
รวมความเห็นโต้กลับนักวิชาการ ยัน “ตุลาการศาล รธน.” วินิจฉัยถูกต้อง – เปิดคำวินิจฉัยส่วนตน “ทวีเกียรติ” กรณีคุณสมบัติ “ธรรมนัส”
หลังจากที่นักวิชาการจำนวนมากออกมาแสดงความคิดเห็นโต้แย้งต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคุณสมบัติของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพะเยา เขต 1 สังกัดพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา
ต่อมานายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย และ ศ.พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อชี้แจงต่อประเด็นต่างๆ และมีการเผยแพร่ความเห็นส่วนตนอย่างไม่เป็นทางการ ของ ศ. ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 โดยข้อชี้แจงทั้งหมดมีประเด็นโดยสรุป ดังนี้
-
กรณี ร.อ. ธรรมนัส ถูกตัดสินลงโทษจำคุกคดียาเสพติด ตั้งแต่ ปี 2536 และพ้นโทษเมื่อปี 2540 ถือว่าพ้นโทษมาแล้วเกิน 5 ปี จึงถือว่าไม่ขาดคุณสมบัติตามกฎหมาย
ตามรายงานข่าว นายวิษณุให้เหตุผลชี้แจงว่า “เคยมีความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ 276/2525) มีคำสั่งว่าหากถูกพิพากษาจำคุกในหรือต่างประเทศตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป โดยพ้นโทษมาแล้วไม่ถึง 5 ปี ถือว่าเป็นบุคคลต้องห้าม ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. แต่กรณี ร.อ. ธรรมนัส ถูกตัดสินลงโทษจำคุกคดียาเสพติดตั้งแต่ปี 2536 และพ้นโทษเมื่อปี 2540 ถือว่าพ้นโทษมาแล้วเกิน 5 ปี จึงถือว่าไม่ขาดคุณสมบัติตามกฎหมาย”

อย่างไรก็ตาม มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าบทกำหนดระยะเวลาดังกล่าวนั้นอยู่ในรัฐธรรมนูญ ปี 2521 แต่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ฉบับปัจจุบันไม่ได้กำหนดเรื่องนี้ไว้แต่อย่างใด
-
กรณีดังกล่าวไม่ใช่การล้างมลทิน แต่เป็นคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม
โดยนายวิษณุกล่าวว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนี้ถือเป็นบรรทัดฐานที่ใช้ได้กับทุกคน เพราะไม่เคยมีคำวินิจฉัยมาก่อน และใช้ได้กับความผิดทุกกรณี ไม่เฉพาะแต่ความผิดคดียาเสพติดอย่างเดียว แต่ไม่ใช่การล้างมลทิน เพราะเป็นเรื่องคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามซึ่งอาจจะมีมลทินก็ได้”
-
เป็นหลักสากลอยู่แล้วที่คำพิพากษาของประเทศใดต้องใช้แค่เฉพาะในประเทศนั้น หากเป็นกรณีที่นำคำพิพากษาของศาลต่างประเทศมาใช้ต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น
โดยในคำวินิจฉัยส่วนตนของ ศ. ดร.ทวีเกียรติ ได้ให้ความเห็นถึงประเด็นนี้ว่า “หากรัฐธรรมนูญประสงค์จะให้คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลต่างประเทศมีผลบังคับเป็นการจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลในประเทศไทย เพื่อป้องกันความลักลั่นไม่เป็นธรรม…โดยเชื่อถือในมาตรฐานทั้งในแง่เนื้อหาและกระบวนการของคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศ รัฐธรรมนูญจะต้องระบุให้ชัดแจ้ง ดังเช่นประเทศสหราชอาณาจักร ที่กำหนดให้บุคคลที่ต้องคำพิพากษาในคดีอาญาให้จำคุกมากกว่า 1 ปีจะไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ระหว่างที่ถูกจำคุกในเกาะบริเตน หรือสาธารณรัฐไอร์แลนด์ หรือหลบหนีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ไม่ว่าคำพิพากษานั้นจะเป็นคำพิพากษาของศาลในสหราชอาณาจักรหรือของประเทศอื่น”
(อ่านคำวินิจฉัยส่วนตนของ ศ. ดร.ทวีเกียรติ ฉบับเต็ม)
พร้อมทั้งอ้างอิงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ 562/2554 ที่มีปัญหาจากระเบียบสำนักนายกว่าด้วยการให้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่มีปัญหาว่าต้องเรียกคืนเครื่องราชฯ จากผู้ที่ถูกศาลต่างประเทศพิพากษาให้จำคุกหรือไม่ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่า ต้องเป็นเรื่องคำพิพากษาของศาลไทยเท่านั้นถ้าเป็นการยอมรับคำพิพากษาศาลต่างประเทศจะเป็นการว่าเราไปรับอธิปไตยของต่างชาติ
