ThaiPublica > ข่าวประชาสัมพันธ์ (archive) > ไทยยูเนี่ยนรุกธุรกิจโปรตีนทางเลือก-อาหารเสริม ตั้งเป้ารายได้โต 5% ต่อปี

ไทยยูเนี่ยนรุกธุรกิจโปรตีนทางเลือก-อาหารเสริม ตั้งเป้ารายได้โต 5% ต่อปี

9 มีนาคม 2021


ข่าวประชาสัมพันธ์

วันนี้(9 มีนาคม 2564) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลประกอบการปี 2563 และผลประกอบการไตรมาสที่ 4 โดยมียอดขายทั้งปีอยู่ที่ระดับ 132,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9% มีกำไรสุทธิ 6,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.7% และบริษัทฯจะจ่ายเงินปันผล 40 สตางค์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 81.8% รวมทั้งปีปันผล 72 สตางค์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 53.2%เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2563 มียอดขายอยู่ที่ 33,464 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนหน้า และกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,938 ล้านบาท สูงขึ้น 26.1% เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.9%

ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องมียอดขายอยู่ที่ 14,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% ในขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 8% อยู่ที่ 5,287 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคเลือกซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารกระป๋องที่สามารถเก็บไว้ได้นานมากขึ้นในช่วงที่ใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขาย 13,738 ล้านบาท ลดลง 6.5% ลดลงเล็กน้อยในไตรมาสสุดท้ายของปี

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าไทยยูเนี่ยนมีผลประกอบการที่เข้มแข็งในปีที่ผ่านมา แม้ว่าเราจะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ก็ตาม เราจะเห็นว่าความต้องการผู้บริโภคที่เลือกซื้อสินค้าของไทยยูเนี่ยนนั้นสูงขึ้นเนื่องจากคนหันมาทำอาหารรับประทานเองที่บ้านบวกกับผู้บริโภคหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพและอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นด้วย ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน คู่ค้าและระบบซัพพลายเชนทั้งหมด เพื่อที่เราจะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและผลิตสินค้าที่ปลอดภัยได้คุณภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลก

“ผลการดำเนินงานในปีนี้นับว่าดีที่สุด ในรอบหลายปี เนื่องจากความต้องการอาหารทะเลกระป๋องและอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น ในช่วงการแพร่ระบาดที่ผู้คนใช้เวลาอยู่บ้านกับครอบครัวและสัตว์เลี้ยงมากขึ้น และผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพมาก โดยเฉพาะแบรนด์ที่ได้มาตรฐานและไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ที่มีคุณภาพชั้นนำ”

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

“ผลประกอบการปี 2563 เป็นเครื่องยืนยันว่าสินค้าของไทยยูเนี่ยนเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในด้านสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมเชื่อว่าหากทุกคนร่วมมือกันเราจะผ่านมันไปด้วยกัน และยังมั่นใจว่าไทยยูเนี่ยนจะยังคงผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกได้เป็นอย่างดีต่อไป” นายธีรพงศ์กล่าว

ผลการดำนินงานที่ดีไม่ได้มาจากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเท่านั้นแต่ยังเป็นผลจากกลยุทธ์ที่บริษัทฯได้ดำเนินการมา 3 ปีต่อเนื่องคือ การลดค่าใช้จ่าย การเพิ่มประสิทธิภาพ โดยในปี 2019 ในสหรัฐฯได้ปิดสำนักงาน chicken of the sea ที่ซานดิเอโก และนำไปรวมกับสำนักงานที่ลอส แองเจลิส รวมทั้งได้ควบรวม chicken of the sea และธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งในสหรัฐฯเข้าด้วย มีการบริหารจัดการโดยผู้บริหารคนเดียวพร้อมปรับระบบงานสนับสนุนให้เป็นแบบใช้บริการร่วมกัน (Shared Service)

นอกจากนี้ยังได้ใช้รูปแบบ Shared Service ที่เน้นออโตเมชั่น เอไอ หุ่นยนต์ กับธุรกิจในประเทศอื่นๆ ทั้ง สก็อตแลนด์ และเยอรมัน หลังจากปิดโรงงานแซลมอนแช่เย็น ส่วนในไทยได้ปิดโรงงานที่ปากพนัง เนื่องจากวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อการผลิต

ไทยยูเนี่ยนยังสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลงมาที่ 1.1 เท่า ในสิ้นปี 2020 จาก 1.35 เท่า ณ สิ้นปี 2019 รวมทั้งเน้นการดูแลกระแสเงินสด ความปลอดภัยของอาหาร ส่วนการใช้เงินลงทุนมีจำนวน 3.7 พันล้านบาทจากที่ต้งไว้ 4.9 พันล้านบาท

“ในปี 2021 ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องโดยรายได้จะเติบโตปีละ 5% ตลอดเวลาของแผน 5 ปีต่อเนื่อง หรือเพิ่มจาก จาก 132,000 ล้านบาทในปี 2020 เป็น 160,000 ล้านบาท มีเป้าหมายที่จะลดลงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไปอีกที่ 0.94 เท่า ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 17.5% และจะเพิ่มเป็น 20% กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 10% จาก 7% เป้าในปีนี้ รวมทั้งได้ตั้งงบลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 6-6.5 พันล้านบาท จาก 4.5 พันล้านบาท ”

