ThaiPublica > คอลัมน์ > เมื่อ คิม จอง อึน ลุกขึ้นมาจัดการคอร์รัปชันในกองทัพเกาหลีเหนือ

เมื่อ คิม จอง อึน ลุกขึ้นมาจัดการคอร์รัปชันในกองทัพเกาหลีเหนือ

1 พฤษภาคม 2020


Hesse004

คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือที่ทั่วโลกกำลังจับตาข่าวการหายไปของเขา
ที่มาภาพ : https://www.usnews.com/dims4/USNEWS/

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกเหนือจากข่าว COVID-19 แล้ว ข่าวลือการหายตัวไปของ “คิม จอง อึน” ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย

เกาหลีเหนือนับเป็น “แดนสนธยา” ที่ไม่มีใครหน้าไหนเข้าไปล้วงข้อมูลสำคัญกันได้ง่ายๆ นอกจากนี้ การ “ปิดประเทศ” ทำให้ผู้คนรู้จักเกาหลีเหนือน้อยมาก อย่างที่เราทราบกันดีเกาหลีเหนือเต็มไปด้วย propaganda ต่างๆ นานา ทำให้เกาหลีเหนือและ คิม จอง อึน เป็นทั้ง “ฤๅษี” และ “เด็กเกเร” ที่ไม่ค่อยมีประเทศใดต้องการสมาคมคบหา

…ยกเว้นพี่ใหญ่จีนและรัสเซีย

แน่นอนว่า ภาพลักษณ์เกาหลีเหนือในสายตานักลงทุนต่างชาติและองค์กรระหว่างประเทศมักจัดอันดับให้เกาหลีเหนืออยู่ในกลุ่ม “แย่” ตลอดเวลา

…ไม่ว่าจะเป็น Human Right Watch ที่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก เกาหลีเหนือถูกจับตาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนเสมอมา

…หรือจะเป็น World Press Freedom Index ที่จัดอับดับเสรีภาพสื่อในแต่ละประเทศ ซึ่งสื่อในเกาหลีเหนือเป็นเพียงเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล

จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่า Reporter Without Borders หรือ Reporters sans frontières (RSF) ได้จัดอันดับเสรีภาพของสื่อมวลชนทั่วโลก ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา มีประเทศที่ RSF จัดอันดับ 180 ประเทศ โดยเกาหลีเหนือติดอันดับสุดท้ายและรองสุดท้ายมาโดยตลอด

ขณะเดียวกันปัญหาทุจริตคอร์รัปชันรวมถึงความโปร่งใสนั้น Transparency International จัดอันดับให้เกาหลีเหนืออยู่ในกลุ่มท้ายๆ เช่นกัน ดูตารางที่ 2

จากตารางที่ 2 จะเห็นว่าเกาหลีเหนือได้ค่าคะแนนความโปร่งใสสูงสุดเพียง 17 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 ขณะที่แย่สุด คือ ได้ 8 คะแนน ทั้งนี้ ประจักษ์พยานที่ได้เห็นชัด คือ ความอดอยาก ยากแค้นของชาวเกาหลีเหนือ

… “สินบน” กลายเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนเกาหลีเหนืออยู่รอดในสังคมที่ “รัฐราชการ” เป็นใหญ่

การเมืองการปกครองที่ผูกขาดอยู่ที่ตระกูลคิม (Kim Family) ทำให้เกาหลีเหนือต้องพึ่งพา “กองทัพ” เนื่องจากความเข้มแข็งของกองทัพจะป้องกันทั้งศัตรูภายนอกและกำราบประชาชนภายใน ที่หากวันดีคืนดี คิดจะลุกขึ้นสู้กับตระกูลคิมและเครือข่าย

“คิม จอง อึน” ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดตั้งแต่ปี 2011 แม้บรรยากาศภาพรวมยังเข้มงวดดังเดิม แต่มีหลายเรื่องที่เริ่ม “ผ่อนปรน” มากขึ้น

เช่นเดียวกัน “คิมน้อย” เข้ามาจัดระเบียบกองทัพเกาหลีเหนือ ที่แม้ว่าทุกอย่างดูจะสยบยอมภายใต้แทบเท้าเขา แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอในยุคที่เผด็จการทั่วโลกถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เหตุการณ์อาหรับสปริง

กองทัพเกาหลีเหนือ (The Korean People’s Army หรือ KPA) ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มแข็งและทรงพลานุภาพ นอกจากนี้ยังไม่มีใครกล้าตรวจสอบแตะต้อง (ดูตารางที่ 3)

จากตารางที่ 3 ข้อมูลกองทัพเกาหลีเหนือที่ The International Institute for Strategic Studies (IISS) รวบรวมมานั้นน่าสนใจมาก เฉพาะกลุ่มนายทหารในกองทัพ KPA มีถึง 1,280,000 นาย มีกำลังพลสำรองอีก 600,000 นอกจากนี้ยังมีกองกำลังกึ่งทหารหรือ Paramilitary อีกร่วมๆ 6 ล้านคน

นั่นหมายถึง ค่าใช้จ่ายภายในกองทัพเกาหลีเหนือนั้นต้องสูงมากๆ

กองทัพเกาหลีเหนือเป็นอีกกองทัพหนึ่งที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ที่มาภาพ : https://kfausa.org/wp-content/uploads/2017/04/06-1.jpg

แม้ว่าชื่อ คิม จอง อึน จะอยู่ในฐานะผู้นำทางทหารสูงสุด (commander in chief) ก็ตาม แต่ผู้นำตระกูลคิมทุกยุคยังคงเกรงใจกองทัพเสมอมา …อย่างไรก็ดี เมื่อปลายปีที่แล้ว คิม จอง อึน ได้ตั้งหน่วยงานลับขึ้นมาหน่วยงานหนึ่ง ชื่อว่า Military Government Guidance Department

เว็บไซต์ของ Radio Free Asia (RFA) รายงานเรื่องนี้ไว้ว่า หน่วยงานลับที่ คิม จองอึน ตั้งขึ้นมานั้น ทำหน้าที่ติดตาม สอดส่อง จับตา ตรวจสอบเหล่าผู้นำทางทหารกองทัพเกาหลีเหนือว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือไม่อย่างไร ใช้ชีวิตหรูหราเกินกว่าเงินเดือนที่ตัวเองได้รับหรือไม่

ทั้งนี้หากดูชื่อของ Military Government Guidance Department จะไม่ปรากฏคำว่า Audit หรือ Inspection ที่แปลว่าตรวจสอบแต่อย่างใด… หากแต่ใช้คำว่า Guidance แทน ซึ่งคำคำนี้น่าคิดว่าโดยนัยยะแล้ว คือ ทำหน้าที่เพียงแนะนำ ชี้แนะ ตักเตือน

…แต่ถ้าทำผิดขึ้นมาละก็ อย่างที่เราเห็นตามสื่อต่างประเทศ คือ ถูกจับกุมและหนีไม่พ้นโทษประหารสถานเดียว

Military Government Guidance Department จะรายงานตรงต่อคณะกรรมการกลางพรรค (Central Committee) และได้รับความคุ้มครองจากท่านผู้นำสูงสุด คิม จอง อึน

การตั้งหน่วยงานทำนองนี้เป็น “เครื่องมือ” ของคิมน้อยเพื่อจัดการศัตรูทางการเมืองที่มาจากกองทัพ ขณะเดียวกันก็ให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการรักษาวินัยพรรคให้เข้มงวดกว่าเดิม โดยไม่ปล่อยให้ใครในกองทัพเกาหลีเหนือหาประโยชน์ใส่ตัว