ThaiPublica > คอลัมน์ > วัคซีนโควิด : เมื่อไหร่จะได้ฉีด

วัคซีนโควิด : เมื่อไหร่จะได้ฉีด

2 ธันวาคม 2020


วรากรณ์ สามโกเศศ

ที่มาภาพ : https://www.bangkokpost.com/world/2028395/pfizer-seeks-eu-vaccine-approval-as-oecd-sees-recovery-in-2021

ความหวาดหวั่นในการกลับมาระบาดอีกครั้งของโรคโควิดอยู่ในใจของคนไทย ดังนั้นเมื่อมีข่าวว่ามีวัคซีนป้องกันแล้ว และมีประสิทธิผลถึง 90% และมีหลายวัคซีนด้วยจึงอดไม่ได้ที่จะดีใจ ภาวนาอย่างเดียวว่าขอให้รอดพ้นภัยไปจนถึงได้ฉีดวัคซีนก็แล้วกัน

ดังนั้นเรื่องที่คนสนใจกันมากในปัจจุบันคือวัคซีนโควิด-19 และเมื่อใดจะได้มีโอกาสฉีด

ในโลกในขณะนี้มีความพยายามคิดค้นหาวัคซีนกันอยู่ถึง 179 ตัว ในจำนวนนี้มีอยู่ 144 ตัวที่อยู่ในขั้นพื้นฐานของการประเมินก่อนนำไปสู่การทดลองในมนุษย์ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีอยู่ 35 ตัว ที่อยู่ในขั้นตอนทดลองกับคน การแข่งขันอย่างดุเดือดของการค้นหาวัคซีนป้องกันโรคใหม่เช่นโควิด-19 ทำให้ช่วงเวลาปกติของการค้นหาคือ 10 ปี หรือกว่านั้นย่นย่อลงเหลือการได้วัคซีนมาในเวลาไม่ถึง 1 ปี

ข่าวแรกสุดของการพบวัคซีนคือเมื่อประมาณเดือนตุลาคมที่ว่ารัสเซียผลิตวัคซีนได้แล้วแต่โลกก็รู้สึกเฉย ๆ ไม่ตื่นเต้นเพราะไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นการชิงประกาศเร็วเกินไปเพราะยังไม่ได้ผลการทดลองขั้นสุดท้ายกับมนุษย์ กล่าวคือปลอดภัย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และได้ผลจริงหรือมีประสิทธิผล สิ่งสำคัญที่สุดคือยังไม่ได้เปิดเผยหรือรายงานข้อมูลทั้งหมดให้แก่องค์กรที่น่าเชื่อถือเช่น FDA ของสหรัฐและ EMA ของยุโรป เพื่อยืนยันว่าเป็นวัคซีนที่ใช้งานได้ดีและปลอดภัย

ต่อมาเมื่อต้นพฤศจิกายนปีนี้หลังเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาไม่กี่วัน กลุ่ม Pfizer-BioNTech (ชื่อแรกเป็นบริษัทยาของอเมริกาและชื่อหลังของเยอรมันนี ที่จริง Fosun Pharma ของจีนก็ร่วมทีมด้วย) ประกาศว่าพบวัคซีนแล้วมีประสิทธิผลกว่า 90% ต้องฉีด 2 เข็ม ข้อเสียก็คือต้องเก็บวัคซีนในอุณหภูมิ -70 องศาเซลเชียสซึ่งทำให้ไม่สะดวกเพราะต้องมีอุปกรณ์ในการเก็บรักษาพิเศษ ฉีดแล้วป้องกันได้ 1 ปี

วัคซีนของ Pfizer ฮือฮากันมากเพราะขณะนี้ได้ยื่นข้อมูลการทดลองให้แก่ทางการสหรัฐ แล้วเพื่อขออนุมัติและคาดว่าจะเริ่มฉีดได้ในเดือนธันวาคมปีนี้ โดยจะผลิตได้จำนวน 520 ล้านโดส(dos คือปริมาณวัคซีนต่อการฉีดหนึ่งครั้ง) ภายในปี 2021