งบลงทุนที่เพิ่มจะนำไปลงทุน 3 ส่วนด้วยกันคือ 1) โรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสท (Protein hydrolysate ) คอลลาเจนเปปไทด์ในประเทศมูลค่า 800 ล้านบาท 2) อาหารสำเร็จรูปในประเทศอีก 1,000 ล้านบาท และ 3) สร้างห้องเย็นที่กาน่ามูลค่า 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือนำไปใช้ในการบำรุงรักษาสายการผลิตโรงงานอื่นๆทั่วโลก

ในปีที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยนได้ลงทุนในธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรสูง เช่น ธุรกิจอินกรีเดียนท์ ธุรกิจนวัตกรรมและเทคโนโลยีอาหาร รวมถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ยูนีกโบน (UniQTMBONE) ผงแคลเซียมบดละเอียดจากกระดูกปลาทูน่า ไม่มีกลิ่นรส จึงไม่เปลี่ยนแปลงรสสัมผัสในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทำให้สามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของอาหาร แคปซูล อัดเม็ด หรือเป็นสารอาหารเพิ่มลงในอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยไทยยูเนี่ยนได้เปิดไลน์เครื่องจักรการผลิตใหม่ในโรงงานสงขลา แคนนิ่ง ที่จังหวัดสงขลา

ไทยยูเนี่ยนได้มุ่งไปที่หน่วยธุรกิจใหม่ที่จัดตั้งเพิ่มขึ้น 2 แห่ง คือ 1) ธุรกิจผลิตโปรตีนทางเลือก ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ในปีนี้ 100 ล้านบาท จากการจำหน่ายแบบ B2C และจะเติบโตเป็น 1,000 ล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า และ 2) ธุรกิจอาหารเสริม ได้แก่ ทูน่าออยล์ แคลเซียม โปรตีนไฮโดรไลเสท คอลลาเจนเปปไทด์ จำหน่ายแบบ B2B ซึ่งคาดรายได้ในปีนี้ 100 ล้านบาทและจะเติบโตเป็น 1,000 ล้านบาทในอีก 5 ปีเช่นกัน

แม้ทั้งสองธุรกิจและจะมีรายได้จะไม่ถึง 10% ของรายได้รวมของบริษัทฯ แต่เป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20%

นอกจากนี้จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นโปรตีนจากพืชหรือ Plant-based ภายใต้ชื่อ OMG ในวันที่ 15 มีนาคมนี้ โดยวางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์เป็นแห่งแรก รวมทั้งจะรับผลิตให้ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ

Plant-based protein เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาให้มีรสชาติและคุณลักษณะเหมือนกับเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค

ในส่วนของการทำงานกับสตาร์อัพ ไทยยูเนี่ยนเดินหน้าสนับสนุนโครงการสเปซ-เอฟ อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยสเปซ-เอฟนี้เป็นโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตทางธุรกิจเทคโนโลยีอาหารระดับโลกที่ทางบริษัทฯ ได้ร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2562 เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ของสตาร์ทอัพและนวัตกรรมให้เกิดขึ้นและนำไปสู่การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนได้ลงทุนในสตาร์ทอัพ 6 บริษัทด้วยกัน ทั้งนี้ ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนอีก 2 แห่งที่เน้นธุรกิจใหม่ๆ ในการนำนวัตกรรมเข้ามาเป็นหลักในการทำธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ลงทุนในสตาร์ทอัพ 4 บริษัทด้วยกัน โดยสามบริษัทแรกจากโครงการสเปซ-เอฟ ได้แก่ มันนา ฟู้ดส์ บริษัทโปรตีนทางเลือก อัลเคมี ฟู้ดเทค ธุรกิจนวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยและ บริษัท ไฮโดรนีโอ บริษัทเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ส่วนบริษัทที่สี่คือ วิสไวร์ส นิวโปรตีน อีกหนึ่งบริษัทเงินทุนสัญชาติสิงคโปร์ ที่ทำธุรกิจบริหารกองทุนที่มองหาโอกาสความร่วมมือและร่วมลงทุนในเทคโนโลยีอาหาร ถึงแม้ว่าตลาดโปรตีนทางเลือกในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่สำหรับตลาดสินค้าประเภทดังกล่าวในระดับโลกนั้นถือว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่สูงทีเดียว โดยปัจจุบันตลาดโปรตีนทางเลือกของโลกนั้นมีขนาดถึง 12,800 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังมีแนวโน้มว่าจะเติบโตในช่วงระหว่าง ปี 2562-2568 ถึง 6.8% เฉลี่ยต่อปี

“ปี 2563 นับเป็นปีที่พวกเราทุกคนต้องเผชิญกับความท้าทายในทุกด้าน แต่ด้วยการบริหารจัดการที่เข้มแข็งของบริษัทฯ และความทุ่มเทของพนักงาน ทำให้เราสามารถดำเนินธุรกิจมาได้อย่างดี นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังสามารถเจรจาเพื่อตกลงระงับข้อพิพาทเพื่อยุติคดีผูกขาดทางการค้าในสหรัฐอเมริกาทั้งหมดได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว”