ThaiPublica > เกาะกระแส > ผู้ว่าการธปท. แจงดำเนินนโยบายอย่าง “มุ่งเป้าหมาย” ตาม “เหตุ-ปัจจัย” ชี้เตรียมปรับ “กรอบเป้าหมายนโยบาย” ให้สอดคล้องพลวัตรเงินเฟ้อ

ผู้ว่าการธปท. แจงดำเนินนโยบายอย่าง “มุ่งเป้าหมาย” ตาม “เหตุ-ปัจจัย” ชี้เตรียมปรับ “กรอบเป้าหมายนโยบาย” ให้สอดคล้องพลวัตรเงินเฟ้อ

17 กรกฎาคม 2019


ดร.วิรไท สันติประภพ (ที่2จากซ้าย) ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส (ที่3จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. และเลขานุการ กนง.

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดงานประชุมนักวิเคราะห์ หรือ Analyst Meeting ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 4 ของปีและเป็นครั้งที่ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2562 เพื่อสื่อสารและตอบข้อสงสัยกับนักวิเคราะห์และสื่อมวลชนในการตัดสินใจนโยบายการเงินและการปรับประมาณการณ์ที่ผ่านมา

ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่าการดำเนินนโยบายการเงินหลายคนอาจจะคิดว่าธปท.หรือกนง.จะอดทนต่อความเสี่ยงในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ เสถียรภาพระบบการเงิน หรือเงินเฟ้อแค่ไหน เช่น เมื่อตัวชี้วัดใดลดลงถึงระดับใดแล้วธปท.จะต้องออกมาดำเนินการทันที แต่ธปท.จะพิจารณาจากเหตุปัจจัยของสถานการณ์ต่างๆมากกว่าว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นอย่างไร เปลี่ยนแปลงอย่างไร กระทบไทยอย่างไร กี่ช่องทาง แต่ละช่องทางกระทบไทยเพียงใด ดังนั้นเมื่อสถานการณ์และเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน ช่องทางแตกต่างกัน ธปท.ต้องใช้นโยบายที่แตกต่างกันตามกลไกเครื่องมือที่มีอยู่

“มาตรการของธปท.ในระยะที่ผ่านมาถ้าสังเกตุจะเห็นว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย เราจะไม่ดำเนินนโยบายแบบเหวี่ยงแห แต่จะมุ่งเป้าหมายจากการศึกษาเชิงลึกของธปท.ในแต่ละเรื่อง อย่างมาตรการ LTV ที่ออกมาล่าสุดจะเห็นผลว่าตัวสัญญาเงินที่มากกว่า 2 สัญญาขึ้นไปเริ่มชะลอตัว หรือถ้าเป็นสัญญาที่ 2 จะต้องมีระยะเวลาห่างจากการผ่อนสัญญาแรกพอสมควร ซึ่งลดการเก็งกำไรและสะท้อนอุปสงค์ของบ้านที่แท้จริงได้ ดังนั้นการเกณฑ์เอาไว้มันก็จะเป็นลักษณะไม่ยืดหยุ่นในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” ดร.วิรไท กล่าว

หรือเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากในเดือนนี้ หากดูปัจจัยพื้นฐานจะพบว่าเกิดจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่มากกว่าเงินทุนไหลเข้าไปยังหลักทรัพย์ของไทยค่อนข้างมากจะทำหน้าที่เป็นเหมือนลมใต้ปีกของค่าเงิน ขณะที่เงินทุนที่ไหลเข้าออกในตลาดการเงินของไทยจะเป็นส่วนที่สร้างความผันผวนของค่าเงิน เป็นเหมือนท่อที่เติมความผันผวนเข้ามาในค่าเงิน และเมื่อประกอบกันจะทำให้ค่าเงินเวลาแข็งค่าเทียบกับกรณีอ่อนค่ามีลักษณะไม่สมดุลกันด้วย กล่าวคือเวลาเงินไหลเข้ามาเมื่อหนุนด้วยการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะทำให้ค่าเงินแข็งค่าแรงและเร็ว แต่ในทางกลับกันเมื่อมีเงินไหลออก แต่เมื่อบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลหนุนอยู่ ค่าเงินบาทก็จะอ่อนค่าได้ช้ากว่า

