ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “แถลงนโยบายครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง ‘บิ๊กแดง’ ไม่รับประกันว่าจะไม่มีรัฐประหารอีก” และ “รวบอดีตรองนายกฯ มาเลเซีย ต้องสงสัยทุจริต”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “แถลงนโยบายครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง ‘บิ๊กแดง’ ไม่รับประกันว่าจะไม่มีรัฐประหารอีก” และ “รวบอดีตรองนายกฯ มาเลเซีย ต้องสงสัยทุจริต”

20 ตุลาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 ต.ค. 2561

  • แถลงนโยบายครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง “บิ๊กแดง” ไม่รับประกันว่าจะไม่มีรัฐประหารอีก
  • ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ฐานปกปิดบัญชี – พร้อมออกคำสั่ง ห้ามดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี
  • บินไทยสั่งสอบนักบิน กรณีเครื่องดีเลย์สองชั่วโมงเพราะจัดที่นั่งนักบินด้วยกันไม่ลงตัว
  • ราชกิจจาเผยแพร่เขตห้ามบิน “พระที่นั่งอัมพรสถาน-พระตำหนักวังศุโขทัย”
  • รวบอดีตรองนายกฯ มาเลเซีย ต้องสงสัยทุจริต
  • แถลงนโยบายครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง “บิ๊กแดง” ไม่รับประกันว่าจะไม่มีรัฐประหารอีก

    พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://bit.ly/2PCyA1M)

    เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า วันที่ 17 ต.ค. 2561 ณ กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ หรือ “บิ๊กแดง” ที่เพิ่งขึ้นนั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนล่าสุด ได้ออกมาแถลงนโยบายครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง

    พล.อ. อภิรัชต์ กล่าวว่า จะสานต่อนโยบายของ พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท อดีต ผบ.ทบ. ที่บัดนี้ขึ้นดำรงตำแหน่งองคมนตรี โดยจะทำให้กองทัพแข็งแกร่งมากขึ้น และเตรียมทำความเข้าใจกับกำลังพลเพื่อรับมือกับสถานการณ์ตามปฏิทินการเลือกตั้ง ทั้งยังบอกด้วยว่าผู้บังคับหน่วยนั้นต้องแยกความสำคัญให้ออก ในฐานะทหารของชาติ และทหารของประชาชน มีหน้าที่สนองนโยบายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของใครก็ตาม

    ส่วนในเรื่องของความเป็นกลางทางการเมืองนั้น พล.อ. อภิรัชต์ บอกว่าเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับมุมมองของคน บางครั้งทหารมองว่าสิ่งที่ตนทำเป็นกลาง ขณะที่คนอื่นมองว่าไม่เป็นกลาง แต่ขอให้มั่นใจว่ากองทัพนั้นเป็นกลาง อยู่เคียงข้างประชาชน และจะทำทุกอย่างให้ประชาชนอยู่ดีกินดี

    เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในอนาคต หากเกิดวิกฤติ กองทัพจะปฏิวัติอีกหรือไม่ เพราะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยยืนยันมาตลอดว่าจะไม่ปฏิวัติ ในที่สุดก็ปฏิวัติจนได้ พล.อ. อภิรัชต์ ตอบว่า อย่าให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นเพียงภาพที่เกิดขึ้น ให้บันทึกอยู่ในความทรงจำ “วันนั้นทหารยืนอยู่ตรงไหน เราถูกรัฐบาลสั่งการให้ออกมาควบคุมความสงบเรียบร้อย เราทำด้วยหัวใจที่ไม่ได้คิดแบบนักการเมืองว่าเราจะเข้ามาบริหารประเทศ ถามว่าวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นถ้า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ตัดสินใจทำรัฐประหาร”

    และยังกล่าวอีกด้วยว่า ที่ผ่านมามีการแก่งแย่งชิงการเมือง ไม่รู้จักแพ้ไม่รู้จักชนะ คนที่แพ้คือประเทศ กองทัพไม่มีวันชนะประชาชน แต่ประชาชนที่ออกมาสร้างความเดือดร้อน ยั่วยุให้จุดไฟเผามีการประกอบระเบิด นั่นคือประชาชนที่ทำให้ประเทศแพ้ ต้องใช้เวลากี่ปีมาฟื้นฟู วันนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นอาจเห็นผลช้าไม่ทันใจ แต่เชื่อว่ารัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ทำทุกอย่างอย่างรอบคอบ สิ่งที่สื่อถามว่าจะมีปฏิวัติหรือไม่ มั่นใจว่าถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุของการจลาจล ก็ไม่มีอะไร ประเทศไทยเคยมีปฏิวัติมา 10 กว่าครั้ง ช่วงหลังเกิดจากการเมืองทั้งสิ้น แต่เชื่อว่านักการเมืองที่ดีก็มี ไม่ดีก็มี เสียใจที่เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมถูกละเมิด การตัดสินในหลายคดีกับคนทำความผิด บอกว่าไม่เป็นธรรมถูกแกล้ง แล้วประเทศชาติจะอยู่ตรงไหน

