ThaiPublica > เกาะกระแส > สภาคองเกรสรับรองชัยชนะ “โจ ไบเดน” ทรัมป์ยัน โอนอำนาจประธานาธิบดี 20 ม.ค.

สภาคองเกรสรับรองชัยชนะ “โจ ไบเดน” ทรัมป์ยัน โอนอำนาจประธานาธิบดี 20 ม.ค.

8 มกราคม 2021


ที่มาภาพ: https://www.npr.org/2021/01/07/954234902/congress-certifies-biden-victory-after-pro-trump-rioters-storm-the-capitol

สภาคองเกรสให้การรับรองชัยชนะการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีของโจ ไบเดน และรองประธานาธิบดีของกมลา แฮร์ริสในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 7 มกราคม เป็นการปิดวันและคืนอันยาวนานที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความรุนแรงในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กลุ่มหัวรุนแรงที่พยายามขัดขวางการถ่ายโอนอย่างสันติจากการยุยงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นตราประทับของประวัติศาสตร์อเมริกันยุคใหม่ด้วยเหตุจลาจลอย่างรุนแรงภายในอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯ

“สำหรับผู้ที่สร้างความเสียหายในอาคารรัฐสภาของเราในวันนี้ คุณไม่ชนะ” รองประธานาธิบดีไมก์ เพนซ์ กล่าวหลังจากที่สภากลับมาประชุมอีกครั้งจากที่ต้องหยุดไปหลายชั่วโมง “ความรุนแรงไม่มีวันชนะ เสรีภาพชนะ และนี่ยังคงเป็นบ้านของประชาชน”

ไบเดนและแฮร์ริสผ่านการรับรองด้วยคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 306 เสียง ซึ่งมากกว่า 270 เสียงที่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำในการจะชนะตำแหน่งประธานาธิบดี ขณะที่ทรัมป์และเพนซ์ได้ 232 เสียง

ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่หลังจากการรับรองเสร็จสิ้นลง ทรัมป์ก็ยอมรับการพ่ายแพ้การเลือกตั้งในที่สุด โดยกล่าวว่า แม้จะไม่เห็นด้วยกับผลที่ออกมาก แต่ “จะมีการถ่ายโอนอำนาจอย่างราบรื่นในวันที่ 20 มกราคม”

“ผมพูดเสมอว่าเราจะต่อสู้ต่อไป เพื่อให้แน่ใจว่ามีการนับคะแนนเสียงที่ถูกกฎหมายเท่านั้น แม้ว่านี่จะเป็นการสิ้นสุดวาระแรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประธานาธิบดี แต่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง”

สมาชิกสภาพรรครีพับลิกันหลายสิบคน พร้อมด้วยวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนที่สนับสนุนทรัมป์ ได้วางแผนที่จะคัดค้านการลงคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งของรัฐ เพราะมีถึง 6 รัฐที่สนับสนุนไบเดน

แต่เมื่อคืนวันพุธ (6 มกราคม 2564) ที่ผ่านมา วุฒิสภารีพับลิกันบางคนถอนการคัดค้าน การคัดค้านแต่ละครั้งต้องได้รับการพิจารณาสนับสนุนจากสมาชิกทั้งสภาและวุฒิสภา วุฒิสมาชิกสตีฟ เดนส์ จากมอนแทนา, ไมก์ บราวน์ จากอินดีแอนา และเคลลี เลฟเฟลอร์ ต่างยืนยันการถอนการคัดค้าน

“ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทำให้ฉันไม่สามารถคัดค้านการรับรองของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเหล่านี้ได้” เลฟเฟลอร์กล่าวพร้อมได้รับการปรบมือจากสมาชิกสภาบางราย เลฟเฟลอร์เป็น 1 ใน 2 สมาชิกพรรครีพับลิกันที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 มกราคม ส่งผลให้พรรคเดโมแครตสามารถคุมเสียงข้างมากวุฒิสภาได้

จอร์ช เฮอร์เลย์ วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐมิสซูรี ที่ขานรับการเรียกร้องของทรัมป์ที่ขอให้ฝ่ายนิติบัญญัติคัดค้านผลการเลือกตั้ง กล่าวว่า วุฒิสภาควรพิจารณาคำคัดค้านของเขา แต่ควรอภิปรายโดย “ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่มีโจมตี ไม่มีกระสุน”

วุฒิสมาชิกลงมติในช่วงค่ำคืนวันพุธ ไม่ให้ความเห็นชอบกับการนับคะแนนใหม่ในรัฐแอริโซนา ซึ่งเป็นรัฐที่ไบเดนคว้าชัย และสภาผู้แทนราษฎรก็เห็นชอบตาม แต่พรรครีพับลิกันหลายคนเห็นด้วยกับการไม่รับผลการนับคะแนนของแอริโซนา นอกจากนี้ทั้งสองสภายังไม่เห็นชอบที่จะนับคะแนนการเลือกตั้งใหม่ในรัฐเพนซิลเวเนียที่ไบเดนชนะเช่นกัน