ดังนั้น ถ้าไม่ดูให้รอบด้านว่าเงินไหลเข้ามาอย่างไรแบบนี้อาจจะตั้งโจทย์ผิดแต่แรกและเครื่องมือที่ใช้ก็จะผิดไปด้วย การออกมาตรการที่ลดวงเงินประมูลพันธบัตรของธปท. การลดยอดคงค้างในบัญชีเงินฝากสกุลเงินบาทของต่างชาติในไทย และการรายงานชื่อผู้ถือครองตราสารหนี้ของไทย จึงเป็นมาตรการที่ตรงจุด มีเป้าหมายเพื่อไปลดขนาดท่อเหล่านี้ของเคลื่อนย้ายเงินทุนที่จะทำให้ค่าเงินผันผวนโดยตรง ซึ่งถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่แรง ค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงไปและยืนระยะได้มาต่อเนื่อง

หรือนโยบายดอกเบี้ยของประเทศเพื่อนบ้านที่เริ่มทยอยลดลงแล้ว แต่นโยบายของกนง.ยังไม่ลดดอกเบี้ยลง ถ้าย้อนดูช่วงก่อนหน้านี้ประเทศเหล่านี้ได้ขึ้นดอกเบี้ยไปในช่วงต้นปี 2561 ที่มีการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้าย เพื่อสกัดเงินทุนเหล่านั้น ขณะที่ประเทศไทยไม่ได้เผชิญสถานการณ์ลักษณะเดียวกัน กนง.ตัดสินใจว่ายังไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในขณะนั้น เพราะอยากเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่างเข้มแข็ง และพอจีดีพีของไทยกลับมาเติบโตได้ระดับ 4% ซึ่งสอดคล้องกับศักยภาพในช่วงปี 2561 กอปรกับธนาคารกลางของประเทศหลักเริ่มตึงนโยบายการเงินอีกครั้ง กนง.ในช่วงสิ้นปีจึงตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี เพื่อดูแลเสถียรภาพระบบการเงินมากขึ้น พอต่อมาสภาพเศรษฐกิจเริ่มกลับขั้วอีกครั้ง ประเทศเพื่อนบ้านที่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปก่อนหน้านี้จึงจำเป็นต้องกลับมาเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายไม่ให้สูงเกินไป เพื่อดูแลเศรษฐกิจภายในประเทศตนเอง

“ดังนั้นนโยบายการเงินจะต้องตอบโจทย์ของประเทศ ไม่ใช่ว่าทุกคนขึ้นดอกเบี้ยแล้วเราต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม แต่ต้องดูบริบทให้สอดคล้องกันด้วย นอกจากนี้ ธปท.ยังให้ความสำคัญกับการผสมผสานนโยบาย ซึ่่งเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศก็เริ่มให้ความสำคัญว่าแต่ละปัญหาอาจจะไม่ได้แก้ได้ด้วยเครื่องมือเพียงอย่างเดียว เหมือนแต่ก่อนที่จะมีระบุเครื่องมือว่าแต่ละอย่างใช้ทำอะไร เรื่องไหนบ้าง แต่ถามว่าในอนาคตถามว่าจะมีมาตรการอื่นๆหรือไม่ ธปท.ก็พ้อมจะปรับปรุงตามข้อมูลและเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นตามกลไกเครื่องมือที่มีอยู่” ดร.วิรไท กล่าว

