ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup “ลี เซียนลุง” ชนะเลือกตั้งสิงคโปร์
ลาวสั่งคนเดินทางออกนอกประเทศพกใบรับรองแพทย์

ASEAN Roundup “ลี เซียนลุง” ชนะเลือกตั้งสิงคโปร์
ลาวสั่งคนเดินทางออกนอกประเทศพกใบรับรองแพทย์

12 กรกฎาคม 2020


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 5-11 กรกฎาคม 2563

  • ลี เซียนลุง คว้าชัยชนะเลือกตั้งสิงคโปร์
  • ข้อตกลงเศรษฐกิจอินโดนีเซีย-ออสเตรเลียมีผล 5 ก.ค.
  • กัมพูชาร่างกฎหมายลงทุนฉบับใหม่
  • กัมพูชาจะออกใบขับขี่สากล-ใบขับขี่คนพิการ
  • ลาวกำหนดคนเดินทางออกนอกประเทศต้องมีใบรับรองแพทย์
  • ค่าเช่าในนิคมอุตสาหกรรมทางตอนใต้ของเวียดนามสูงขึ้น
  • ลี เซียนลุง คว้าชัยชนะเลือกตั้งสิงคโปร์

    ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/leehsienloong/
    พรรคกิจประชาชน (People’s Action Party หรือ PAP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ได้กลับเข้ามาทำหน้าที่อีกครั้ง หลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม โดยได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 83 ที่นั่ง จากทั้งหมด 93 ที่นั่งในรัฐสภา ขณะที่พรรคแรงงาน (Workers’ Party) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ได้ 10 ที่นั่ง

    พรรค PAP ได้ที่นั่งในสภาลดลง ส่วนพรรค WP ได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น 4 ที่นั่งจากเดิม 6 ที่นั่ง เนื่องจากประชาชนไม่พอใจกับการที่เศรษฐกิจสิงคโปร์เผชิญภาวะถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดซึ่งเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

    การเลือกตั้งครั้งนี้รู้จักกันดีว่าเป็น วิกฤติเลือกตั้งหรือเลือกตั้งโควิด-19 เป็นการเลือกครั้งสำคัญนับตั้งแต่สิงคโปร์ได้เอกราช เนื่องจากมีขึ้นท่ามกลางการระบาดของโควิด และพรรคฝ่ายค้านมีที่นั่งเพิ่มขึ้น และพรรรค PAP มีคะแนนลดลงเป็น 61.24% จาก 69.9% ในปี 2015 และห่างจาก 60.1% ในการเลือกตั้งปี 2011 เล็กน้อย

    นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง แถลงข่าวเมื่อเวลา 16.30 น. ของวันที่ 10 กรกฎาคม ว่า พรรค PAP ได้รับความไว้วางใจอย่างชัดเจนและได้คะแนนดี แม้สัดส่วนของคะแนนนิยมไม่ได้สูงอย่างที่อยากจะเห็น แต่ก็สะท้อนถึงการสนับสนุนพรรค PAP ในวงกว้าง

    “ข้าพเจ้าจะใช้ความไว้วางใจนี้อย่างรับผิดชอบเพื่อจัดการกับการระบาดของโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และเพื่อให้พวกเราปลอดภัยผ่านวิกฤตอไปได้และเดินหน้าต่อไป” นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์กล่าวและว่า “ในขณะเดียวกันผลการเลือกตั้งสะท้อนความเจ็บปวดและความวิตกกังวลที่ชาวสิงคโปร์รู้สึกอยู่ในภาวะวิกฤติครั้งนี้”

    นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง กล่าวถึงการพ่ายแพ้ในเขตใหญ่เซงกัง ถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของผู้นำประเทศรุ่นที่ 4 นอกจากนี้พรรค WP ยังคว้าชัยในเขตอัลจูนีตซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งแบบกลุ่มด้วยคะแนน 59.93% ของคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมดของเขต และยังชนะในเขตอ่าวกั้ง ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว

    ขณะที่ห้อมล้อมไปด้วยคณะรัฐมนตรีจากผู้นำพรรครุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ได้ให้คำมั่นว่า ตัวเขาพร้อมกับสมาชิกคณะรัฐบาลที่มีอาวุโสจะยังคงอยู่เพื่อดูแลสิงคโปร์ให้ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19

    นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกตั้งยังแสดงให้เห็นว่ามี “ความปรารถนาที่จะมีความหลากหลายมากขึ้น” ในแง่รัฐสภาซึ่งจะมี ส.ส. จากพรรคฝ่ายค้าน 10 ที่นั่งที่มาจากการเลือกตั้งและ 2 ที่นั่งที่ไม่ได้มาจากนอกรัฐธรรมนูญ

    นายเฮง สวี เคียต รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคว้าชัยในเขต อีสต์โคสต์ด้วยคะแนน 53.4% ลดลงจาก 60.7% ในการเลือกตั้งปี 2015 และจาก 54.8% ในปี 2011

    การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิ 2,535,565 คน คิดเป็น 95.63% ของผู้มีสิทธิออกเสียงที่ลงทะเบียนไว้ทั้งหมด 2,651,435 คน

    ข้อตกลงเศรษฐกิจอินโดนีเซีย-ออสเตรเลียมีผล 5 ก.ค.

    ที่มาภาพ: https://en.antaranews.com/news/151850/exporters-to-enjoy-zero-tariff-benefit-as-ia-cepa-takes-effect
    ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระหว่างอินโดนีเซียและออสเตรเลีย (Indonesia-Australia Comprehensive Economic Partnership Agreement) แล้วเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2020 จากการเปิดเผยผ่านแถลงการณ์ของนายอากุส ซูปรามันโต รัฐมนตรีกระทรวงการค้า ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 0%

    ภายใต้ข้อตกลง การส่งออกของผู้ส่งออกอินโดนีเซียไปยังออสเตรเลียแทบทั้งหมดจะไม่ต้องเสียภาษี

    “การทำงานอย่างหนักและความพยายามของทั้งสองรัฐบาลในระหว่างกระบวนการเจรจาและการให้สัตยาบันได้ผลคุ้มค่า ผู้ประกอบการและผู้มีส่วนได้เสียในอินโดนีเซียจากนี้ไปจะได้รับประโยชน์จาก IA-CEPA” นายซูปรามันโตกล่าว

    รัฐบาลได้ออกประกาศ 3 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ข้อตกลง ได้แก่ ประกาศกระทรวงการค้าเกี่ยวกับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าตามข้อตกลง IA-CEPA ประกาศกระทรวงการคลังเรื่องภาษนำเข้าใน และประกาศกระทรวงการคลังอีกฉบับเรื่องกลไกของการกำหนดอากรขาเข้าภายใต้ข้อตกลง

    ผลิตภัณฑ์ของอินโดนีเซียที่สามารถส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ รถยนต์ ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ การประมง ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ รองเท้าและอุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    “ภาษีการค้าสำหรับผลิตภัณฑ์อินโดนีเซียทั้งหมดที่ส่งออกไปยังออสเตรเลียจะถูกยกเลิก การกำหนดอัตราภาษีภายใต้ IA-CEPA นี้นักธุรกิจชาวอินโดนีเซียควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อกระตุ้นการส่งออกของอินโดนีเซีย” นายซูปรามันโตย้ำ

    ในทางกลับกัน การกำหนดภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ จะช่วยให้อุตสาหกรรมในอินโดนีเซียสามารถนำเข้าวัตถุดิบในราคาที่แข่งขันได้

    “ข้อตกลง IA-CEPA ไม่เพียงครอบคลุมการค้าสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความครอบคลุมของ IA-CEPA จะส่งเสริมให้อินโดนีเซียและออสเตรเลียเป็นหุ้นส่วนที่แท้จริงในการสร้างเครือข่ายอุปทานทั่วโลก” นายซูปรามันโตกล่าว

    กัมพูชาร่างกฎหมายลงทุนฉบับใหม่ดึงเม็ดเงินใหม่

    ที่มาภาพ: https://www.khmertimeskh.com/50688097/masterplan-for-preah-sihanouk-province?utm_source=mailpoet&utm_medium=email&utm_campaign=khmer-times-friday-news-digest_59

    กัมพูชากำลังจัดทำกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะทำให้กัมพูชาเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนใหม่และยังยกระดับสภาพแวดล้อมการลงทุนเพื่อดึงการลงทุนให้อยู่ในประเทศ