สมาชิกสภาจากพรรครีพับลิกันคัดค้านคะแนนเสียงเลือกตั้งในจอร์เจีย มิชิแกน เนวาดา และวิสคอนซิน แต่ไม่มีวุฒิสมาชิกรายใดเข้าร่วมการคัดค้าน

“ด้วยเหตุนี้ การคัดค้านไม่ได้รับการตอบสนอง” เพนซ์กล่าวย้ำ ขณะที่ทำหน้าที่เป็นประธานการลงคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง เพราะเพนช์ยังมีตำแหน่งประธานวุฒิสภาด้วยนอกเหนือจากตำแหน่งรองประธานาธิบดี

การนับคะแนนจึงยังคงดำเนินต่อไปทีละรัฐ โดยคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง 3 เสียงจากเวอร์มอนต์ทำให้ไบเดนและแฮร์ริสมีคะแนนมากกว่า 270 คะแนน จนสุดท้ายคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง 3 รายจากไวโอมิงได้ลงให้กับทรัมป์และเพนซ์

  • โลกประณาม “ทรัมป์” จบตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยการนองเลือดของชาวอเมริกัน
  • ลำดับเหตุการณ์

    กระบวนการรับรองชัยชนะของไบเดนเริ่มขึ้นในช่วงบ่าย โดยทั่วไปแล้วพิธีการซึ่งเป็นการยืนยันกระบวนการประชาธิปไตยนั้น จะเป็นการดำเนินการที่ดุเดือดและยาวนานหลายชั่วโมง จากการคัดค้านที่วางแผนโดยพันธมิตรในรัฐสภาของทรัมป์ แม้จะต้องประสบกับความพ่ายแพ้ก็ตาม

    แต่เมื่อกระบวนการเริ่มต้นขึ้น กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ที่หัวรุนแรงได้บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาในบ่ายวันพุธ ทำให้การนับคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งหยุดชะงัก

    สมาชิกรัฐสภาถูกอพยพออกจากอาคารเมื่อเกิดเหตุรุนแรงและวุ่นวาย ส่งผลให้มีการประกาศใช้เคอร์ฟิวทั่วเมือง ผู้หญิงคนหนึ่งถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในรัฐสภา ช่วงกลางคืนวันพุธเจ้าหน้าที่ตำรวจกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตอีก 3 คนขณะได้รับการรักษาฉุกเฉินในพื้นที่รอบนอกรัฐสภา

    เวลาประมาณ 20.00 น. หลังจากที่มีการบุกอาคารัฐสภาหลายชั่วโมง สมาชิกรัฐสภาได้กลับเข้าประชุมและเดินหน้ากระบวนการลงคะแนนให้เสร็จสิ้น นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฏร และนายมิตช์ แมกคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภา ซึ่งต่างคนต่างอยู่ในห้องประชุมของตัว ได้กล่าวสุนทรพจน์ให้คำมั่นว่า จะเดินหน้าภารกิจในมือให้เสร็จสิ้น

    “เราจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับความไม่เคารพกฎหมาย หรือการข่มขู่ เรากลับมาที่มั่นของเรา” แมกคอนเนลกล่าวและว่า “และเราจะดำเนินการในคืนนี้”

    ทรัมป์กดดัน

    ภาพที่เกิดขึ้นที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันพุธ ถือเป็นความสุกงอมของความพยายามของทรัมป์และพันธมิตรที่เริ่มมาหลายเดือน ทั้งในที่สาธารณะและแบบส่วนตัว เพื่อพลิกผลการเลือกตั้งปี 2020 ความพยายามบางส่วน มาจากการอ้างว่ามีการโกงการนับคะแนนแต่ก็ขาดข้อมูลที่ชัดเจน ในขณะที่ข้อกล่าวหาอื่นมาจากทฤษฎีสมคบคิดที่ไม่มีมูลความจริง

    ทรัมป์ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับบทบาทของเพนซ์ โดยกดดันรองประธานาธิบดีของเขาอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รวมไปถึงในขณะที่ปราศรัยกล่าวกับกลุ่มผู้สนับสนุนเมื่อวันพุธ เพื่อสนับสนุนความพยายามของเขาในการพลิกผลการเลือกตั้งปี 2020 อย่างไรก็ตาม เพนซ์กล่าวเมื่อวันพุธว่า เขาเพียงฝ่ายเดียวไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งหรือชะลอการรับรองชัยชนะของไบเดน