(อ่าน ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ 562/2554 ฉบับเต็ม)
ด้านศ.พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านฐานเศรษฐกิจออนไลน์ โดยระบุถึงประเด็นดังกล่าวว่า “เคยมีคำวินิจฉัยแบบนี้เป็นบรรทัดฐานมาก่อนแล้ว และก่อนหน้าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นหลักพื้นฐานที่ระบบกฎหมายไทยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล มาก่อนแล้วว่า คำว่าศาล คำว่ากฎหมาย คำพิพากษา ของประเทศใดก็ต้องใช้ของประเทศนั้น และเมื่อพูดถึงเฉพาะคำพิพากษาของศาล ในระบบกฎหมาย สมมติเป็นของประเทศสหรัฐอเมริกา ก็หมายถึงศาลของประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เขาไม่มีวันจะมาบอกว่าคำว่าศาลในกฎหมายของเขาหมายรวมถึงศาลทั่วโลกทุกประเทศกว่า 200 ประเทศ คำว่าศาลและคำพิพากษาของศาลในประเทศไทยในระบบกฎหมายไทยก็หมายความถึงคำพิพากษาศาลไทย นี่คือระบบที่เป็นมาแต่เดิมและเป็นอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งคงจะเป็นอยู่ต่อไป ถ้ามีเหตุผลหรือความจำเป็น ประเทศไหนประสงค์จะให้คำว่าศาลในกฎหมายเขา หมายรวมถึงศาลทั่วโลกทุกประเทศด้วย เขาจะต้องเขียนไว้เป็นการเฉพา” พร้อมกล่าวย้ำว่าหากจะนำคำวินิจฉัยของศาลต่างประเทศมาใช้ได้ต้องเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้ จะใช้ความรู้สึกมาตัดสินไม่ได้
ทั้งนี้ ในกรณีดังกล่าวได้มีผู้เผยแพร่คำบรรยายวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ ชั้นเนติบัณฑิต ปีการศึกษา 2563 ที่สอนโดย ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ได้ให้ความเห็นต่อความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ 276/2525 และความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ 562/2554 ว่า
“การรับเอาคำพิพากษาศาลต่างประเทศในคดีอาญามาบังคับคดีในประเทศไทย ซึ่งกรณีนี้รับไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเป็นการบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ ซึ่งทำไม่ได้ เพราะว่าถ้าทำอย่างนั้น ก็แสดงว่าเราไม่มีอธิปไตยของเรา แต่ถ้าศาลต่างประเทศพิพากษาให้จำคุก และคำพิพากษานั้นมีผลให้ผู้นั้นถูกจำคุกจริงและความผิดนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายไทยด้วยแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นคำพิพากษาศาลต่างประเทศ ก็เป็นการแสดงข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่ใช่การบังคับ เพราะฉะนั้นอาจารย์เห็นด้วยกับความเห็นแรก (ความเห็น คณะกรรมการกฤษฎีกา ปี 2525)”
-
กฎหมายยาเสพติดนั้นยกเว้นไว้เฉพาะเรื่องการแลกเปลี่ยนนักโทษเท่านั้น ไม่ได้หมายความให้เอาคำพิพากษาของศาลประเทศอื่นมาใช้ด้วย
ศ.พิเศษ จรัญ กล่าวว่า “คดียาเสพติดนั้น ถ้าเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไรในเขตของประเทศไทย แต่เขาไปถูกศาลประเทศอื่นตัดสินลงโทษ …เราต้องเอาตัวเขามาดำเนินคดี ฐานติดยาเสพติด ผิดกฎหมายไทย ในประเทศไทยได้ แต่ไม่ใช่ไปเอาคำพิพากษาของศาลต่างประเทศมาใช้ เพราะกฎหมายยาเสพติดเขาไม่ได้รวมถึงศาล เขาใช้กับกฎหมาย ศาลที่เขายกเว้นคือเรื่องของการแลกเปลี่ยนนักโทษ ดังนั้น จะเห็นว่าถ้าจะดำเนินการในระดับสูง ถือหลักนิติรัฐ คือกฎหมายเป็นเกณฑ์ ไม่ได้เอาความรู้สึก หรือความต้องการของคนกลุ่มใดฝ่ายใดเป็นสำคัญ ก็ต้องจับหลักให้แม่น ไม่อย่างนั้นก็อาจจะผิดเพี้ยนไปได้”
-
กรณีนี้ควรเป็นเรื่องของเรื่องนี้เป็นเรื่องของความเหมาะ ความควร เรื่องจริยธรรม ตามมาตรา 160 (4) (5)
โดยนายวิษณุได้กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องจริยธรรมนั้นถือเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ในขณะที่ ศ.พิเศษ จรัญ ระบุว่า “เรื่องนี้คนดำเนินเรื่องคิดผิดประเด็น ดำเนินเรื่องผิดช่องทาง เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเหมาะ ความควร เรื่องจริยธรรมว่าประเทศไทยควรแต่งตั้ง ยกย่องคนที่ต้องคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ ขึ้นดำรงตำแหน่งชั้นสูงรับผิดชอบบ้านเมืองหรือไม่ …ต้องเข้าให้ถูกประเด็น ถูกช่องทาง กฎหมายที่เป็นอยู่ กับกฎหมายที่อยากจะให้เป็น มันคนละเรื่อง”
