ThaiPublica > ประเด็นร้อน > COVID-19 พลิกโลก > โฆษกรัฐบาล เตือน “ทัวร์ฉีดวัคซีน” แนะตรวจข้อมูลให้รอบด้านก่อนเดินทาง นายก ฯกำชับ พม.ดูแลกลุ่มเปราะบาง

โฆษกรัฐบาล เตือน “ทัวร์ฉีดวัคซีน” แนะตรวจข้อมูลให้รอบด้านก่อนเดินทาง นายก ฯกำชับ พม.ดูแลกลุ่มเปราะบาง

9 พฤษภาคม 2021


นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

โฆษกรัฐบาล เตือน “ทัวร์ฉีดวัคซีน” ยุโรป-อเมริกา แนะตรวจข้อมูลรอบด้านก่อนเดินทาง นายก ฯกำชับ พม.ดูแลกลุ่มเปราะบาง “เด็ก-ผู้สูงอายุ-คนพิการ”

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกระแสข่าวที่บางประเทศกำหนดให้การฉีดวัคซีนมาเป็นหนึ่งในเงื่อนไขในการเดินทางเข้าประเทศนั้น รัฐบาลขอชี้แจงว่า ผู้ที่มีความประสงค์เดินทางไปต่างประเทศจำเป็นต้องตรวจสอบกฎระเบียบเกี่ยวกับการเข้าเมือง และมาตรการทางด้านสาธารณสุขของประเทศปลายทางให้ชัดเจนก่อนเสมอ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงเป็นความท้าทายในหลายประเทศ และมีระดับของความรุนแรงแตกต่างกันไป ทั้งนี้ ควรปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขของประเทศนั้น ๆอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจหาเชื้อตามระยะเวลาที่กำหนดก่อนเดินทาง การเตรียมเอกสารรับรองผลตรวจเชื้อ และเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน การกักตัว ณ ที่พักอาศัย การรักษาระยะห่าง และการสวมหน้ากากอนามัย เป็นต้น

นายอนุชา กล่าวต่อว่ากรณีการเดินทางเข้าประเทศในสหภาพยุโรป หรือ EU ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้มีการชี้แจงในเบื้องต้นไปบ้างแล้ว ว่า EU ได้ผ่อนคลายมาตรการเพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ประเทศสมาชิก EU แต่ละประเทศมีอำนาจในการประกาศกฎระเบียบเกี่ยวกับการเข้าเมือง และมาตรการด้านสาธารณสุขของตนเอง โดยประเทศสมาชิก EU ที่สามารถเดินทางจากประเทศไทยได้โดยไม่มีเงื่อนไขมี 13 ประเทศ ได้แก่ โปรตุเกส สเปน อิตาลี เยอรมนี โครเอเชีย โปแลนด์ เอสโตเนีย สวีเดน ฟินแลนด์ บัลแกเรีย กรีซ เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ ส่วนประเทศที่มีเงื่อนไข หรือ ข้อจำกัดตามที่ประเทศปลายทางกำหนด 14 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เช็ก ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก ลัตเวีย สโลวีเนีย สโลวาเกีย ฮังการี ลิทัวเนีย โรมาเนีย ออสเตรีย ลักเซมเบิร์ก และไซปรัส ผู้ที่จะเดินทางจึงจำเป็นต้องตรวจสอบมาตรการสาธารณสุขของประเทศปลายทาง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า ขณะนี้ EU ยังไม่ได้กำหนดให้การฉีดวัคซีนหรือไม่ หรือการฉีดวัคซีนประเภทใดเป็นเงื่อนไขการเดินทางเข้าเขต EU และยังอยู่ในระหว่างพิจารณาวิธีการรับรองการฉีดวัคซีน ฯ (Vaccination Certificate – VC) ของประเทศนอก EU ซึ่งหากพิจารณาแล้วเสร็จ ประเทศสมาชิก EU แต่ละประเทศก็จะนำไปกำหนดมาตรการและเงื่อนไขในการเดินทางเข้าต่อไป อย่างไรก็ดี ขอให้ผู้ที่ประสงค์เดินทางไปต่างประเทศติดตามข้อกำหนดของแต่ละประเทศสมาชิก EU จากเว็บไซต์ของสหภาพยุโรป

สำหรับกระแสข่าวเรื่องการเดินทางไปท่องเที่ยวและฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 ที่สหรัฐอเมริกา โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศว่าได้มีการสั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลใหญ่ไทยในสหรัฐ ฯ ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับชาวต่างชาติของมลรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐฯ พบว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะเรียกดูข้อมูลหลักฐานถิ่นที่อยู่ หลักฐานการทำงาน หรือ การศึกษาในรัฐ รวมถึงจะพิจารณาหลักฐานการเข้าเกณฑ์ที่ได้รับอนุญาต และอาจปฏิเสธการให้บริการ หากไม่สามารถแสดงหลักฐานตามที่ร้องขอได้