    และกลุ่มก่อการจลาจลที่ขัดขวางการรับรองของคณะผู้เลือกตั้งก็ได้ลงมือขวางการรับรอง หลังจากที่ทรัมป์ปราศรัยเรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุนต่อสู้เพื่อ “หยุดการโกง” หรือ Stop The Steal ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่บิดเบือน โดยบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา

    “หลังจากนี้เราจะเดินไป และผมจะอยู่ที่นั่นกับพวกคุณ เรากำลังจะเดินไป เราจะเดินไปที่รัฐสภา” ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมา “และเราจะไปเชียร์สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกรัฐสภาและสตรีผู้กล้าหาญของเรา และเราคงไม่ได้เชียร์บางคนมากขนาดนี้”

    ในขณะที่ฝูงชนกรูเข้ามาในอาคารรัฐสภา ทรัมป์ยังคงนิ่งเฉย และไม่ได้ประณามความรุนแรงหรือพยายามที่จะปราบปราม มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาทวีตวิดีโอสั้นๆ ที่เขาอ้างซ้ำโดยไม่มีหลักฐาน เกี่ยวกับการโกงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และการโกงการเลือกตั้ง พร้อมกับพูดว่า “เรารักคุณ” กับกลุ่มผู้ประท้วงในวอชิงตัน และเรียกร้องให้พวกเขากลับบ้าน

    ต่อมาเมื่อวันพุธที่ผ่านมาทรัมป์ทวีตว่า “สิ่งเหล่านี้คือปรากฏการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายอันยิ่งใหญ่นั้น ถูกกระชากอย่างไม่รู้ตัวและเลวทรามออกจากผู้รักชาติที่ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดีและไม่เป็นธรรมมาเป็นเวลานาน”

    ในเวลาต่อมาทวิตเตอร์เรียกร้องให้ลบทวีตและวิดีโอ และยังล็อกบัญชีของประธานาธิบดีทรัมป์ชั่วคราว พร้อมกับขู่ว่าจะระงับอย่างถาวร

    การประณามประธานาธิบดี

    ทางด้านไบเดน เรียกร้องให้ประธานาธิบดีของให้กลุ่มผู้สนับสนุนยุติการกระทำในสิ่งที่ไบเดนระบุว่าเป็นการ “ทำร้ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน” ต่อระบอบประชาธิปไตยที่ “ปิดกั้นการปลุกระดม”

    “ผมขอเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ปรากฏตัวทางโทรทัศน์แห่งชาติ เพื่อปฏิบัติตามคำสาบานและปกป้องรัฐธรรมนูญ และเรียกร้องให้ยุติการปิดล้อมนี้” ไบเดนกล่าว และยังบอกว่าทรัมป์สมควรที่จะได้รับการตำหนิสำหรับความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยกล่าวว่า “อย่างดีที่สุด คำพูดของประธานาธิบดีสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ ที่เลวร้ายที่สุดพวกเขาสามารถปลุกปั่นได้”

    เมื่อความโกลาหลคลี่คลาย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครตบางคนได้เรียกร้องให้มีการถอดถอนประธานาธิบดีอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของการดำรงตำแหน่ง

    อิลฮัน โอมาร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจากพรรคเดโมแครตทวีตว่า มีการเตรียมการที่จะถอดถอน “เราไม่สามารถปล่อยให้เขาทำงานต่อไป เพราะเราต้องรักษาสาธารณรัฐของเราและต้องทำตามคำสาบานของเรา” ด้านเดวิด ซิซิลีน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกรายระบุว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในอาคารรัฐสภาเป็นความผิดของประธานาธิบดีและ “เราควรถอดถอนและตัดสินลงโทษเขาในวันพรุ่งนี้”

    รองประธานสภาผู้แทนราษฎร แคเทอรีน คลาร์ก จากพรรคเดโมแครต เรียกประธานาธิบดีทรัมป์ว่า “คนทรยศต่อประเทศและรัฐธรรมนูญของเรา” และเรียกร้องให้เปลดออกจากตำแหน่ง “และป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายต่อประเทศและประชาชนของเราอีก”

    ทรัมป์ยังเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากภายในพรรคของเขาเอง จากการยุยงฝูงชน

    “สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่แค่การพยายามทำรัฐประหาร ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาได้โกหกผู้สนับสนุนของเขาด้วยข้อมูลที่ผิด และความคาดหวังปลอมๆ” ไบรอัน ฟิตซ์แพทริก สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจากเพนซิลเวเนียทวีตว่า “เขาจุดไฟแห่งการยั่วยุ และเป็นผู้รับผิดชอบต่อสิ่งนี้

    ส่วนทอม คัตตัน วุฒิสมาชิกรัฐอาร์คันซอ กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่ทรัมป์จะต้อง “ยอมรับความพ่ายแพ้ เลิกทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และเลิกละเลยความรุนแรงของกลุ่มคน”