ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ มั่นใจ จนท. พา “13 ชีวิต” ออกจากถ้ำได้อย่างปลอดภัย – มติ ครม. คง “VAT” 7% ต่อ 1 ปี

นายกฯ มั่นใจ จนท. พา “13 ชีวิต” ออกจากถ้ำได้อย่างปลอดภัย – มติ ครม. คง “VAT” 7% ต่อ 1 ปี

3 กรกฎาคม 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน ประชุมทางไกลผ่านดาวเทียมกับนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามการช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี ก่อนเข้าประชุม ครม. ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุว่า ในการประชุมวันนี้ตนได้สั่งการมอบนโยบายไปในหลายๆ มิติด้วยกัน ทั้งการขับเคลื่อน การบูรณาการ การดูแลผู้มีรายได้น้อยต่างๆ และในเรื่องการวางพื้นฐานด้านการศึกษาต่างๆ ไปด้วย เพราะจะมีการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษาใหม่ขึ้นมา โดยจะไปควบรวมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศในการผลิตกำลังคน สร้างความเข็มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถ

สถาบันจุฬาภรณ์ จับมือ มจธ. ผลิตวัคซีน ต้านมะเร็งเต้านม

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า มีเรื่องที่น่ายินดี โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา ตนได้รับเสด็จศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ในการร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงพระนามและลงนามความร่วมมือการวิจัยและพัฒนายาชีววัตถุ ระหว่างสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งมีการค้นคว้าวิจัยยาชีววัตถุรักษามะเร็งเต้านม ที่ผลิตขั้นต้นในประเทศไทยเป็นตัวแรกในสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โดยเป็นการคิดผลิตเองโดยคนไทย เพื่อลดค่าใช้จ่ายยารักษาที่มีราคาแพง ประมาณ 1 ล้านบาทต่อคน และเมื่อคิดสารตั้งต้นนี้ออกมาแล้ว ต่อไปจะเป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จะขยายผล เพื่อผลิตในโรงงานยาที่ทันสมัย ต้องเพิ่มปริมาณจากมิลลิลิตร เป็นลิตร ซึ่งระหว่างนี้ก็ต้องมีการทดสอบทั้งกับสัตว์และคน

“นี่คืออนาคตของประเทศไทย ที่จะลดค่าใช้จ่ายที่มีราคาแพง และดูแลประชาชน โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่มีผลกระทบมาก และเป็นการคิดจากเซลล์ต้นแบบที่มาจากคนไทยและเหมาะสมกับคนเอเชีย ทั้งนี้ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์มีเป้าหมายพัฒนายาชีววัตถุตัวใหม่ๆ ที่ไม่ใช่เพียงการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือซื้อลิขสิทธิ์มาผลิตอย่างเดียว วันนี้ต้องคิดยาของเราเอง นี่เรียกว่าการวิจัยและพัฒนา นำสู่การผลิตตั้งแต่เริ่มต้น กลางทาง และปลายทาง โดยความร่วมมือจากภาคเอกชน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

มั่นใจ จนท. พา “13 ชีวิต” ออกจากถ้ำได้อย่างปลอดภัย

เรื่องแผนการช่วยเหลือเด็กในขั้นต่อไปนั้น ซึ่งตนนั้นได้มีการหารือกับผู้รับผิดชอบระดับพื้นที่ คือผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายผ่านทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไปแล้ว ในส่วนของการบริหารงานในการช่วยระยะที่ 2 ต่อไป คือ การนำเด็กๆ ทั้งหมดออกมาให้ได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากยังติดอุปสรรคในเรื่องของระดับน้ำที่ต้องมีการระบายออก โดยตอนนี้มีทางออกเดียวคือทางปากถ้ำ