ทั้งนี้ ในแต่ละมลรัฐมีนโยบายการฉีดและแจกจ่ายวัคซีนที่แตกต่างกัน ซึ่งโดยรวมจะมีการฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีถิ่นพำนัก ทำงาน หรือศึกษาในมลรัฐนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ในบางมลรัฐได้จัดสรรวัคซีนให้กับผู้ไม่มีถิ่นพำนักและไม่ได้ทำงานหรือศึกษาในมลรัฐนั้น ๆ แต่ก็ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าอนุญาตให้นักท่องเที่ยว ยกเว้นมลรัฐอแลสกาที่มีนโยบายชัดเจนว่า ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาฉีดวัคซีนได้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศยังเน้นย้ำว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในสหรัฐฯ ได้รับอนุมัติการใช้งานแบบฉุกเฉินเท่านั้น หากรับวัคซีนแล้วมีอาการข้างเคียง หรือ การแพ้รุนแรง บริษัทฯ ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใด ๆ และหากไม่มีประกันสุขภาพที่ครอบคลุม อาจต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่มีราคาสูงอีกด้วย จึงขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในสหรัฐ ฯ เพื่อฉีดวัคซีน โปรดศึกษาข้อมูลจากหน่วยงานทางการของสหรัฐฯ อาทิ เว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย รวมถึงนโยบายการจัดสรรวัคซีนของมลรัฐต่าง ๆ ข้อมูลการตรวจคนเข้าเมือง มาตรการด้านสาธารณสุข และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนมาตรการที่ต้องปฏิบัติเมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยด้วย

ผศ.ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

ด้านนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้ดูแลประชาชนทุกคนอย่างดีที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบาง ครอบคลุม เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นผู้ป่วยโควิด-19 แต่ก็อาจได้รับผลกระทบ เพราะเป็นผู้อยู่ในภาวะพึ่งพิง เมื่อผู้ดูแลหรือคนในครอบครัวติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มเปราะบางจึงอยู่ในสถานะขาดที่พึ่ง ภาครัฐจึงต้องวางแผนเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาของคนกลุ่มนี้ด้วย

ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้สั่งเปิดสายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูแลกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศเป็นการเฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้

    1) ได้รับความเดือดร้อนไม่มีผู้ดูแลเนื่องจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือ ผู้ดูแลเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19
    2) รักษาหายแล้วและกลับมาอยู่ในครอบครัว แต่มีความเครียดวิตกกังวล
    3) ถูกทิ้งไว้ลำพัง และ
    4) ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เป็นผู้ส่งเสียเลี้ยงดู

นอกจากนี้ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลที่มีการแพร่ระบาดของโรคฯอย่างมาก พม.ได้เตรียมสถานที่พักพิงสำหรับกลุ่มเปราะบางไว้ต่างหาก อาทิ กรณีเด็ก ใช้สถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี (เฉพาะเด็กหญิง) สถานแรกรับเด็กชายปากเกร็ด (เฉพาะเด็กชาย) สถาบันประชาบดี ปทุมธานี กรณีผู้สูงอายุ ใช้ที่พักคนเดินทางดินแดงบ้านสร้างโอกาส ศูนย์ฝึกอบรมผู้สูงอายุ บางละมุง กรณีคนพิการ ใช้ศูนย์พัฒนาและฝึกอาชีพคนพิการ พระประแดง

ในส่วนการดูแลกลุ่มเปราะบางที่ติดเชื้อโควิด-19 รองโฆษกฯ กล่าวว่า พม.พร้อมให้การดูแลประสานกทม. และกระทรวงสาธารณสุขเพื่อส่งต่อเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาล เช่น ผู้ป่วยเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีและผู้ป่วยพิการที่ต้องรับการดูแลเป็นพิเศษ พม. ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จัดพื้นที่รองรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้ หรือ หากผู้ป่วยติดต่อประสานเข้ารักษาพยาบาลไว้แล้ว แต่มีปัญหาไม่มีรถมารับ พม.จะจัดรถไปรับเพื่อส่งไปรับการรักษา พร้อมกันนี้ เรื่องการลงทะเบียนจองฉีดวัคซีน ได้เตรียมอาสาสมัครพัฒนาสังคม (อพม.) และเจ้าหน้าที่ พม. ทั่วประเทศ ไว้คอยช่วยกลุ่มเปราะบางลงทะเบียนจองฉีดวัคซีน ซึ่งจะฉีดให้กับผู้สูงอายุ และ ผู้มีโรคประจำตัว 7 โรค หากเป็นผู้มีคุณสมบัติ แต่ยังลงทะเบียนไม่ได้ สามารถโทรมาขอความช่วยเหลือที่ สายด่วน 1300 ซึ่งจะมีการประสานกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การลงทะเบียนสำเร็จเรียบร้อย

“รัฐบาลห่วงใยในความยากลำบากที่กลุ่มคนเปราะบางต้องเผชิญภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ถึงแม้ว่าบางคนจะไม่ได้ในติดเชื้อแต่ก็ต้องเจอผลกระทบเพราะขาดที่พึ่ง จึงได้เตรียมพร้อมการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น โดย พม.ได้บูรณาการความร่วมมือกับภาครัฐ เครือข่ายภาคประชาชน ภาคเอกชน ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนร่วมกัน มีการเตรียมสถานที่รองรับไว้หลายพื้นที่ ทั้งในเขต กทม. ปริมณฑล และ ส่วนภูมิภาค ส่วนในกรณีผู้ติดเชื้อ ก็จะช่วยประสานส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน และ ท้ายสุด ในกรณีที่คนในครอบครัวซึ่งเป็นผู้ดูแลกลุ่มเปราะบางติดเชื้อโควิด-19 กระทรวงฯ จะให้การช่วยเหลือเรื่องอาชีพของครัวเรือนด้วย จึงขอย้ำว่า สายด่วน 1300 พร้อมเป็นที่พึ่งของกลุ่มเปราะบางทุกคน” นางสาวรัชดา กล่าว