วัคซีนตัวที่สองมีชื่อว่า Moderna เป็นผลงานของ National Institute of Allergy and Infectious Diseases ของสหรัฐอเมริกา มีประสิทธิผล 90% ต้องฉีด 2 เข็ม และต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิ -70 องศาเช่นเดียวกับของ Pfizer ทีมงานนี้กำลังจะรายงานข้อมูลอย่างครบถ้วนในเร็ว ๆ นี้ ให้ทางการสหรัฐ คาดว่าจะเริ่มฉีดได้ไม่เกินต้นปีหน้า

วัคซีนตัวที่สามที่ผู้คนฮือฮากันมากเพราะเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทยากับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง คือ Astra Zeneca-Oxford University ฉีด 2 เข็มเหมือนกันโดยมีประสิทธิผล 70% แต่หากฉีดเข็มแรกใช้ปริมาณวัคซีนน้อย และมากในการฉีดครั้งที่สอง ประสิทธิผลก็ขึ้นไปถึง 90% จะผลิตได้ 2,400 ล้านโดสภายในปีหน้า จะยื่นข้อมูลครบมกราคมปีหน้า และจะเริ่มฉีดได้ต้นปีหน้า จุดเด่นคือเก็บในตู้เย็นธรรมดาได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องราคา

Pzifer คาดว่ามีราคาโดสละ 600 บาท (2 เข็มตก 1,200 บาท) Moderna โดสละ 1,000 บาท (ฉีดครบก็ 2,000 บาท) ส่วนของ Oxford นั้น มีราคาโดสละ 120 บาท (ฉีดสองเข็มก็ 240 บาท)

เป็นที่ชัดเจนว่าโลกจะมีวัคซีนอย่างค่อนข้างแน่นอนแล้ว 3 ตัว ในราคาถูกและแพง มีประสิทธิผลเกินกว่า 70% ซึ่งเกินกว่าเงื่อนไขของ WHO (องค์การอนามัยโลก) คนจำนวนมากที่เสี่ยงต่อโควิดคือบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งอยู่แถวหน้าในการรักษา คนสูงอายุที่ป่วยและคนเจ็บไข้ที่มีความเสี่ยงสูง จะได้รับการฉีดก่อนและในเวลาอีกไม่นาน

อย่างไรก็ดี ยังมีวัคซีนที่กำลังอยู่ในขั้นทดลองสุดท้ายไล่ ๆ มาอีก 7 ตัว (รวมเป็น 10 ตัวที่อยู่ในแนวหน้า) 4 ตัวทั้งหมดใน7ตัวนี้คาดว่าจะเปิดเผยและรายงานข้อมูลได้ในเดือนมกราคมปีหน้าเป็นผลงานของจีน ได้แก่ (1) Sinovac ตอนแรกนำโด่งกว่าวัคซีนตัวอื่นเพราะใช้วัคซีนป้องกัน SARS ที่จีนคิดได้เป็นฐานโดยใช้การผลิตแบบดั้งเดิม คือใช้เชื้อโรคตัวเดียวกันที่อ่อนแรงแล้วฉีดเข้าไปกระตุ้นภูมิคุ้มกัน แต่มีอุปสรรคตอนทดลองกับมนุษย์ในขั้นสุดท้ายจึงเสียจังหวะไป

(2) Wuhan Institute of Biological Products-Sinofarm (3) Beijing Institute of Biological Products-Sinofarm (4) Cansino Biologics-Beijing Institute of Biotechnology

นอกจากนี้มีอีก 3 ตัว ได้แก่ (1) Sputnik 5 (Gamaleya Research Institute) ของรัสเซียซึ่งคาดว่าจะรายงานและเปิดเผยข้อมูลในเดือนมีนาคม (2) Johnson & Johnson (ของ Janssen Pharmaceutical Companies) ของสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะรายงานได้ในเดือนกุมภาพันธ์ และสุดท้าย (3) Novavax ของสหรัฐอเมริกาจะรายงานได้ในเดือนมิถุนายนของปีหน้าหลังจากมีการทดลองในมนุษย์ถึง 45,000 คน คาดว่าจะผลิตได้ถึง 1,300 ล้านโดส

การมีวัคซีนแนวหน้าที่มีโอกาสให้ผู้คนได้ฉีดป้องกันโควิดถึง 10 ตัว ทำให้เกิดความอุ่นใจถึงแม้ประเทศร่ำรวยและยากจนจะมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนไม่เท่ากันก็ตาม แต่วัคซีนทั้งหมดมีประสิทธิผลหรือใช้งานได้ผล (efficacy ซึ่งหมายถึงความสามารถที่จะทำให้เกิดผลได้ตามประสงค์) ในระดับที่ต่างกันแต่สูงกว่า 50% ทั้งสิ้น และมีหลายระดับราคา บางประเทศจะให้ประเทศที่มีความจำเป็นสูงอย่างให้เปล่าหรือขายในราคาถูก หรือแม้แต่มอบให้ฟรี