เตรียมรับมือเศรษฐกิจชะลอตัว เริ่มกระทบการจ้างงาน

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. และเลขานุการ กนง. กล่าวสรุปการตัดสินใจนโยบายว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปรับลดลงจากปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้การส่งออกของไทยหดตัวใน 5 เดือนแรกที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การหดตัวยังถือว่ายังน้อยกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคแม้ว่าจะเผชิญสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าค่อนข้างมาก ยกเว้นเวียดนามที่อาจจะมีปัจจัยเฉพาะของประเทศ ส่วนหนึ่งสะท้อนจากการปรับตัวย้ายฐานการผลิตของประเทศต่างๆที่เป็นผลจากสงครามการค้าในช่วงที่ผ่านมา รวมไปถึงการกระจายตัวของภาคส่งออกที่ค่อนข้างดีของไทย และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาขยายตัวเป็นเติบโตได้อีกครั้ง แต่คงไม่เพียงพอที่จะทำให้การส่งออกทั้งปีกลับมาเติบโตได้

ด้านการท่องเที่ยวเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง การหันกลับมาเที่ยวภายในประเทศ และการที่จีนเริ่มย้ายไปเที่ยวในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่อ่อนไหวต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น สำหรับภาครัฐยังมีความเสี่ยงจากการตั้งรัฐบาลล่าช้าจนส่งผลต่อการผ่านงบประมาณประจำปี 2563 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2563 แทน นอกจากนี้ โครงการลงทุนของรัฐต่างๆเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงบ้างในบางโครงการจากปัจจัยต่างๆ เช่นการเข้าพื้นที่ ด้านการบริโภคเริ่มเห็นสัญญาณการจ้างงานชะลอลง โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่เกี่ยวกับการส่งออก ในระยะต่อไปต้องติดว่าจะกระทบต่อการบริโภคของเอกชนมากน้อยเพียงใด

ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อยังใกล้เคียงกับการประเมินครั้งก่อนหน้า ทั้งนี้หากแยกเป็นปัจจัยที่กำหนดเงินเฟ้อในระยะปานกลางที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานต่างๆและการคาดการณ์เงินเฟ้อและระยะสั้นที่สอดคล้องกับภาวะหรือวัฎจักรเศรษฐกิจ พบว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าพื้นฐาน เช่นการพัฒนาเทคโนโลยี การเข้ามาของ e-Commerce และการขุดน้ำมันจากชั้นหิน (Shale Oil) ยังกดดันให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ เช่นเดียวกับการคาดการณ์เงินเฟ้อผ่านการตั้งราคาและค่าจ้างอยู่ในระดับต่ำลง ขณะที่ความสัมพันธ์ระยะสั้นพบว่าอำนาจการตั้งราคาตามวัฎจักรเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ไม่สามารถส่งผ่านไปที่การขึ้นราคาได้  รวมไปถึงอำนาจแรงงานที่ลดลงทำให้แม้ว่าเศรษฐกิจจะปรับดีขึ้นแต่ก็ไม่สามารถต่อรองค่าจ้างเพิ่มได้มากนักและเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อเอาไว้

ดร.วิรไท กล่าวเสริมว่าเรื่องของการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ต่ำลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสำเร็จของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ของโลกหันมายึดเป็นเป้าหมาย แล้วพอธนาคารกลางส่วนใหญ่บรรลุเป้าหมายได้ก็ทำให้มีความน่าเชื่อถือตามมาต่อสาธารณชนว่าธนาคารกลางพร้อมจะดำเนินนโยบายให้เข้ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ระบบเศรษฐกิจหรือสาธารณชนก็คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในกรอบที่ต่ำ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศที่เคยเผชิญเงินเฟ้อสูงมาก่อน

สำหรับประเทศไทยแม้ว่าจะไม่เคยเผชิญปัญหาเงินเฟ้อสูงแบบหลายประเทศ แต่เรื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างยังมีผลต่อเงินเฟ้อในระยะปานกลางค่อนข้างมาก ตัวอย่างเช่นเรื่องของสังคมผู้สูงอายุที่เกิดขึ้นจะทำให้รูปแบบการบริโภคเปลี่ยนแปลงไปอีกค่อนข้างมาก หรือเรื่องเทคโนโลยีที่ถูกลงมาก เมื่อนำมาคำนวณในดัชนีราคาผู้บริโภคก็จะเป็นตัวที่ถ่วงให้เงินเฟ้อต่ำลงมาก ขณะที่ในชีวิตประจำวันประชาชนอาจจะไม่ได้ซื้อสินค้าเหล่านี้บ่อยๆ จึงทำให้เกิดปรากฎการณ์ว่าเงินเฟ้อต่ำแต่คนยังรู้สึกว่าข้าวของอื่นๆแพง ดังนั้นในมุมหนึ่งอาจจะต้องหาหรือปรับตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่สะท้อนต้นทุนของประชาชนหรือคุณภาพชีวิตของประชาชนมากขึ้น