“ขอให้ฟังการแถลงจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหลัก ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปสู่การตรวจสุขภาพ ที่โรงพยาบาลต่างๆ ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปวุ่นวายกับเด็กมากนัก เราจะมีเวลาที่ให้แถลงข่าวพร้อมๆ กัน ซึ่งเหตุการณ์เมื่อคืนนี้สร้างความปลาบปลื้มใจ ดีใจให้กับประชาชนทั้งประเทศ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศด้วย ยินดีในความสำเร็จ และผมก็จะใช้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนในการกู้ภัย ในการยกระดับมาตรฐานคนของเราทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน ที่เข้ามามีส่วนร่วมในหลายมิติด้วยกัน และขอบคุณชาวต่างชาติที่เข้ามาช่วยเหลือด้วย งานดังกล่าวนี้สำเร็จไม่ได้หากทุกคนไม่ช่วยกัน ตลอดจนจิตอาสาต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ นี่คือประเทศไทย คนไทย นี่คือ ไทยนิยม ทำความดีเพื่อส่วนรวม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ทั้งนี้ ตนได้สั่งการเน้นย้ำไปถึงการดูแล ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำที่ระบายลงมาด้วย ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการพูดคุยกันตั้งแต่ต้นแล้ว ตั้งแต่เริ่มระบายน้ำวันแรกเกษตรกรก็สบายใจ และยอมเสียสละพื้นที่รับน้ำ นอกจากนี้สิ่งสำคัญคือการปรับพื้นที่คืนสู่สภาพปกติ คืนสู่ความเป็นธรรมชาติดังเดิม หลังจากการนำกลุ่มทีมหมูป่าออกมาแล้ว และอาจมีการดำเนินการเพิ่มเติมให้วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นที่รู้จักทั้งโลก ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในอนาคตด้วย ฉะนั้นต้องเตรียมมาตรการรองรับการท่องเที่ยวในอนาคตให้ปลอดภัย ที่ผ่านมานั้นยังไม่มีการสำรวจอย่างชัดเจน วันนี้คงจะได้แผนผังที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรีประชุมทางไกลผ่านดาวเทียมกับนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามการช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี ก่อนเช้าประชุม ครม.
ที่มาภาพ : สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

พร้อมกันนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ขอบคุณในความตั้งใจและความเสียสละของสื่อมวลชนทุกแขนงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในช่วงที่ผ่านมาทุกคนคงร้อนใจเหมือนที่ตนร้อนใจ ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อเด็กปลอดภัยออกมาแล้ว ก็ต้องชื่นชมยินดีและดีใจกับครอบครัว ฉะนั้นตนคิดว่ามีอย่างเดียวที่เขาจะแสดงออกได้ คือตั้งใจประพฤติตนเป็นคนดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพื่อให้พ่อแม่ครอบครัวมีความภาคภูมิใจ เราก็ต้องส่งเสริมให้คนเหล่านี้ ได้เจริญเติบโตต่อไปในอนาคต เพราะทุกคนก็คือคนไทย อย่าไปว่ากันไปว่ากันมา เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นเราก็ต้องแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ขอบคุณทุกคนวันนี้มีความสุข

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีจะพาเด็กๆ ไปเที่ยวพัทยาตามที่ได้เคยกล่าวไว้หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนเคยพูดเอาไว้แล้ว เมื่อเขาพร้อมแล้วค่อยมาว่ากัน เดี๋ยวให้ทางกระทรวงมหาดไทยดำเนินการ ส่วนตนนั้นยังมีภารกิจอีกมาก ยังต้องขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่างประเทศอีก คงแบ่งเรื่องนี้ให้ผู้อื่นรับผิดชอบ

“อนุพงษ์” เผยแผนช่วย 13 ชีวิต – ต้องดำน้ำออกปากถ้ำ

ด้าน  พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ปฏิเสธกระแสข่าวจากสำนักข่าว BBC พร้อมย้ำว่าต้องรีบนำตัวเด็กทั้ง 13 ชีวิตออกมาโดยเร็วที่สุด ยิ่งช่วงที่ฝนจะตกหนักจะต้องสูบน้ำออกมา เพื่อนำตัวเด็กออกมาก่อนที่น้ำจะสูงมากกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ได้ในการฝึกดำน้ำให้กับเด็ก ไม่ใช่เรื่องยากสามารถทำได้ ซึ่งทีมดำน้ำที่มาจากหลายส่วนจะต้องหารือกัน

“เราต้องรู้ว่าสถานที่เพื่ออำนวยในการฝึกให้กับเด็กได้หรือไม่ หรือเอื้ออำนวยให้เด็กสามารถดำน้ำประกบคู่มากับนักดำน้ำได้หรือไม่ด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังหาหนทางอยู่แต่ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีทางออกอื่นนอกจากดำน้ำออกมาทางปากถ้ำ ขณะเดียวกันทีมสูบน้ำก็เร่งสูบน้ำออกจากพื้นที่ภายในถ้ำให้มากที่สุด หรืออย่างน้อยให้มีช่องทางนำตัวเด็กออกมา ซึ่งจะให้รอจนกว่าถึงฤดูแล้งคงเป็นไปไม่ได้ ยอมรับว่าความยากอยู่ที่ภูมิประเทศที่มีทั้งซอกหิน” พล.อ. อนุพงษ์ กล่าว

