ThaiPublica > เกาะกระแส > มติป.ป.ช. ฟันธง “ยิ่งลักษณ์”กับพวกผิดคดีจัดงานโรดโชว์ และชี้มูลความผิดจนท.คดีทุจริตเงินทอนวัด

มติป.ป.ช. ฟันธง “ยิ่งลักษณ์”กับพวกผิดคดีจัดงานโรดโชว์ และชี้มูลความผิดจนท.คดีทุจริตเงินทอนวัด

22 กรกฎาคม 2020


น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

วันนี้ 22 กรกฎาคม 2563 เวลา 14.00 น. นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการชี้มูลความผิดกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก กรณีเมื่อปี 2556 อนุมัติและดำเนิน “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020” โดยมิชอบ

เรื่องที่ 1 “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020” อนุมัติโดยมิชอบ

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยในนโยบายข้อ 3.4 ได้กล่าวถึงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางราง ระบบรถไฟทางคู่เชื่อมชานเมืองและหัวเมือง ศึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูง

ต่อมาเมื่อเดือนมกราคม 2556 คณะรัฐมนตรีได้มีมติยกร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือที่เรียกว่า “ร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท” และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งประเทศเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท และเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการ จัดนิทรรศการ สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน โดยให้นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนครบถ้วน ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ดำเนินโครงการจัดนิทรรศการไปแล้วทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดหนองคาย จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดพิษณุโลก

ต่อมานางสาวยิ่งลักษณ์ ได้มีดำริให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดนิทรรศการ การสัมมนา และการโฆษณาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งของประเทศให้แก่สาธารณชนทราบอีก ภายใต้ชื่อ “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020” โดยเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2556 นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ก็ได้เรียกประชุมเพื่อเตรียมการจัด Roadshow โดยมีนายฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการทั่วไป บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และตัวแทนบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เข้าพบนายสุรนันทน์ ที่ห้องทำงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับทราบและตกลงเป็นผู้รับจัดงาน Roadshow ทั้งสิ้น 12 จังหวัด ทั่วประเทศ จังหวัดละ 20 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 240 ล้านบาท

โดยมีบริษัท มติชนฯ เป็นแม่งานหลักในการคิดรูปแบบการจัดงาน ทั้งที่ยังไม่มีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ และเมื่อตรวจสอบงบประมาณประจำปี 2556 ก็ไม่ได้ระบุแผนงาน/โครงการดังกล่าวไว้ ประกอบกับงบประมาณประจำปี 2557 ประกาศใช้ไม่ทันวันที่ 1 ตุลาคม 2556 แต่นางสาวยิ่งลักษณ์ขณะนั้น ได้อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น วงเงิน 40 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการ Roadshow และเห็นชอบให้จัดโครงการใน 2 จังหวัดก่อน ได้แก่ จังหวัดหนองคายและจังหวัดนครราชสีมา

ทั้งที่สถานการณ์ในขณะนั้นมีหลายฝ่ายออกมาทักท้วงว่าร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท อาจขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหลายประการ และมีการเตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เช่น ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ผู้นำฝ่ายค้านและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้าน เป็นต้น อีกทั้งการจัดงานดังกล่าวยังซ้ำซ้อนกับงานนิทรรศการที่กระทรวงคมนาคมได้จัดไปก่อนแล้ว ประกอบกับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดว่า หากไม่ดำเนินการโครงการ Roadshow ในขณะนั้นแล้วทางราชการหรือประชาชนจะได้รับความเสียหายแต่อย่างใด สถานการณ์ในขณะนั้นจึงยังไม่มีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนที่จะออกไป Roadshow ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่บริษัท มติชนฯ ได้เข้าพบผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นเอกสารข้อเสนอด้านราคา วงเงิน 40 ล้านบาท แต่เนื่องจากสำนักงบประมาณยังไม่ได้แจ้งใบงวด ทำให้ยังไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ จึงได้มีการนัดหมายให้บริษัท มติชนฯ มายื่นเสนอราคาใหม่ โดยในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่บริษัท มติชนฯ ได้มอบเอกสารข้อเสนอด้านราคาวงเงิน 40 ล้านบาท ไว้ให้กับผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง

ต่อมานายสุรนันทน์ ได้เห็นชอบราคากลางโครงการ Roadshow จังหวัดหนองคายและจังหวัดนครราชสีมา ในวงเงิน 40 ล้านบาท ซึ่งตรงกับข้อเสนอด้านราคาของบริษัท มติชนฯ ที่ได้ยื่นไว้ ต่อผู้อำนวยการสำนักบริหารกลางและได้มีการสืบราคาเพิ่มเติมจากสื่อ จำนวน 3 ราย แต่เป็นสื่อในเครือเดียวกับบริษัท มติชนฯ ทั้งสิ้น และในวันเดียวกันบริษัท มติชนฯ ได้ยื่นเอกสารเสนอราคา ซึ่งนายสุรนันทน์ และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ก็เห็นสมควรอนุมัติจัดจ้างบริษัท มติชนฯ เป็นผู้รับจ้างจัดโครงการ Roadshow 2 จังหวัดดังกล่าว และมอบอำนาจให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลางลงนามในหนังสือสั่งจ้างต่อไป โดยกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงขั้นตอนการลงนามในหนังสือสั่งจ้างใช้เวลาดำเนินการเพียง 2 วัน เท่านั้น

