปรับมุมมองและยุทธศาสตร์การบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยให้ประชาชนสามารถอยู่กับโรคได้อย่างปลอดภัย เพราะเชื่อว่าไวรัสโควิด-19 จะไม่หมดไป และจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น ศบค. จึงกำหนดเป้าหมาย ด้วยการควบคุมโรคให้สมดุลกับการดำรงชีวิตและสามารถทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลได้เริ่มดำเนินกิจกรรม โครงการแล้ว อาทิ Phuket Sandbox และ Samui Plus Model ซึ่งเป็นการทยอยเปิดกิจกรรมและในพื้นที่ที่มีความพร้อมตามเป้าหมายการเปิดประเทศอย่างเป็นขั้นตอน ภายใต้ความปลอดภัยด้านสาธารณสุข DMHTT และมาตรการ Universal Prevention นายกรัฐมนตรียังฝากกระทรวงพาณิชย์ติดตามความต้องการใช้ออกซิเจนทางการแพทย์ให้เพียงพอ พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันการลักลอบส่งออกถังออกซิเจนผิดกฎหมายด้วย

นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งจัดหาวัคซีนโควิดสำหรับเด็กอายุ 12-18 ปี ซึ่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้รายงานว่า ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนให้กับครูแล้วกว่า 573,656 คน และยังคงมีนักเรียนในระบบอีกประมาณ 4 ล้านคน จากการประเมินของกระทรวงสาธารณสุขคาดว่า ภายในสิ้นปีนี้ ไทยจะได้รับวัคซีน รวมทุกประเภท 140 ล้านโดส ก็ขอให้เดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งชาวต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทย ให้เร็วที่สุดสอดคล้องกับจำนวนวัคซีนที่ไทยมีอยู่ รวมทั้งให้เร่งรัดการเข้าถึงการตรวจโควิด-19 ด้วย ATK ด้วย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลพร้อมยกระดับงานวิจัยและพัฒนาวัคซีนไทย เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุข ครอบคลุมถึงการกระบวนการผลิต เพื่อให้ไทยสามารถพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนในอนาคตได้ และจากที่ได้ติดตามการพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 (จุฬา-คอฟ-19) ชนิด mRNA โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งเป้าหมายขึ้นทะเบียนให้ใช้ได้ ในรูปแบบภาวะฉุกเฉินในช่วงเดือนเมษายน 2565 และวัคซีนใบยาที่ใช้เทคโนโลยีจากใบยาสูบ รัฐบาลพร้อมจัดสรรงบประมาณ และเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โฆษก ศบค.)เปิดเผยถึงที่ประชุมศบค.ครั้งที่ 13/2564 ว่ามติที่ประชุมวันนี้ ไม่มีการปรับเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้ม โดยยังคงจำนวนจังหวัดพื้นที่สีเลือดหมู (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด) ที่ 29 จังหวัด พื้นที่สีแดง (พื้นที่ควบคุมสูงสุด) 37 จังหวัด และพื้นที่สีส้ม (พื้นที่ควบคุม) 11 จังหวัด

พญ.อภิสมัยให้ข้อมูลว่าที่ประชุมได้ปรับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคดังนี้

