ThaiPublica > เกาะกระแส > EXIM BANK- EDC เปิดบริการ “สินเชื่อรับซื้อตั๋วส่งออกอุ่นใจ” หนุนการค้า-ลงทุนไทย-แคนาดา

EXIM BANK- EDC เปิดบริการ “สินเชื่อรับซื้อตั๋วส่งออกอุ่นใจ” หนุนการค้า-ลงทุนไทย-แคนาดา

25 ตุลาคม 2018


EXIM BANK ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาการส่งออกของแคนาดา เพื่อส่งเสริมและเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างไทย-แคนาดา และเปิดบริการใหม่ “สินเชื่อรับซื้อตั๋วส่งออกอุ่นใจ” วงเงินสูงสุด 40 ล้านบาท ใช้เพียงกรมธรรม์ประกันการส่งออกเป็นหลักประกัน พร้อมรับวงเงิน Forward Contract ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยให้ผู้ส่งออกมีเงินทุนหมุนเวียนหลังการส่งออก พร้อมความมั่นใจว่าจะได้รับเงินชดเชยกรณีผู้ซื้อไม่ชำระเงิน รวมทั้งปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับนายวิลเลียมส์ บราวน์ รองประธานประจำภูมิภาคเอเชีย สำนักงานพัฒนาการส่งออกของแคนาดา (Export Development Canada : EDC) เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนไทย-แคนาดา และการค้าการลงทุนในต่างประเทศของผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ การสนับสนุนและแนะนำโครงการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) การแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจทั้งด้านเทคนิค การเงิน และการค้า และการพัฒนาทักษะความสามารถของบุคลากร

EDC เป็นต้นแบบองค์กรการเงินเพื่อการส่งออก (Export Credit Agency) ชั้นนำของโลกที่ประสบความสำเร็จในการสนับสนุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการขนาดใหญ่และ SMEs โดยไม่ต้องรับเงินสนับสนุนจากภาครัฐของแคนาดา รวมทั้งมีการพัฒนาบริการประกันการส่งออกที่ทันสมัย โดย EDC เล็งเห็นโอกาสการลงทุนของผู้ประกอบการแคนาดาในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ EXIM BANK ต้องการสนับสนุนให้ผู้ส่งออกไทยขยายตลาดไปแคนาดาเพิ่มมากขึ้น โดยเล็งเห็นว่า แคนาดาเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรม รวมถึงการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) จำนวนมาก

นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า การลงนามใน MoU วันนี้ เป็นผลจากการไปเยือน EDC ในปี 2016 ของเอ็กซิมแบงก์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ นับจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสององค์กรได้พัฒนาขึ้นมาตามลำดับ โดยมีกิจกรรมร่วมกัน ทั้งการพบปะลูกค้าร่วมกันให้คำปรึกษาแก่ลูกค้า และเชื่อว่าการลงนาม MOU จะมีผลดีของทั้งสองฝ่าย ไทยและแคนาดา

นางโดนิกา พอตตี เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย กล่าวว่า การลงนามใน MoU ระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยกับสำนักงานพัฒนาการส่งออกของแคนาดา ในวันนี้ มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนความสำเร็จของภาคเอกชนที่จะได้รับประโยชน์จากตลาดโลกอย่างเต็มที่ รวมไปถึงมีประโยชน์ของทั้งสองประเทศ

ประเทศไทยและแคนาดามีความร่วมระหว่างกันมายาวนานในหลายด้าน ซึ่งเห็นได้จากการนำเสนอข่าวที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างกันของทั้งสองฝ่าย และในวันนี้รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมการลงนามใน MoU ระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยกับสำนักงานพัฒนาการส่งออกของแคนาดา ที่เป็นการเปิดความสัมพันธ์ด้านใหม่ เป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ในลักษณะทวิภาคี

“EDC เองให้คุณค่ากับการเลือกพันธมิตรสถาบัน ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยมีคุณภาพสูงในระดับที่ EDC วางใจและตกลงใจเป็นพันธมิตร ดิฉันคาดว่าการลงนามใน MoU วันนี้เป็นโฉมใหม่ เป็นการเปิดความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยกับสำนักงานพัฒนาการส่งออกของแคนาดา” เอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย กล่าว

นายวิลเลียม บราวน์, Regional Vice President, International Business Development แห่ง Export Development Canada (EDC) กล่าวว่า การลงนามใน MOU วันนี้นับเป็นก้าวสำคัญ และเหตุการณ์สำคัญของทั้งสององค์กร ประเทศไทยและแคนาดา ต่างเป็นประเทศที่ทำการค้า ดังนั้นการเป็นพันธมิตรจึงมีความสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับความรับผิดชอบต่อสังคม(Corporate Social Responsibility)ขององค์กร ในการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ