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 วางแผนการช่วยเหลือเยาวชน 13 คน เป็น 3 ช่วง ได้แก่ เฟส 1 ส่งนักดำน้ำ 4 นาย พร้อมอุปกรณ์ดำรงชีพ พาวเวอร์เจล เข้าทำการช่วยเหลือ และพักอาศัยเป็นเพื่อน พร้อมกับสำรวจโครงสร้างภายใน ให้อยู่ได้โดยปลอดภัย พร้อม เฟส 2 ส่งนักดำ พร้อมแพทย์ เข้าทำการช่วยเหลือ และปรับสภาพอากาศเข้าไปภายใน ให้สามารถดำรงชีพได้อย่างสะดวกสบาย และเฟส 3 เตรียมส่งอาหาร เพิ่มเติม ให้อยู่ได้ 4 เดือน เป็นอย่างน้อย ควบคู่กับการสอนดำน้ำให้ทั้ง 13 คน พร้อมกับยังคงดำรงการระบายน้ำ ตลอดเวลา

แจงย้าย ผู้ว่าฯเชียงรายโปรดเกล้าฯแล้ว แต่ให้อยู่จนจบภารกิจ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีคำสั่งโยกย้ายนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ว่า ตนนั้นได้ชื่นชมนายณรงค์ศักดิ์ผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ไปแล้วในการประชุมเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องการปรับย้ายเป็นการปรับย้ายตามปกติของกระทรวงมหาดไทยที่เกิดมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ได้หมายความว่าเขาดีหรือไม่ดีอย่างไร ฉะนั้นตนคิดว่าคนเราถ้าเป็นคนดีไม่ว่าทำงานที่ไหนก็เจริญ ไปอยู่ที่ไหนก็เจริญที่นั่น ไม่ได้หมายความเขามีความบกพร่องแต่อย่างใด แต่รัฐก็ต้องการคนมีฝีมือไปทำงานในพื้นที่ที่อาจจะยังไม่มีการพัฒนามากนัก เพื่อให้เขาเข้าไปพัฒนา ก็ได้อวยพรให้เขาไปแล้ว

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มาแล้วจากการนำเสนอไปเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ฉะนั้นต้องเป็นไปตามหลักการที่ปรับย้าย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายภายหลังที่มีการประกาศคำสั่งโปรดเกล้าฯ โยกย้ายลงราชกิจจานุเบกษาออกมาแล้ว ทางกระทรวงมหาดไทยจะมีคำสั่งอีกครั้งหนึ่งให้นายนรงค์ศักดิ์ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายไปจนกว่าภารกิจช่วยเหลือทีมหมู่ป่าทั้ง 13 คนจะเสร็จสิ้น

ย้ำครม.สัญจร เชียงราย-พะเยา ไม่ได้โหนกระแสช่วยทีมหมูป่าฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ในจังหวัดเชียงราย และพะเยาในเดือนกรกฎาคม 2561 นี้ ว่า การประชุม ครม.สัญจร เป็นการลงพื้นที่ไปดูในหลายส่วนงานด้วยกัน คงไม่ใช่เรื่องทีมหมูป่าฯ อย่างเดียว เป็นเรื่องการขับเคลื่อนกลุ่มจังหวัด ไปจังหวัดเชียงรายและพะเยาคงไม่ใช่แค่ 2 จังหวัดนี้ เมื่อไปจังหวัดใดอยู่ในกลุ่มจังหวัดไหน กลุ่มจังหวัดนั้นก็มาทั้งหมด มีการพบปะทั้งภาคเอกชน การค้า อุตสาหกรรมเสนอปัญหาข้อขัดข้องมา ซึ่งรัฐบาลก็จัดโครงการตามที่เขาต้องการเท่าที่เป็นไปได้ ยืนยันดำเนินการทำเช่นนี้มาตลอด 4 ปีไม่ใช่เพิ่งมาทำตอนนี้

ญาติไม่ติดใจ ปมเสียชีวิตปลัด พม. วอนอย่าพูดให้เสียหาย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสียชีวิต ว่า ตนขอแสดงความเสียใจอีกครั้งหนึ่งกับครอบครัวของเขาด้วย เป็นการตัดสินใจของท่านเองไม่ได้มีใครไปเกี่ยวข้อง ทางญาติพี่น้องเขาก็ชี้แจงออกมาแล้วไม่ใช่หรือ ว่าไม่ใช่เรื่องอื่นใดเป็นการตัดสินใจของท่านเอง วันนี้ก็มีการฌาปณกิจไปแล้ว ฉะนั้นขออย่าไปพูดจาให้เกิดความเสียหาย

