ThaiPublica > คอลัมน์ > “เรื่องเล่า” ช่วยการท่องเที่ยว

“เรื่องเล่า” ช่วยการท่องเที่ยว

2 ธันวาคม 2019


วรากรณ์ สามโกเศศ

ที่มาภาพ : https://www.bbc.com/news/blogs-trending-50262547

ผู้คนเหยียบแสน ๆ คนต่อปีแห่กันไปโรงแรม Snotra House ในเมือง Thykkvibaer ในทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์เพื่อชมสิ่งหนึ่ง ซึ่งหากเล่าไปแล้วจะเป็นเรื่องน่าขบขันสำหรับคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เดินทางไปชม สิ่งนี้ซื้อมาด้วยราคาต่ำมาก แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นสมบัติอันมีค่าของท้องถิ่นสำหรับนักท่องเที่ยวไปแล้ว สิ่งนี้ก็คือแฮมเบอร์เกอร์ที่มีอายุ 10 ปี

ในยุคของการท่องเที่ยวที่ประชากรในโลกจำนวนมากมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น มีการเดินทางที่สะดวกสบายมากขึ้นโดยเฉพาะมีสายการบินราคาถูก ผู้คนในแต่ละประเทศรู้จักสนองตอบความต้องการของนักท่องเที่ยว มีที่พัก อาหาร และบริการต่าง ๆ ประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการพัฒนาสิ่งที่เป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยว ภาคท่องเที่ยวจึงเป็นตัวสร้างรายได้ให้แก่ประเทศต่าง ๆ อย่างสำคัญ

ประเทศไทยเรามีนักท่องเที่ยวประมาณ 38.3 ล้านคนในปี 2018 เป็นอันดับ 9 ของโลก นำรายได้มาสู่ประเทศเกือบร้อยละ 20 ของ GDP ภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวสร้างงานและรายได้ที่สำคัญยิ่งของประเทศไปแล้ว เรามีสถานที่ท่องเที่ยว บริการอาหาร สถานที่และสินค้าสำหรับช้อปปิ้งถูกใจนักท่องเที่ยว แต่กระนั้นก็ยังไม่พอ จำเป็นต้องพัฒนาปริมาณและคุณภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้ไปยังเมืองรองอื่น ๆ ของประเทศ

มนุษย์นั้นมีสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ฝังลึกอยู่ในตัวมานานนับ 150,000-200,000 ปี หรือประมาณ 7,500-8,000 ชั่วคนนับตั้งแต่มีร่างกายหน้าตา การเดินเหมือนมนุษย์ปัจจุบัน นั่นก็คือชอบฟังเรื่องเล่าซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับชีวิตของมนุษย์คนอื่น ๆ
แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวก็เพราะมันมีเรื่องเล่าประกอบ

กล่าวคือเมื่อสิบปีก่อนใน ค.ศ. 2009 ตอนที่ร้าน Mc Donald’s จำนวนสามสาขาถูกปิดไปเนื่องจากวิกฤตเงินในไอซ์แลนด์ซึ่งติดเชื้อลามมาจากวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาในปี 2008 จนทำให้ไอซ์แลนด์เป็นประเทศเดียวในโลกตะวันตกที่ไม่มีร้าน Mc Donald’s ในวันที่ 31 ตุลาคมของปีนั้น ก่อนที่ร้านจะปิด Hjortur Smarason ชาวไอซ์แลนด์ซื้อแฮมเบอร์เกอร์มาชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นที่ระลึกทางประวัติศาสตร์

เขาได้ยินร้านโฆษณาว่าแฮมเบอร์เกอร์ของเขาไม่เน่าเปื่อยย่อยสลายเป็นปุ๋ย เขาจึงซื้อมาพิสูจน์ ในตอนแรกเขาเก็บไว้ในโรงรถและเห็นว่าไม่เน่าเปื่อยจริงจึงมอบให้พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของไอซ์แลนด์ จนเป็นข่าวใหญ่และต่อมาก็ย้ายไปอยู่ที่โรงแรมดังกล่าว

แฮมเบอร์เกอร์ถูกเก็บไว้ในกล่องพลาสติกอย่างดีราวกับเป็นวัตถุศิลปะอันล้ำค่าเพื่อให้เห็นว่ามันแห้งเหี่ยวลงไปแต่ไม่เน่าเปื่อย (ไม่แน่ใจว่ามีการใช้สารเคมีใดเพิ่มเติมหรือไม่ แต่บริษัทระบุว่าที่ไม่เน่าเปื่อยเพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมคือมีอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม) เพียงแค่นั้นก็มีคนจากทั่วโลกเดินทางไปเยี่ยมชมจนทำให้ชาวบ้านของเมืองนี้ยิ้มผ่องใสไปตาม ๆ กัน

ทำไมผู้คนนับแสนเดินทางไปดูแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นนี้? คำตอบก็คือเพราะมันมี “เรื่องเล่า” อยู่เบื้องหลังว่ามาจากวันสุดท้ายที่ร้านปิดตอนวิกฤตเศรษฐกิจ และไม่เน่าเปื่อย การประโคมข่าวและการตลาดที่มีประสิทธิภาพทำให้แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นเดียวสร้างรายได้ให้แก่ประเทศมากกว่าราคาเดิมของมันหลายล้านเท่า