จีนมีแนวโน้มที่จะส่งมอบให้แก่ประเทศที่ร่วมมือในการทดลองเช่นบางประเทศในกลุ่มASEAN เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม ฯลฯ ก่อนเป็นอันดับต้น ๆ (ไทยอยู่ใน list ที่มีชื่อว่า Promised Priority Access ซึ่งต่ำกว่ากลุ่ม Promised Vaccines ซึ่งได้แก่เนปาล เซอร์เบีย และศรีลังกา)

แท้จริงแล้ว จีนมีความมั่นใจในวัคซีนของเขาสูงเพราะได้ทดลองฉีดเงียบ ๆ ให้แก่ประชาชนของเขาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว อีกทั้งมีความสามารถในการผลิตวัคซีนได้สูง วัคซีนจีนมีการทดลองกับคนในหลายประเทศเอเชียที่มีปัญหาโควิดหนักหน่วง คาดว่าจะสามารถส่งมอบกันได้ นับร้อย ๆ ล้านโดสในปี 2021 ซึ่งนับว่าเป็นการสร้างมิตรภาพได้เป็นอย่างมาก

สิ่งที่ควรตระหนักก็คือการมีวัคซีนมิได้หมายความว่าจะควบคุมโรคระบาดโควิดได้อยู่หมัดทั้งโลก การที่บุคคลหนึ่งได้รับการฉีดวัคซีนก็เป็นผลดีสำหรับบุคคลนั้น (ถึงแม้จะป้องกันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม) แต่ในภาพรวมสังคมจะหลุดพ้นภัยก็ต่อเมื่อบุคคลในประเทศนั้นได้รับวัคซีนเกินกว่าร้อยละ 50 และเกิด herd immunity (ภูมิคุ้มกันของกลุ่มที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ) ขึ้น ยิ่งวัคซีนมีประสิทธิผลต่ำเท่าใด ก็ต้องฉีดวัคซีนเป็นสัดส่วนของประชากรที่สูงขึ้นเพียงนั้น

เมื่อดูภาพรวมทั้งโลกซึ่งการติดต่อข้ามโลกถึงกันเป็นเรื่องปกติ สังคมอื่นๆต้องมี herd immunity ด้วยจึงจะทำให้สังคมหนึ่งปลอดภัยอย่างแท้จริงจากโควิด เมื่อเป็นเช่นนี้การมีวัคซีนจึงมิได้แก้ไขปัญหาโควิดได้ทั้งหมดเสียทีเดียวตราบที่สังคมอื่นทั่วโลกยังไม่ได้รับการฉีดในสัดส่วนของประชากรที่มากเพียงพอ

เท่าที่ทราบในบ้านเราสถาบันวัคซีนแห่งชาติภายใต้กระทรวงสาธารณสุข ได้วางแผนหาวัคซีนโควิดมาให้คนไทยอย่างแข็งขัน ได้รับวงเงินจากรัฐบาลในระดับหลายหมื่นล้าน ได้ทำสัญญากับโครงการ COVAX ของ WHO เพื่อให้ได้รับการจัดสรรวัคซีน และทำสัญญาคู่กับหลายวัคซีนตัวเก็งด้วย คนไทยบางส่วนคงได้โดนจิ้มแขนกันแน่ภายในครึ่งแรกของปีหน้า

มนต์คาถา “ล้างมือ-รักษาระยะห่าง-ใส่หน้ากาก” ศักดิ์สิทธิ์เสมอในช่วงเวลาก่อนที่จะได้รับการฉีดวัคซีน หรือแม้แต่หลังฉีดแล้วด้วยซ้ำตราบที่สังคมอื่นยังไม่มีสัดส่วนการฉีดที่มากเพียงพอ อย่าลืมว่าวัคซีนที่ป้องกันได้ 100% นั้นไม่มี

หมายเหตุ : คอลัมน์ “อาหารสมอง” น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 1 ธ.ค. 2563