คุยทุกพรรค เคารพทุกคน – ย้ำ “ไทยนิยม” ไม่ทำให้พรรคการเมืองเสียเปรียบ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลเข้าข้างพรรคพลังประชารัฐ ว่าโจมตีตนเรื่องอะไรในเมื่อพรรคประชารัฐที่ว่ายังไม่ประกาศออกมาเลย เขาเพียงแต่จองชื่อไว้เท่านั้น ฉะนั้นการพูดคุยต่างๆ ในวันนี้นั้นตนคิดว่า เรามีอิสระเสรีในการพูดคุยกันมากพอสมควร ไม่ว่าใครก็ตามก็มีการพูดคุยตลอดมา ท่านจะให้นักการเมืองออกมาพูดกันข้างเดียวหรือ ดังนั้นทุกคนล้วนมีสิทธิทั้งสิ้น ประชาชนอยากจะพูดก็พูดมา อะไรก็ตามที่ไม่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยต่างๆ รัฐบาลก็ผ่อนผันให้อยู่แล้วในการดำเนินการ

“ตอนนี้ยังมีแต่ชื่อแล้วผมไปเกี่ยวอะไรกับเขา สื่อไปเอาสิ่งที่เขาอ้างมาถามผม แล้วผมจะตอบอะไรได้ เขาอ้างก็ต้องไปถามคนอ้างโน่น เขาสามารถพูดคุยกันได้ ผมเจอนักการเมืองก็พูดคุยกับเขาได้ แล้วผมจะผิดตรงไหน ผมก็คุยกับทุกพรรค เจอก็ทักทายก็ยกมือไหว้ อดีตรัฐมนตรีก็ยกมือไหว้ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เมื่อรู้จักกันก็ให้เกียรติซึ่งกันและกันบ้าง ดังนั้นวันนี้ต้องอยู่ด้วยกันแบบนี้ บ้านเมืองถึงจะสงบเรียบร้อย เข้าใจหรือไม่”

“อย่ามามองว่าได้เปรียบเสียเปรียบอะไรเลย เพราะประชาชนเป็นผู้ตัดสินเองไม่ใช่หรือ จะได้เปรียบเสียเปรียบตรงไหน หลายคนบอกว่าไทยนิยมได้เปรียบ โครงการนี้เกิดมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ใช่โครงการ หรือการทำงานที่จะมุ่งไปสู่การเลือกตั้ง ผมต้องการที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชนในทุกพื้นที่ เคยพูดหลายครั้งแล้ว จังหวัดก็มี อำเภอก็มี ตำบลก็มี ให้งบประมาณลงไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 3-4 ปี แล้วปีนี้ก็ถึงขั้นตอนที่่ต้องจัดสรรงบประมาณลงไปอีกครั้งในส่วนของหมู่บ้าน แล้วให้ประชาชนเป็นผู้กำหนดว่าจะทำอะไร ไม่ใช่รัฐบาลไปให้เขาเพื่อจะให้เขารักผม ไม่ใช่” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการพูดคุยกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีที่ถูกระบุถึง ในเรื่องนี้หรือไม่ ว่า ตนจะต้องพูดอะไรกับนายสมคิด คงไม่ต้องพูดอะไร ตนยังไม่รู้เลยว่า พรรคไหนเป็นอย่างไร ทราบเพียงว่ามี 79 พรรค แล้วคณะกรรมการการเลือกตั้งยังไม่ได้รับรองหมดทุกพรรค เขาเพียงแต่จองชื่อ ยื่นหนังสือจดทะเบียนพรรคเท่านั้น ให้เขาประกาศออกมาก่อน วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ยังอีกหลายเดือนไม่ใช่หรือ ไปว่ากันตรงนู้น วันนี้ก็ทำงานอยู่

หวังการเหมืองปรองดอง เหมือนช่วยทีมหมูป่าฯ

เมื่อถามว่า คาดหวังอะไรกับปรากฎการณ์ความสามัคคีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็หวังว่า จะดีขึ้น ทุกคนต้องตั้งความหวัง แต่ทุกอย่างอยู่ที่ความศรัทธาของพวกเรา ถ้าเราเชื่อมั่น สร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน ร่วมมือกับรัฐบาลในวันนี้ ก็จะนำไปสู่รัฐบาลที่ดีในวันหน้าไม่ใช่หรือ ดังนั้นตนถึงบอกว่า การไปช่วยทีมหมูป่าอะคาเดมี อยู่ที่แรงศรัทธาของพวกเรา ถ้าเรามั่นใจว่า เขาปลอดภัย เขาก็ต้องปลอดภัย เราเชื่อมั่นว่า คนของเราจะช่วยเขาได้ มันก็ต้องช่วยได้