ที่มาภาพ : https://www.bbc.com/news/blogs-trending-50262547

“เรื่องเล่า” เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการท่องเที่ยวและการค้าในยุคปัจจุบัน ยาหรือสินค้าโบราณของไทยฟื้นตัวขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นยาหม่อง ยาสมุนไพร ยาดม ฯลฯ ในปัจจุบันก็มาจาก “เรื่องเล่า” ของความเก่าแก่ ประสิทธิภาพและรสนิยมของนักท่องเที่ยวจีนกว่า 10 ล้านคนต่อปี

สมมุติว่าเราไปเที่ยวหมู่บ้านแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นที่ปลูกดอกไม้สวย ใคร ๆ ก็ว่าสวยแต่ก็จบแค่นั้น แต่ถ้ามีเรื่องเล่าว่าหมู่บ้านแห่งนี้เป็นบ้านเกิดของยามาดะ หรือออกญาเสนาภิมุข ซามูไร เจ้ากรมอาสาของชาวบ้านญี่ปุ่นในสมัยอยุธยาเมื่อ 450 ปีก่อนแล้วรับรองได้ว่าหมู่บ้านนี้จะสร้งความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในใจของคนไทยที่ไปท่องเที่ยวหมู่บ้านนี้อีกมากมาย และสิ่งที่ตามมาคือการค้าขาย

คนไทยอาจดื่มเหล้าขาวที่มีชื่อว่า “อะวาโมริ” เมื่อไปเที่ยวเกาะโอกินาวา โดยอาจเห็นว่ามีคุณภาพดีแต่ก็ไม่รู้สึกผูกพันแต่อย่างใด แต่ถ้ารู้ว่าเป็นเหล้าที่สืบทอดมาจากโบราณกว่า 400 ปี ในสมัยยังเป็นอาณาจักรริวกิวโดยนำเข้าข้าวจากอยุธยามาผลิตตามหลักฐานประวัติศาสตร์ และตลอดมาก็นำข้าวจากบ้านเราไปผลิต รับรองได้ว่า “เรื่องเล่า” นี้จะทำให้มองขวดเหล้าเดิมด้วยสายตาที่แตกต่างจากเก่า

ในบ้านเราก็มีเรื่องเล่าอยู่มากในระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อ ผีสางนางไม้ ชีวิตของพระที่น่านับถือ ประวัติวัดและพระพุทธรูป ฯลฯ จนทำให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมและกราบไหว้จนเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของท้องถิ่น

อย่างไรก็ดี “เรื่องเล่า” เหล่านี้มักขาดการศึกษาวิจัย ไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ หลายสถานที่เป็นเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา หากจะให้ “เรื่องเล่า” เหล่านี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวในทุกระดับอย่างแท้จริแล้ว การค้นคว้าหาความจริงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ประกอบเป็นสิ่งที่จำเป็น

เศรษฐกิจสร้างสรรค์สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมูลค่าของสินค้าบริการ ผ่านการใช้สติปัญญา โดยใช้วัฒนธรรมประเพณี ประวัติศาสตร์ ฯลฯ ประกอบ การผลิตและการออกแบบแพ็กเกจอย่างมีศิลปะพร้อม “เรื่องเล่า” จะยิ่งทำให้สามารถทำมาหากินกันภายใต้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ดียิ่งขึ้น

การท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ที่ขาดเรื่องเล่าที่น่าเชื่อถือประกอบโดยทั่วไปจะไม่สามารถต่อยอดการท่องเที่ยวได้ในระยะยาว ดังนั้นผู้รับผิดชอบการท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ จำเป็นต้องให้ความสนใจกับการค้นหา “เรื่องเล่า” ที่มีคุณค่าเชิงวิชาการ

เศรษฐกิจสร้างสรรค์ต้องมีความคิดสร้างสรรค์เป็นพื้นฐาน แฮมเบอร์เกอร์เพียงชิ้นเดียวจากร้านที่ปิดตัวเองวันสุดท้าย และไม่เน่าเปื่อยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นแสนคนต่อปี บ้านเรามีวัตถุดิบให้ “เล่น” มากมาย ในอนาคตเราจะเห็นกิจกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทำนองนี้อีกเป็นอันมากตราบที่เราส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในสังคมและระบบการศึกษาทั้งในและนอกโรงเรียนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง

การท่องเที่ยวคือการศึกษาเพราะทำให้ใจเปิดกว้างยอมรับวัฒนธรรมและความคิดอื่นที่แตกต่างจากเราและเห็นตัวอย่างต่าง ๆ มากมาย การใช้เวลาท่องเที่ยวที่ไม่หมกมุ่นกับการช้อปปิ้งแต่เพียงอย่างเดียวจึงเป็นเรื่องน่าคิดสำหรับคนไทยที่ออกไปเที่ยวนอกประเทศกันถึงกว่าปีละ 10 ล้านคนในปัจจุบัน

หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 19 พ.ย. 2562