    นอกจากนี้ ในเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ พล.อ. อภิรัชต์ บอกว่า กองทัพบกถือเป็นข้ารองบาท มีหน้าที่และหัวใจปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่ง และเป็นศูนย์รวมจิตใจ กองทัพบกจะใช้ศักยภาพและขีดความสามารถทุกอย่างในการปกป้องสถาบัน สำหรับการหมิ่นสถาบัน และการก้าวล่วงที่เกิดขึ้นในหลายครั้ง เกิดจากคนสติไม่สมประกอบ เช่น เมื่อเร็วๆ นี้มีการไปยื่นถวายฎีกา เมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ป่วยทางจิต เจ้าหน้าที่นำตัวส่ง โรงพยาบาลศรีธัญญาแล้ว

    “คนที่หมิ่นสถาบันส่วนใหญ่เป็นคนที่จิตไม่ปกติ ส่วนคนที่จิตปกติแต่มีความคิดแปลกๆ ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะอยู่เมืองไทยไม่ได้ ในเมื่อเราอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ทำไมไม่สำนึกถึงบุญคุณแผ่นดินเกิด ไม่มีใครเขาไม่รักแผ่นดินเกิด รัฐบาลผลัดเปลี่ยนไปแต่องค์พระมหากษัตริย์ต้องอยู่คู่ฟ้าคู่แผ่นดินไทยไปตลอด นี่คือหน้าที่ของกองทัพบก และผมจะปกป้องสถาบันด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมี” ผบ.ทบ. กล่าว

    ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ฐานปกปิดบัญชี 10 เดือน

    นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม - ที่มา: สยามรัฐ
    นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม - ที่มา: สยามรัฐ

    วันที่ 18 ต.ค. 2561 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อม.27/2560 ที่นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมระหว่างปี 2552-2554 ผู้คัดค้าน ยื่นอุทธรณ์ผลคำพิพากษาองค์คณะศาลฎีกาฯ 9 คน ที่มีนายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ประธานแผนกคดีล้มละลาย เป็นเจ้าของสำนวน มีมติเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2560 จำคุกนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ฐานจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและเอกสารประกอบอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงกรณีพ้นตำแหน่ง รวม 5 กระทง กระทงละ 2 เดือน รวมจำคุก 10 เดือน และมีคำสั่งห้ามนายสุพจน์ ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม วันที่ 18 พ.ค. 2555 

    โดยองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คน พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมาก เห็นว่า ผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินทั้ง 2 รายการ ทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูง ควรต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แต่กระทำผิดเสียเองจึงนับว่าพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง แม้ผู้คัดค้านไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และเคยประกอบคุณงามความดีปฏิบัติหน้าที่ราชการจนได้รับตำแหน่งระดับสูง ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอให้รอการลงโทษ อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้จำคุก 10 เดือน และห้ามดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี โดยให้ออกหมายจับผู้คัดค้านตามคำพิพากษาถึงที่สุดและให้คืนหลักประกัน 2 ล้านบาท กับผู้คัดค้าน

    คดีดังกล่าว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นผู้ร้อง ยื่นให้ศาลวินิจฉัยข้อกล่าวหา จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความเป็นเท็จ หลังกจาเมื่อปี 2555 ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดข้อกล่าวหานายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จเกี่ยวกับเงิน 17,553,000 บาทเศษ และรถโฟล์กสวาเกน ทะเบียน ฮต 8822 กทม. รวมมูลค่า 20,473,000 บาท สืบเนื่องจากหลังเกิดเหตุคนร้ายบุกปล้นบ่านของนายสุพจน์ ภายในซอย ลาดพร้าว 64 เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2554 ซึ่งผู้ที่ร่วมทำผิดคดีอาญาได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์นับร้อยล้านบาท โดยนายสุพจน์ ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงิน 17 ล้านบาทเศษ และรถโฟล์กสวาเกน ทะเบียน ฮต 8822 กทม. ได้

    บินไทยสั่งสอบนักบิน กรณีเครื่องดีเลย์สองชั่วโมงเพราะจัดที่นั่งนักบินด้วยกันไม่ลงตัว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS (http://bit.ly/2PaKhjh)

    จากกรณีที่มีผู้เผยแพร่ข้อความในโลกออนไลน์ว่าได้ร้องเรียนการบินไทย เนื่องจากไม่ได้รับการบริการตามข้อตกลงของบัตรโดยสารชั้นธุรกิจ โดยเป็นเหตุจากการที่นักบินไม่ยอมนำเครื่องขึ้นจนกว่านักบินที่โดยสารไปด้วยจะได้ที่นั่งที่ต้องการ ทำให้เครื่องออกล่าช้าไปกว่าสองชั่วโมง และตัวผู้ร้องเรียนกับภรรยาจึงต้องยอมแลกที่นั่งกับนักบินที่จะโดยสารไปด้วยนั้น