ในขณะที่ ดร.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวในรายการ ตอบโจทย์ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมาว่า เป็นเรื่องที่ศาลไม่สามารถวินิจฉัยเกินคำขอได้ เมื่อมีคำขอเพียงให้ศาลพิจารณาถึงคำพิพากษาของศาลออสเตรเลียศาลจึงต้องดูแค่ตรงนั้น หากเป็นประเด็นจริยธรรมไม่ใช่เรื่องกฎหมาย ก็จะเป็นความรับผิดในทางการเมืองต่อไป ซึ่งในประเด็นจริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องนามธรรม ค่อนข้างเลื่อนลอยกว่า และก็อยู่ที่ดุลพินิจของศาล
-
การตีความว่าบุคคลที่ถูกศาลต่างประเทศพิพากษาจะถูกตัดสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง โดยไม่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะอย่างชัดแจ้งนอกจากจะขัดกับหลักการแห่งสิทธิพลเมือง (civil right)
คำวินิจฉัยส่วนตนของ ศ. ดร.ทวีเกียรติ ระบุว่า “…สิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยเฉพาะสิทธิในการลงรับสมัครเลือกตั้งเพื่อใช้อํานาจนิติบัญญัติ สิทธิในการดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเพื่อใช้อำนาจบริหารประเทศ เป็นสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐานที่ถูกรองรับไว้ในรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองข้อ 25…การตีความรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นใดที่จำกัดสิทธิดังกล่าว ต้องกระทำโดยเคร่งครัดภายใต้ลายลักษณ์อักษรของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายของประเทศที่พลเมืองนั้นสังกัดอยู่เท่านั้น ดังนั้น การตีความว่าลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งเพราะต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่าด้วยการกระทำความผิดในฐานความผิดใดๆ ในกรณีนี้จึงต้องเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลไทย…”
ต่อมา ผศ. ดร.นพดล เดชสมบูรณ์รัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้ความเห็นถึงหลักการตีความกฎหมาย โดยสรุปได้ว่า ในการตีความเพื่อใช้คำพิพากษาของศาลต่างประเทศ แม้จะเป็นการจำกัดสิทธิ แต่ต้องเปรียบเทียบว่าประโยชน์ที่จะได้รับนั้นมีมากกว่าประโยชน์ที่จะเสียไปหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการพิจารณาไม่ให้ผู้ที่กระทำความผิดร้ายแรงเข้ามามีอำนาจทางการเมือง
(อ่านความคิดเห็นฉบับเต็ม)
ขณะที่ ศ. พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า “การตีความกฎหมาย ที่เข้าใจกันว่าแบ่งเป็นการตีความตามตัวอักษรอย่างหนึ่ง และการตีความตามเจตนารมณ์อีกอย่างหนึ่งนั้น
เมื่อผมทำงานก็ดี หรือสอนหนังสือก็ดี ผมอธิบายกับตัวเองและผู้เป็นศิษย์ว่า หลักทั้งสองอย่างนี้ต้องใช้ควบคู่กันเสมอ หมายความว่าจะตีความตามตัวอักษรตะพึดตะพือไปโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์เลยก็ไม่ได้ ขณะเดียวกันจะตีความตามเจตนารมณ์ไปสุดโต่งโดยขัดแย้งกับตัวอักษรแจ้งชัดก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
เหนือกว่าสิ่งอื่นใด คือ ความยุติธรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการมีกฎหมายและการใช้กฎหมายในบ้านเมือง ถ้าหลงลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบก็จะสูญเสียศรัทธาจากประชาชนไปอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด”
อย่างไรก็ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีการเผยแพร่อยู่ในปัจจุบันยังคงเป็นเพียงความเห็นโดยสรุป ซึ่งหากมีการเผยแพร่คำวินิจฉัยฉบับเต็ม และคำวินิจฉัยส่วนตนขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านอื่นๆ ออกมาอาจทำให้ได้เห็นเหตุผล และแง่มุมต่างๆ ในการพิจารณาประเด็นดังกล่าวมากยิ่งขึ้น