ต่อมานายสุรนันทน์ และนายนิวัฒน์ธำรง ได้ร่วมกันอนุมัติหลักการจัดโครงการ Roadshow อีก 10 จังหวัดที่เหลือ วงเงิน 200 ล้านบาท โดยครั้งนี้ นายสุรนันทน์ และนายนิวัฒน์ธำรง ได้อนุมัติให้นำราคากลางที่ได้กำหนดตรงกับข้อเสนอด้านราคาของบริษัท มติชนฯ ไว้แล้ว มาเป็นราคากลางในครั้งนี้ โดยแบ่งการจัดจ้างเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 5 จังหวัด โดยตกลงแบ่งงานให้บริษัท มติชนฯ และบริษัท สยามสปอร์ตฯ บริษัทละ 5 จังหวัด โดยในส่วนของบริษัทสยามสปอร์ตฯ มีนายระวิ โหลทอง ลงนามยื่นเอกสารการเสนอราคาด้วยตนเอง ซึ่งนายสุรนันทน์ และนายนิวัฒน์ธำรง เห็นสมควรอนุมัติจัดจ้างทั้งสองบริษัทดังกล่าว

กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงขั้นตอนการลงนามในหนังสือสั่งจ้างใช้เวลาดำเนินการเพียงวันเดียวเท่านั้น โดยครั้งนี้ได้เบิกจ่ายจากงบประมาณประจำปี 2557 ค่าใช้จ่ายในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แต่พบว่าการลงนามในหนังสือสั่งจ้างได้กระทำไปก่อนที่ได้รับเงินประจำงวดจากสำนักงบประมาณ ทั้งที่ส่วนราชการทราบดีว่าการลงนามในหนังสือสั่งจ้างได้ ก็ต่อเมื่อสำนักงบประมาณได้แจ้งจัดสรรเงินงบประมาณมาให้แล้วเท่านั้น (ใบงวด) ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502

ต่อมาได้มีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งในท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท ตราขึ้นโดยมิใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญมีผลให้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นอันตกไป ส่งผลให้โครงการต่าง ๆ ตามที่ได้ออกไป Roadshow มิได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด การใช้งบประมาณในโครงการ Roadshow จำนวน 240 ล้านบาท จึงเกิดความสูญเปล่า เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนแล้ว มีมติดังนี้

1. การกระทำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 และ 13

2. การกระทำของบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และนายฐากูร บุนปาน บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และนายระวิ โหลทอง มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2561 มาตรา 192 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงาน ของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 และมาตรา 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นพร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) นายฐากูร บุนปาน บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และนายระวิ โหลทอง

เรื่องที่ 2 คดีเงินทอนวัด

ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทุจริตการเบิกจ่ายเงิน งบประมาณอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทุจริตการเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (คดีเงินทอนวัด) โดยร่วมกันจัดให้มีการเบิกจ่ายเงินให้แก่วัด ทั้ง 7 วัด ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด และเมื่อมีการเบิกจ่ายเงินให้กับวัดไปแล้ว บางวัดมีการติดต่อขอเงินบางส่วนคืนหรือขอคืนทั้งหมด แล้วนำไปประโยชน์ส่วนตนหรือผู้อื่นโดยทุจริต ดังนี้

1. วัดช้าง ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี งบประมาณประจำปี 2558 จำนวน 4.2 ล้านบาท นายพนม ศรศิลป์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นางสาวประนอม คงพิกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและศาสนสงเคราะห์ มีมูลความผิดทางอาญา

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192ประกอบมาตรา 83 มาตรา 91 และมีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง นายพยงค์ สีเหลือง นายช่างโยธา มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด และมีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง

2. วัดดอนสะท้อน, วัดท้องตมใหญ่, วัดเล็บกระรอก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร รวม 3 วัด งบประมาณประจำปี 2559 จำนวนวัดละ 2 ล้านบาท รวมจำนวน 6 ล้านบาท นายพนม ศรศิลป์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา นายชยพล พงษ์สีดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา นางสาวประนอม คงพิกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายฉัตรชัย ชูเชื้อ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกลุ่มบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ กองพุทธศาสนสถาน มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 , 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง พระครูกิตติพัชรคุณ หรือนายสมเกียรติ ขันทอง เจ้าคณะอำเภอชนแดนเจ้าอาวาสวัดลาดแค อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ พระครูนิวิฐสีลวัตร เจ้าอาวาสวัดท้องตมใหญ่ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด

3. วัดพร้าวโสภณาราม ตำบลนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา งบประมาณประจำปี 2557 และปี 2558 จำนวน 6 ล้านบาท นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายพนม ศรศิลป์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นางสาวประนอม คงพิกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดวินัย อย่างร้ายแรง

4. วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร งบประมาณประจำปี 2556 และปี 2557 จำนวน 6.3 ล้านบาท นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นางสาวประนอม คงพิกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ มีมูลเป็นความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง นางวรัญญู เพชรรัตน์ มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด

5. วัดถาวรวราราม ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี งบประมาณประจำปี 2557 จำนวน 5 ล้านบาท นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นางสาวประนอม คงพิกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ มีมูลความผิดอาญา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 192 และมีมูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง

เรื่องที่ 3การปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต โควิด-19

แนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19

ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีโครงการ “การปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต ท่ามการวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19” เพื่อให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการสอดส่องและแจ้งเบาะแสการทุจริตทั่วประเทศ เพื่อสามารถป้องกัน ป้องปรามยับยั้งการทุจริต ดังที่ได้มีการแถลงข่าวไปก่อนแล้ว นั้น ปัจจุบันสำนักงาน ป.ป.ช. โดยสำนักส่งเสริมและบูรณาการมีส่วนร่วมต้านทุจริต สำนักวิจัยและบริหารวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และสำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ได้ต่อยอดการดำเนินการจากการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตฯ พัฒนาไปสู่การวิจัยเชิงกรณีศึกษา เรื่องการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และเสนอแนวทางการป้องกันการทุจริตในกรณีดังกล่าวรวมทั้งในกรณีภาวะวิกฤติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณา โดยผลของการดำเนินการ สรุปได้ดังนี้

1. ผลการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตฯ ซึ่งผลจากการมีส่วนร่วมของประชาชนร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดทั่วประเทศ ได้นำมาจัดทำเป็น “แผนที่พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต (Corruption Risk Mapping)” ที่จะแสดงผลให้เห็นความเสี่ยงในการทุจริตและระดับความรุนแรงของการทุจริตของ อำเภอ/เขต ในจังหวัด ในครั้งนี้พบว่าจากพื้นที่ทั้งหมด 928 แห่งทั่วประเทศ พบว่าร้อยละ 75 ของพื้นที่เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริต โดยมีความเสี่ยงในระดับที่เป็นไปได้สูงมากร้อยละ 13, มีความเป็นไปได้สูงร้อยละ 35 และมีความเป็นไปได้ปานกลางร้อยละ 48

2. ผลการวิจัยเชิงกรณีศึกษาเรื่องการทุจริตในสถานการณ์วิกฤตฯ พบพฤติการณ์ส่อการทุจริตคือ มีการกักตุนสินค้า/จำหน่ายสินค้าในราคาสูง , มีพฤติการณ์ทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการงบประมาณในสถานการณ์ฉุกเฉิน, การจัดซื้อจัดจ้าง , การเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการเอกชนที่เป็นพรรคพวก และมาตรการเกี่ยวกับการเยียวยา โดยปัจจัยเหตุที่ส่งผลคือ ความต้องการที่สินค้าที่มีลักษณะเฉพาะ , มาตรการควบคุมราคาสินค้าของภาครัฐไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ , การกำหนดคุณสมบัติและราคากลางในการจัดซื้อพัสดุของหน่วยงานของรัฐไม่ครอบคลุมสินค้าจำเป็นในช่วงวิกฤติ , ความไม่สมบูรณ์ของระบบฐานข้อมูลภาครัฐ เป็นต้น

3. ผลการวิเคราะห์และข้อเสนอแนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติฯ ทั้งกรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งในกรณีภาวะวิกฤติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ได้ผลสรุปจำแนกตามพฤติการณ์การทุจริต ได้แก่ การทุจริตเชิงนโยบายในการบริหารจัดการงบประมาณในสถานการณ์ฉุกเฉิน , การทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง , การทุจริตในการเอื้อประโยชน์ , การทุจริตในการกักตุนสินค้า การค้ากำไรเกินควร , การทุจริตเงินเยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ , การทุจริตสิ่งของหรือเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งในรายละเอียดของข้อเสนอแนะในแต่ละพฤติการณ์นั้นจะประกอบด้วยหลักการสำคัญได้แก่ (1) การทบทวนกฎหมายและกำหนดแนวทางปฏิบัติ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน (2) การบูรณาการและเปิดเผยข้อมูลผ่าน “Online Platfrom” (3) การตรวจสอบเชิงรุก (4) การสอดส่องและแจ้งเบาะแส (Watch and Voice)

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาเห็นชอบแนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในขั้นตอนต่อไปก็จะมีการจัดทำข้อเสนอแนะดังกล่าวเสนอต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจเกี่ยวกับรายละเอียดของแนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 เพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ www.nacc.co.th