“เรื่องของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อธปท.มีการทบทวนตลอด โดยธปท.จะหารือกับกระทรวงการคลังในทุกปี ช่วงที่ผ่านมาก็มีการปรับเงินเฟ้อจากเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นเงินเฟ้อทั่วไป มีการให้น้ำหนักของปัจจัยอื่นๆอย่างเช่นเรื่องของเสถียรภาพระบบการเงิน นอกเหนือไปจากเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว เป็นต้น อีกเรื่องคือเรื่องกำหนดเงินเฟ้อเป็นปีปฏิทันในปัจจุบันในความเป็นจริงคือเงินเฟ้ออาจจะไม่ใช่ว่าพอสิ้นปีแล้วก็จบ ขึ้นปีใหม่ก็เริ่มใหม่ แต่มันมีลักษณะที่ต่อเนื่องกัน อาจจะทำเป็นกรอบแบบเคลื่อนที่ หรือ Rolling Windows ให้สะท้อนเงินเฟ้อในระยะปานกลางหรือไม่ เป็นต้น” ดร.วิรไท กล่าว

แจงบาทแข็งจากเกินดุล “บัญชีเดินสะพัด” สูงเป็นหลัก

สำหรับประเด็นค่าเงินที่กนง.แสดงความกังวลค่อนข้างชัดเจนในการประชุมครั้งที่ผ่านมา นายทิตนันทิ์ กล่าวว่าค่าเงินบาทที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากหลายปัจจัย เริ่มต้นแต่ปัจจัยภายนอกคือธนาคารกลางในประเทศหลักของโลกกลับมาดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายอีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้มีเงินทุนไหลกลับมายังภูิภาคเอเชีย รวมไปถึงประเทศไทยอีกครั้ง ขณะที่ปัจจัยภายในเริ่มจากบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง, สถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีเสถียรภาพขึ้น, นักลงทุนมองเงินบาทในฐานะ Regional Safe-Heaven จากปัจจัยพื้นฐานที่ดีเชิงเปรียบเทียบและผลกระทบจากสงครามการค้าที่อาจจะน้อยกว่าประเทศอื่น และการปรับน้ำหนักหุ้นหรือพันธบัตรไทยในตลาดการเงินของต่างประเทศ ทำให้มีเงินไหลเข้ามาในตลาดการเงินไทยมากขึ้น

“หากดูว่าอะไรกดดันค่าเงินบาทจากเงินที่ไหลเข้ามาระหว่างเดือนมกราคม-เดือนพฤษภาคม 2562 ในแต่ละช่องทางคือบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลจากการส่งออกมากกว่านำเข้าและมีเงินต่างประเทศไหลเข้ามา การไหลเข้ามาลงทุนในตลาดการเงิน หรือ Portfolio และการเข้ามาลงทุนโดยตรง หรือ FDI พบว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมีมูลค่าถึง 13,498 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินทุนไหลเข้า Portfolio เป็นเพียงส่วนน้อย 1,379 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การลงทุนโดยตรงคิดเป็นมูลค่า 3,802 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ เงินทุนที่ไหลเข้ามาใน Portfolio ยังมีความผันผวนค่อนข้างมาก มีลักษณะเข้าๆออกๆและกระจุกตัวในบางช่วงเวลา และทำให้ค่าเงินบาทผันผวนตามไปด้วยอย่างในช่วงล่าสุดที่เห็ฯนเงินไหลเข้ามาค่อนข้างมากในเดือนกรกฎาคมและไปกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา”