การส่งเสริมแนวปฏิบัติและการส่งเสริมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมโลกจึงมีความสำคัญ เพราะเป็นคุณค่าหลักขององค์กรของ EDC และรัฐบาลแคนาดา ซึ่งมุ่งแสวงหาความร่วมมือกับธนาคารไทยเพื่อส่งเสริมและประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติความรับผิดชอบต่อสังคมในภาคธุรกิจทั่วภูมิภาค

คุณค่าหลักขององค์กรด้านที่สอง คือ การเรียนรู้ ซึ่ง EDC เชื่อว่า การเรียนรู้ เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จของทุกองค์กรและ EDC ตั้งใจที่จะเรียนรู้จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ไม่เฉพาะภูมิภาคนี้ หรือเฉพาะประเทศไทย ไม่เฉพาะโอกาสสำหรับธุรกิจแคนาดาในภูมิภาคนี้เท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงภูมิภาค CLMV ด้วย

“ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย คือความเชื่อมโยงสำคัญของเรา ไปยัง CLMV ซึ่งเราเชื่อว่าจะได้เรียนรู้อย่างมากจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย”

“ประเทศไทยมีความสำคัญต่อ EDC ในการเรียนรู้ด้านการประกันภัย ด้านการสนับสนุนทางการเงินภายในภูมิภาคนี้ โดยเห็นจากการที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ได้ไปเยือนแคนาดา ได้เรียนรู้จากทีมงานด้านการประกันภัยและด้านการเงินของเรา และเรามาทราบข้อมูลในเช้าวันนี้ว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยได้ปรับโฉมแล้ว และในขณะนี้ที่เรากำลังถกเถียงกัน การปรับเปลี่ยน Transformation คือ ปัจจัยหลักที่ทำให้องค์กรยังมีความสำคัญต่อลูกค้า มีความสำคัญต่อการคงอยู่ในเวทีโลกด้วย ดังนั้น EDC จึงมุ่งที่จะเรียนรู้จาก ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยในประเด็นดังกล่าว”นายบราวน์กล่าว

ภูมิภาคนี้มีความสำคัญในระดับสูงต่อแคนาดา ในเดือนที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า(Minister of International Trade Diversification) ของแคนาดา ได้มาเยือนประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศแรกนอกอเมริกาเหนือที่เลือกมาเยือน

“เราเลือกธนาคารไทย คือ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการรายแรกในภูมิภาคนี้ เพื่อช่วยให้ EDC สร้างความมีอยู่(presence)ของธุรกิจแคนาดา ทั้งในประเทศไทยและภายในภูมิภาคนี้ และเราหวังว่า เราจะเป็นพันธมิตรที่มีคุณค่าสำหรับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย” นายบราวน์กล่าว

ขณะที่ไทยเป็นประเทศฐานการผลิตที่มีเป้าหมายยกระดับเทคโนโลยีภาคการผลิต ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนไทย-แคนาดาจึงเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญ ได้แก่ อากาศยาน อุปกรณ์ทางการแพทย์ พลังงานทดแทน เทคโนโลยีชีวภาพ ชิ้นส่วนยานยนต์ และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น R&D การจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Regional Operating Headquarters : ROH) และโลจิสติกส์ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2ประเทศ รวมถึงอาเซียนโดยรวม ตลอดจนจะช่วยยกระดับโครงสร้างการผลิตและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของไทย

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)

ทั้งนี้ แคนาดาเป็นประเทศมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลก ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงและมีประชากรเชื้อสายเอเชียอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับสินค้าไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารและสินค้านวัตกรรม สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปแคนาดา ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง ข้าว และเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ สินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากแคนาดา ได้แก่ เพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์