  1. การเดินทางข้ามจังหวัดตามพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดได้โดยขอความร่วมมือให้เดินทางเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้นส่วนระบบขนส่งสาธารณะจำกัดจำนวนผู้โดยสารไม่เกิน 75% สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาห้ามรับประทานอาหารรถตู้ระยะทางไกลควรจอดทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อระบายอากาศโดยหน่วยงานกำกับติดตามมาตรการคือกระทรวงคมนาคมและสำนักงานการบินพลเรือน
  2. การเปิดบริการร้านอาหารสำหรับร้านค้าที่อยู่นอกอาคารหรืออยู่ในอาคารแต่ไม่มีเครื่องปรับอากาศให้นั่งรับประทานได้ไม่เกิน 75% ของพื้นที่ส่วนร้านอาหารที่มีเครื่องปรับอากาศนั่งได้ไม่เกิน 50% โดยหน่วยงานกำกับติดตามมาตรการคือสมาคมภัตตาคารไทยและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและกทม.
  3. การเปิดกิจการบางประเภท เช่น ร้านเสริมสวยร้านนวด (เฉพาะนวดเท้า) พญ.อภิสมัยกล่าวถึงมาตรการเปิดกิจการบางประเภทสำหรับกิจการห้างสรรพสินค้าศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ (1) กิจการ/กิจกรรมที่เปิดได้แบบมีเงื่อนไขได้แก่ร้านเสริมสวย หรือ ร้านตัดผมเปิดไว้เฉพาะตัดผมไม่เกิน 1 ชั่วโมง, ร้านนวดเปิดได้เฉพาะนวดเท้า, คลินิกเสริมความงามให้เปิดจำหน่ายสินค้าเท่านั้น, ร้านอาหารเปิดตามเงื่อนไขร้านอาหารที่มีเครื่องปรับอากาศ (2) กิจการที่ยังไม่เปิดบริการได้แก่สถาบันกวดวิชาโรงภาพยนตร์ สปา สวนสนุก สวนน้ำ ฟิตเนส ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ และห้องจัดประชุมกำหนดเวลาเปิดถึง 20.00 น. และติดตามมาตรการโดยสภาหอการค้าไทยและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและกทม. ส่วนกิจการที่อยู่นอกห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าให้เปิดร้านเสริมสวย และร้านนวด (เฉพาะนวดเท้า)
  4. การใช้อาคารสถานศึกษายังคงไม่เปิดเรียน แต่มีการพิจารณาให้ใช้อาคารสถานศึกษาได้ โดยผ่านความเห็นชอบของผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงอุดมศึกษาฯในพื้นที่ร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด “หมายความว่าสถานศึกษาบางแห่งจำเป็นต้องจัดสอบจัดประชุมการเรียนการสอนต่างๆต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อนและขอผ่อนผันได้เป็นกรณีไป”
  5. การเปิดใช้สนามกีฬา และสวนสาธารณะรวมไปถึงสนามฝึกซ้อมสำหรับนักกีฬา กำหนดให้ใช้ในการซ้อมเล่นได้แต่ต้องไม่มีผู้ชมกำหนดเวลาถึง 20.00 น. ติดตามมาตรการโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาการกีฬาแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด 

พญ.อภิสมัยยังย้ำถึงแนวคิดมาตรการ Universal Prevention for Covid-19 หรือ การป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล โดยยกระดับการป้องกันตัวเองขั้นสูงสุดตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือประชาชนและให้ตระหนักว่าคนใกล้ตัวอาจจะติดเชื้อโควิด-19 ได้

ที่ประชุมศบค.ยังกำหนดมาตรการจาก Universal Prevention for Covid-19 ในระดับ ‘มาตรการองค์กร’ ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม (ระบบระบายอากาศ หรือสุขอนามัย) ด้านผู้ประกอบการ (วัคซีนครบตามเกณฑ์ และตรวจ ATK ทุกสัปดาห์) และด้านลูกค้า (วัคซีนครบ) โดยบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ในทุกพื้นที่ อย่างไรก็ตาม มาตรการการตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ ยังถือเป็นมาตรการนำร่องให้ใช้เฉพาะพื้นที่ที่มีความพร้อมเท่านั้น

“ส่วนสถานประกอบการที่ศึกษารายละเอียดเรื่องสถานประกอบการปลอดโควิด-19 แล้ว อาจมีความกังวลว่าพนักงานของเรา อาจฉีดวัคซีนไม่ครบ หรือ ยังไม่รู้ว่าจะหาชุดตรวจ ATK ที่ไหน เน้นย้ำว่าตอนนี้ท่านค่อย ๆเตรียมความพร้อมได้ 1 กันยายนนี้ เราประกาศสำหรับสถานประกอบการที่มีความพร้อมจริง ๆให้ท่านเตรียมตัวว่าทิศทางจะเป็นแบบนี้” พญ.อภิสมัยกล่าว