นายทิตนันทิ์ กล่าวต่อไปว่าธปท.จึงออกมาตรการดูแลค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดในช่วงที่ผันผวน เห็นได้จากเงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจากประมาณ 240,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมไปถึงมาตรการลดวงเงินการประมูลพันธบัตรธปท.และลดวงเงินของต่างชาติที่จะพักเงินไว้ในบัญชีเงินฝากสกุลเงินบาทของต่างชาติในประเทศไทยจาก 300 ล้านบาทเหลือ 200 ล้านบาท รวมไปถึงให้ทำรายงานย้อนหลังตามมาถึงยอดคงค้างการถือครองตราสารหนี้ไทยของต่างชาติในระดับชื่อผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงด้วย (Ultimate Beneficial Ownership: UBO)

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนของการดูแลค่าเงินของธปท.คือความเสี่ยงที่อาจจะทำให้ไทยเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินของตัวเอง หรือ Currency Manipulator และอาจจะกระทบต่อการค้ากับสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งล่าสุดได้ปรับเกณฑ์ต่างๆให้เข้มงวดขึ้นและไทยก็เข้าข่ายในหลายเกณฑ์แล้ว เช่นมีมูลค่าการค่ากับสหรัฐอเมริกามากกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (จากเดิมที่นับแค่คู่ค้าหลัก 12 อันดับแรก), เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 2% ของจีดีพี (จากเดิมที่ 3%) ซึ่งประเทศเกิดมานานตั้งแต่ก่อนสงครามการค้าแล้ว เป็นต้น

ชี้ “ดอกเบี้ยที่แท้จริงไทย” ต่ำสุดในกลุ่มประเทศคล้ายกันแล้ว

นายทิตนันทื์ กล่าวต่อไปว่าเมื่อหันกลับมาดูภาวะการเงินของไทย ดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยถือว่าต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศที่มีความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกันแล้ว โดยอยู่ที่ 0.88% (ณ ดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75%) ต่ำกว่าประเทศอย่างเวียดนามที่ 4.09% (ณ ดอกเบี้ยนโยบายที่ 6.25%), ต่ำกว่าประเทศอินเดียที่ 3.3% (ณ ดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.75%), ต่ำกว่าประเทศมาเลเซียที่ 2.8% (ณ ดอกเบี้ยนโยบายที่ 3%), ต่ำกว่าประเทศอินโดนิเซียที่ 2.72% (ณ ดอกเบี้ยนโยบายที่ 6%) และประเทศฟิลิปปินส์ที่ 1.8% (ณ ดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.5%) เป็นต้น นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยของประเทศเหล่านี้ในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ได้ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อปกป้องค่าเงินของตัวเองในช่วงที่เกิดภาวะเงินไหลออก ขณะที่ประเทศไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบในลักษณะแบบเดียวกันจึงคงดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ตลอดช่วงเวลาเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ก่อนจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา เมื่อการเติบโตของเศรษฐกิจเริ่มกลับมาสู่ระดับศักยภาพ เพื่อดูแลเสถียรภาพของระบบการเงิน

อนึ่ง ระบบเสถียรภาพระบบการเงินของไทยในปัจจุบันโดยรวมยังไม่ได้ลดลงและมีบางจุดทีสะสมความเปราะบาง เริ่มจากประเด็นแรกคือหนี้ครัวเรือนที่เริ่มเร่งตัวในทุกหมวดสินเชื่อ โดยเฉพาะในหมวดรถยนต์ โดยในไตรมาสแรกของปี 2561 เติบโต 6.3% เทียบกับปีก่อนหน้า สอดคล้องกับการเติบโตของสินเชื่อที่ขับเคลื่อนจากธนาคารพาณิชย์และบริษัทลีสซิ่งเป็นหลัก และพบว่ามีมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อที่ผ่อนปรนมากขึ้น