    กฎหมายฉบับกำลังอยู่ในขั้นตอนการร่างและคาดว่าจะนำขี้นระบบออนไลน์ได้ภายในปีนี้ นายพัน พัลลา ปลัดกระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง กล่าวในการแถลงข่าว วันที่ 8 ก.ค. 2563 ที่ผ่านมา

    กฎหมายร่างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนเผชิญและสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น ซึ่งจะสามารถดึงดูดการลงทุนในประเทศได้มากขึ้น นายพันกล่าว

    กฎหมายการลงทุนใหม่จะให้สิทธิประโยชน์ในระยะยาวแก่อุตสาหกรรมใหม่ แต่สิ่งที่กัมพูชาต้องทำ คือ การเพิ่มขีดความสามารถและกำจัดอุปสรรคทางการค้า

    “กฎหมายการลงทุนฉบับใหม่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุน รักษาการลงทุนเดิมที่มีอยู่และดึงดูดการลงทุนใหม่” นายพันกล่าวและว่า “กฎหมายจะนำไปใช้ในเร็วๆ นี้ เพราะถือเป็นงานเร่งด่วน ที่จะดึงดูดการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ต้องตอบสนองกับแนวโน้มการย้ายฐานการลงทุน”

    ร่างกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว 95% ทั้งนี้รัฐบาลได้เริ่มร่างกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยรวบรวมข้อมูลจากภาคเอกชนและหุ้นส่วนการพัฒนา เพื่อให้ประเทศเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ

    กฎหมายการลงทุนฉบับใหม่นี้มีกำหนดที่จะเปิดตัวในเวลาเดียวกันเมื่อกัมพูชาเร่งการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้า ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และสหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย

    นายพันกล่าวว่า กฎหมายการลงทุนฉบับใหม่จะดึงและรองรับนักลงทุนได้มากขึ้น เนื่องจากกัมพูชาและจีนกำลังจะลงนามในข้อตกลง FTA เร็วๆ นี้ และการเจรจา FTA กับเกาหลีใต้กำลังจะเริ่มขึ้น

    กัมพูชาประกาศใช้กฎหมายการลงทุนครั้งแรกในปี 1993 และมีการแก้ไขในปี 2003 เพื่อปรับให้เข้ากับการลงทุนที่ก้าวหน้า

    กัมพูชาจะออกใบขับขี่สากล-ใบขับขี่คนพิการ

    กัมพูชากำลังวางแผนที่จะออกใบขับขี่สากลและใบขับขี่สำหรับคนพิการในเดือนกรกฎาคมหรือเดือนหน้านี้ จากการเปิดเผยของรัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีกระทรวงกิจการสาธารณะและการขนส่ง นายสุน จันฑล ในการประชุมที่พนมเปญเพื่อตรวจสอบงานความปลอดภัยทางถนนในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 และกำหนดเป้าหมายใหม่สำหรับครึ่งหลังของปีในพนมเปญ

    นายสุนกล่าวว่า ปัจจุบันใบขับขี่ของกัมพูชาไม่สามารถใช้ในต่างประเทศได้ ดังนั้นการมีใบขับขี่สากลจะเพิ่มความสะดวกให้ชาวกัมพูชาเมื่อขับรถในต่างประเทศ

    ทั้งนี้มีความเป็นไปได้สำหรับกัมพูชาที่จะออกใบขับขี่ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เนื่องจากกัมพูชาเป็นประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอธิบายเพิ่มเติมว่า ชาวกัมพูชาที่มีใบขับขี่ปัจจุบัน สามารถขอปรับเป็นใบอนุญาตชั่วคราวระหว่างประเทศในหมวดหมู่ A, B หรือ C

    ขณะเดียวกัน รัฐบาลกัมพูชาได้ร่วมมือกับ Grab เพื่อจัดทำใบขับขี่สำหรับคนพิการเพื่อส่งเสริมการเข้าถึง

    ลาวกำหนดคนเดินทางออกนอกประเทศต้องมีใบรับรองแพทย์

    ที่มาภาพ: http://en.freshnewsasia.com/index.php/en/internationalnews/18742-2020-07-08-03-07-20.html

    สปป.ลาวกำหนดให้ ผู้ที่เดินทางออกนอกประเทศจะต้องมีใบรับรองแพทย์สำหรับประเทศปลายทาง เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโควิด-19