นายพิศิษฐ์ เปิดเผยต่อไปว่า จากมูลค่าการส่งออกของไทยปี 2561 ที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ รวมถึงมูลค่าสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดย 4 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และสินค้าเกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความผันผวนของตลาดโลกที่มีมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยต้องเผชิญกับปัจจัยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น อาทิ สงครามการค้าระหว่างประเทศ ความผันผวนของตลาดการเงิน ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงภัยธรรมชาติ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้ผู้ซื้อในต่างประเทศได้รับผลกระทบและผิดนัดการชำระค่าสินค้า ด้วยสาเหตุทางการค้าหรือการเมือง ทำให้ผู้ส่งออกไทยจำนวนมากมีความกังวลในการทำการค้าระหว่างประเทศ EXIM BANK จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ “สินเชื่อรับซื้อตั๋วส่งออกอุ่นใจ (EXIM IBD GLOBAL)” เป็นสินเชื่อหมุนเวียนหลังการส่งออกเพื่อผู้ส่งออก SMEs วงเงินสูงสุด 40 ล้านบาทต่อราย อัตรารับซื้อลด Prime Rate -2.00% ต่อปี ตลอดอายุโครงการ พร้อมวงเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า Forward Contract สูงสุดเท่ากับวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ โดยมีเงื่อนไขผ่อนปรนใช้เพียงกรมธรรม์ประกันการส่งออกเป็นหลักประกัน และบุคคลหรือนิติบุคคลค้ำประกัน

“ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะกระทบต่อการส่งออกของไทย แม้ในระยะสั้นผู้ประกอบการไทยยังสามารถปรับตัวได้ แต่เพื่อให้ผู้ประกอบการที่แม้มีความรู้ความเข้าใจต่อความเสี่ยงนี้ยังสามารถค้าขายได้และสามารถรองรับความเสี่ยงจากการส่งออกนี้ได้ด้วย เอ็กซิมแบงก์จึงเปิดตัวบริการใหม่ให้ผู้ประกอบการ” นายพิศฺษฐ์กล่าว

นายพิศิษฐ์กล่าวว่า สินเชื่อรับซื้อตั๋วส่งออกอุ่นใจ เป็นสินเชื่อหมุนเวียนให้กับผู้ส่งออก เมื่อได้รับคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อในต่างประเทศ ก็สามารถนำคำสั่งซื้อนั้นมาขอสินเชื่อจากเอ็กซิมแบงก์ได้ ไม่จำเป็นต้องหาหลักประกันเพิ่ม

ผู้กู้ต้องได้รับการอนุมัติกรมธรรม์ “บริการประกันการส่งออกสำหรับสินเชื่อรับซื้อตั๋วส่งออกอุ่นใจ (EXIM IBD GLOBAL INSURANCE)” บริการนี้สำหรับผู้ส่งออกที่มีมูลค่าการส่งออกไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ส่งออกภายใต้เทอมการชำระเงินสูงสุดไม่เกิน 120 วัน และให้ความคุ้มครองมากกว่า 137 ประเทศทั่วโลก โดยมีระยะเวลาอนุมัติตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 นอกจากนี้ ผู้ส่งออกยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในการวิเคราะห์ผู้ซื้อฟรีจำนวน 2 รายต่อกรมธรรม์ ซึ่งปกติคิดในราคา 1,500-2,000 บาทต่อราย ได้รับเงินคืน (Rebate) ดอกเบี้ยรับซื้อลดเพิ่มอีก 0.25% ในกรณีที่ผู้ประกอบการชักชวนผู้ซื้อที่ผู้ส่งออกนำมาทำประกันการส่งออกให้โอนเงินชำระค่าสินค้าจากต่างประเทศมายัง EXIM BANK โดยตรง และส่วนลดค่าธรรมเนียมในการเรียกเก็บ (Collection Fee) ในอัตรา 50% สำหรับเงื่อนไขการชำระเงินแบบ D/P, D/A

กรมธรรม์ประกันการส่งออกมีเบี้ยประกันต่ำ ให้ความคุ้มครองความเสี่ยงที่คุ้มค่า ครอบคลุมกรณีผู้ซื้อล้มละลาย ผู้ซื้อปฏิเสธการชำระเงินค้าสินค้า ผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า ยกเว้นกรณีสินค้าเน่าเสียง่าย และยังคุ้มครองความเสี่ยงทางการเมือง กรณีการควบคุมการโอนเงินจากประเทศผู้ซื้อ การเพิถอนใบอนุญาตนำเข้า หรือห้ามนำเข้าสินค้า และการเกิดสงคราม จลาจล ปฏิวัติ รัฐประหาร

“EXIM BANK พัฒนาบริการในครั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ SMEs ที่อาจจะมีฐานทุนจำกัด โดยการเสริมสภาพคล่อง ผนวกกับการคุ้มครองความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ ทั้งด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ซื้อ และประเทศผู้ซื้อ เพื่อให้ผู้ส่งออกไทยบุกตลาดได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้า หรือเสียรายได้เนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ ธนาคารยังขยายความร่วมมือกับพันธมิตรจากภาครัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสและเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการไทย” นายพิศิษฐ์กล่าว