ประเด็นที่ 2 คือภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ภายหลังการบังคัใช้มาตรการ LTV การปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นไปตามเป้าหมาย สะท้อนจากการเก็งกำไรที่ชะลอลงและมาตรฐานการพิจารณาที่รัดกุมมากขึ้น โดยแม้ว่าการเติบโตของบัญชีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนพฤษภาคม 2562 จะยังขยานตัวถึง 14.8% แต่เนื่องจากเป็นการเร่งโอนหรือซื้อขายก่อนมาตรการจะบังคับใช้ และถ้าเจาะดูเฉพาะช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2562 พบว่าหดตัวลง 4.6% และเป็นการหดตัวของการกู้สัญญาที่ 2 ขึ้นไป -36% แบ่งเป็นแนวราบหดตัวไป -21.9% และแนวสูงที่หดตัวถึง -45.3% ขณะที่การกู้สัญญาแรกขยายตัวเพียง 0.2% โดยแนวราบยังขยายตัวได้ 6.3% และแนวสูงที่หดตัวไป -11.7% สะท้อนให้เห็นถึงอุปสงค์ที่แท้จริงที่ชัดเจนขึ้น แต่ทั้งนี้ยังต้องติดตามอุปทานคงค้างที่เหลืออยู่ต่อไป

“ในมิติอื่นๆ ค่าเฉลี่ยของ LTV ลดลงอย่างชัดเจนในกรณีของสัญญาที่ 2 เป็นต้นไป ขณะที่สัญญาแรกยังทรงตัวและลดลงเล็กน้อย เช่นเดียวกับเงินโอนจากต่างชาติเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในไทยทยอยมีแนวโน้มลดลง แต่ยังต้องติดตามต่อไปอีกระยะ นอกจากนี้จะเป็นเรื่อของพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทน หรือ Search for yield ที่ยังมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะพฤติกรรมการลงทุนที่กระจุกตัวของกองทุนรวมและธุรกิจขนาดใหญ่ และความเสี่ยงจากสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ยังมีความล่าช้าในการออกกฎกระทรวงที่จะมากำกับดูแลตามกฎหมายสหกรณ์ใหม่” นายทิตนันทิ์ กล่า

ดร.วิรไท กล่าวเสริมว่ากรณีของพฤติกรรมการลงทุนที่กระจุกตัวปัจจุบันธปท.เห็นว่ามีกองทุนหรือธุรกิจขนาดใหญ่ไปลงทุนในผู้ออกตราสารหนี้ที่เป็นหน้าเดิมๆค่อนข้างมาก ซึ่งในแต่ละประเทศในแต่ละผู้ออกตราสารก็มีมาตรฐานที่แตกต่างกัน กองทุนรวมที่ไปลงทุนก็มีการประเมินที่แตกต่างกัน ธปท.ก็อยากให้บริหารความเสี่ยงให้ดีรอบคอบขึ้น ขณะที่เรื่องของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์บางคนถามต่อว่าจะทำอะไรต่อ แต่ความจริงคือควรจะเน้นที่ภาพรวมของระบบการเงินคือความสามารถในการชำระหนี้ของคนมากกว่า เพราะเวลาไปปิดอันหนึ่งมันก็จะไปโผล่อีกที่หนึ่ง

นายทิตนันทิ์ กล่าวต่อว่านโยบายการเงินเพื่อดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจและเสถียรภาพของระบบการเงิน ยังต้องดำเนินการอย่างผสมผสานโดยพิจารณาผลดีและผลกระทบทางเลือกเชิงนโยบายต่างๆอย่างเหมาะสมด้วย ทำให้กนง.มีความเห็นว่านโยบายการเงินปัจจุบันผ่อนคลายในระดับที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและสอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อ ขณะที่การลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในช่วงต่อไปยังจำเป็นต้องดูแลด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ และค่าเงินบาทจะยังมีทิศทางแข็งค่าไม่สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยต่อไปและต้องิติดตามการไหลเข้าของเงินทุนอย่างใกล้ชิด

เอกสารการประชุม