    คณะกรรมการเฉพาะกิจแห่งชาติเพื่อการป้องกันและควบคุมการระบาดของโควิด-19 ระบุว่า ผู้ที่เดินทางทุกคน รวมทั้งประชาชนลาว จะต้องมีใบรับรองแพทย์ก่อนเดินทางไปประเทศอื่น คนที่ไม่มีใบรับรองแพทย์ที่ถูกต้องอาจจะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศจากประเทศปลายทาง

    เวียงจันทน์ไทมส์รายงานว่า นายวังนะคอน ดิตถะพง รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมิตรภาพ ย้ำถึงความสำคัญการที่ต้องมีใบรับรองแพทย์สำหรับนักเดินทาง เพราะจะต้องผ่านจุดตรวจสุขภาพหลายแห่ง และผู้เดินทางหรือนักท่องเที่ยวจะต้องจัดทำเอกสารทางการแพทย์จากประเทศต้นทาง

    ประชาชนในลาวสามารถขอใบรับรองแพทย์ที่โรงพยาบาลเฉพาะแห่งในประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ไอ เจ็บคอ หรือมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ หรือมีประวัติสัมผัสกับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง จะไม่สามารถจัดหาใบรับรองแพทย์ให้ได้

    โรงพยาบาลมิตรภาพ โรงพยาบาลมโหสถ และสถาบันปาสเตอร์ในเวียงจันทน์ เป็นสถานที่ตรวจโควิด-19

    รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมิตรภาพกล่าวว่า ใบรับรองแพทย์ควรรับรองว่าผู้เดินทางไม่แสดงอาการคล้ายโควิดและมีผลตรวจเป็นลบ มาตรการป้องกันนี้จะยังบังคับใช้ไปอีกนาน เพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

    ค่าเช่าในนิคมอุตสาหกรรมทางตอนใต้ของเวียดนามสูงขึ้น

    ที่มาภาพ: https://e.vnexpress.net/news/business/industries/southern-vietnam-sees-surge-in-industrial-land-prices-4126835.html

    ต้นทุนค่าเช่าเฉลี่ยในเขตอุตสาหกรรมในโฮจิมินห์และจังหวัดทางใต้ของเวียดนามในไตรมาส 2 ของปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 106 ดอลลาร์ต่อตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้น 9.7% จากระยะเดียวกันของปีก่อน

    โฮจิมินห์ซิตีมีค่าเช่าสูงสุดที่ 182.3 ดอลลาร์ต่อตารางเมตรต่อสัญญาเช่า ตามมาด้วยจังหวัดลองอัน 133 ดอลลาร์ต่อตารางเมตร จังหวัดด่งนาย 98 ดอลลาร์ต่อตารางเมตร จังหวัดบิ่ญเซือง 88 ดอลลาร์ต่อตารางเมตร และจังหวัดบ่าเสียะ-หวุงเต่า ไม่เกิน 80 ดอลลาร์ต่อตารางเมตร จากรายงานบริษัทโจนส์ แลง ลาซาลส์

    ต้นทุนโรงงานสำเร็จรูป ทรงตัวมากกว่าที่ดินในราคา 3.5-5 ดอลลาร์ต่อตารางเมตรต่อเดือน เนื่องจากเป็นสัญญาระยะสั้นระหว่าง 3-5 ปีและผลกระทบของการระบาดใหญ่ของโควิด-19

    แม้ว่าธุรกิจจะได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ แต่การศึกษาตลาดพบว่าอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมในเวียดนามยังคงดึงดูดผู้ประกอบการและนักลงทุนจำนวนมาก

    ในไตรมาสที่สอง ภาคใต้ของเวียดนามได้จดทะเบียนพื้นที่ให้เช่ารวม 25,045 เฮกตาร์ ส่วนที่เหลือในนิคมอุตสาหกรรมในโฮจิมินห์บางส่วนไม่พร้อมให้เช่า เพราะค่าตอบแทนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพื้นที่ยังไม่เรียบร้อย

    การระบาดของไวรัสยังคงมีขึ้นในประเทศและทั่วโลก สัญญาเช่าในไตรมาสที่สองส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนในประเทศหรือจากที่ตกลงไว้ก่อนการระบาด อัตราการเข้าใช้พื้นที่เฉลี่ยของนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้อยู่ที่ 84% ในช่วงปลายไตรมาสที่สอง