    ล่าสุด เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS รายงานว่า เพจเฟซบุ๊กการบินไทย Thai Airways ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว โดยบอกว่าจากกรณีที่มีผู้โดยสารร้องเรียนความล่าช้าของเที่ยวบินที่ ทีจี 971 เส้นทาง ซูริค – กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2561 และประเด็นดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ไปยังสื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวางนั้น

    นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตนในฐานะผู้บริหารระดับสูงได้รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วและไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรง และกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร จึงได้สั่งการให้เรียกผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มาสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการตามระเบียบของบริษัทฯ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งจะกำหนดมาตรการป้องกันเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต

    “ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ผมขอแสดงความเสียใจ และขออภัยต่อผู้โดยสารทุกท่านที่ทำให้ได้รับผลกระทบต่อการปฏิบัติงานที่ไม่เป็นมืออาชีพ ทำให้เกิดความล่าช้า และขอโทษท่านผู้โดยสารที่ได้ผลกระทบโดยตรงจากการย้ายที่นั่ง ผมขอน้อมรับผิดต่อผู้โดยสารในเที่ยวบินดังกล่าวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขณะนี้ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการที่เหมาะสม รวมทั้งกำหนดมาตรการ เพื่อให้มั่นใจว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกในอนาคต”

    ราชกิจจาเผยแพร่เขตห้ามบิน “พระที่นั่งอัมพรสถาน-พระตำหนักวังศุโขทัย”

    วันที่ 16 ตุลาคม 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดเขตกำกัดการบิน พ.ศ. ๒๕๖๑ มีใจความดังนี้

    อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอำนาจประกาศกำหนดเขตกำกัดการบินซึ่งห้ามมิให้อากาศยาน บินเข้าหรือบินผ่านในเขตดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจึงออกประกาศ ไว้ดังต่อไปนี้

    ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดเขตกำกัดการบิน พ.ศ. ๒๕๖๑”

    ข้อ ๒ เขตกำกัดพระที่นั่งอัมพรสถาน (VT R82 Amphorn Royal Palace) มีพื้นที่รัศมี ๑ ไมล์ทะเล จากพิกัดอ้างอิง ๑๓° ๔๖’ ๒๑.๕๐” เหนือ ๑๐๐° ๓๐’ ๔๐.๒๘” ตะวันออก มีความสูงจากพื้นดินถึงระยะสูง ๖,๐๐๐ ฟุต

    ข้อ ๓ เขตกำกัดพระตำหนักวังศุโขทัย (VT R83 Sukhothai Palace) มีพื้นที่รัศมี ๑ ไมล์ทะเล จากพิกัดอ้างอิง ๑๓° ๔๖’ ๕๖.๖๖” เหนือ ๑๐๐° ๓๐’ ๓๓.๕๑” ตะวันออก มีความสูงจากพื้นดินถึงระยะสูง ๖,๐๐๐ ฟุต

    ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

    รวบอดีตรองนายกฯ มาเลเซีย ต้องสงสัยทุจริต

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า สำนักข่าวเอเอฟพีและเอพีรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2561 ว่า นายอาหมัด ซาฮิด ฮามิดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพันธมิตรทางการเมืองของนายนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังถูกดำเนินคดีทุจริต ถูกควบคุมตัวหลังเข้าให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันมาเลเซีย ในเมืองหลวงราชการปุตราจายา เมื่อวันพฤหัสบดี และคาดว่าจะถูกตั้งข้อหาในวันศุกร์

    ปัจจุบันซาฮิดเป็นประธานพรรคมลายูสามัคคีแห่งชาติ (อัมโน) แกนหลัก 13 พรรคพันธมิตรในนาม แนวร่วมแห่งชาติ (บีเอ็น) ที่จัดตั้งรัฐบาลปกครองตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2500 จนกระทั่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไปที่สร้างความตกตะลึง เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา

    สำนักงานปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันมาเลเซียเผยว่า การจับกุมนายซาฮิดเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน ตามข้อกล่าวหาใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และฟอกเงิน เกี่ยวพันกับกลุ่มสวัสดิการกลุ่มหนึ่ง โดยไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่รายงานของสื่อท้องถิ่นระบุว่า ซาฮิดฉ้อฉลเงินจำนวน 800,000 ริงกิต (6,251,000 บาท) จากมูลนิธิแห่งหนึ่งที่เขาเป็นประธาน เพื่อนำไปชำระบัตรเครดิต ในปี 2557 และ 2558