“คิดว่า การเมืองก็เหมือนกัน ถ้าทุกคนไม่ว่า จะเป็นนักการเมืองเก่าหรือใหม่มาร่วมมือกัน ไม่ว่า พรรคอะไรจะเกิดขึ้น มันอยู่ที่ประชาชนจะเลือกมา และหลายคนก็มีสิทธิที่จะได้รับการเลือกตั้งมา ตราบใดที่เขายังไม่ได้กระทำผิดกฎหมายหรือติดคดีใดๆ เขาก็มีสิทธิที่จะได้รับการเลือกตั้ง เมื่อเลือกตั้งมาแล้ว เขาตั้งใจจะร่วมพัฒนาบ้านเมืองใหม่หรือไม่ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ไว้วางใจหรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ เขาก็ไม่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาอยู่ดี ไม่ว่า พรรคไหนก็ตาม ถือว่า เท่ากันหมด และวันนี้หลายพรรคก็พูดกันขรมไปหมดทุกวัน ผมก็ฟังทุกวัน อย่าไปจับกันไป มา ผมต้องอยู่ตรงกลางให้ชัดเจน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

คง “VAT” 7% ต่ออีก 1 ปี – หนุนการบริโภคภาคเอกชน

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่..) พ.ศ. …. หรือการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งจะสิ้นสุดเวลาวันที่ 30 กันยายน 2561 โดยให้ยังคงจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 6.3% รวมภาษีท้องถิ่น 0.7% เป็น 7% สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 25 61 – 30 กันยายน 2562

โดยกระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าภาครัฐเสียรายได้ประมาณ 258,500 ล้านบาทต่อปี และให้เหตุผลในการขยายเวลาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มครั้งนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจกำลังขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2560 การลดภาษีดังกล่าวต่อไปจะจะช่วยหนุนการบริโภคของเอกชนและเศรษฐกิจได้

ผ่านร่างกม.ตั้ง “กองทุนประชารัฐ” ทุนประเดิม 2,730 ล้าน

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม จากเดิมที่เป็นเพียงกองทุนหมุนเวียนและอาศัยงบประมาณรายจาายประจำปี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นโยบายสวัสดิการแห่งรัฐมีความต่อเนื่อง พร้อมทั้งเปิดช่องการใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยในมิติอื่นๆนอกจากเศรษฐกิจ รวมทั้งผ่านองค์กรอื่นๆ เช่นมูลนิธิ องค์กรการกุศล เป็นต้น

ทั้งนี้ งบประมาณจะมาจากทุนประเดิมของรัฐบาล ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีวงเงิน 2,730 ล้านบาท โดยแบ่งจากการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ที่ไม่ถูกใช้จ่ายและโอนกลับมารายการงบกลางวงเงิน 12,730 ล้านบาท เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เงินบริจาค รวมทั้งเงินจากต่างประเทศ และรายได้จากดอกผลของกองทุน

“ข้อดีของการออกกฎหมายเฉพาะนี้คือหากมีความจำเป็นระหว่างปีจะสามารถจัดสรรงบมาได้สะดวกกว่าการอุดหนุนเงินจาก พ.ร.บ.งบประมาณโดยตรง รวมทั้งรับประกันความยั่งยืนในอนาคตจากเดิมที่หากรัฐบาลหน้าไม่สานต่อด้วยการจัดสรรงบประมาณมาก็อาจจะหายไป อย่างไรก็ตาม รัฐบาลหน้าก็ยังมีส่วนที่จะเลือกกำหนดเงินอุดหนุนส่วนหนึ่งจากเงินงบประมาณได้อยู่”

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ให้ความเห็นว่ากฎหมายจะต้องกำหนดประเภทรายจ่ายให้มีความชัดเจนมากขึ้นและให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้การใช้จ่ายไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานรัฐอื่นๆ อนึ่ง คณะกรรมการกองทุนฯ จะมีผลัดกระทรวงการคลังนั่งเป็นประธานฯ และมีผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 3 คน

ยกระดับฐานเงินเดือนหน่วยงานวิจัยทั้งระบบ

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. พิจารณาการยกระดับการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 ตามที่ สวทช. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ แล้วมีมติดังนี้

1) ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนที่เป็นหน่วยงานด้านการวิจัยทั้งระบบ โดยเฉพาะหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทน จากเดิมที่กำหนดเพดานว่าต้องไปเกิน 30% ของเงินอุดหนุนที่ได้ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันและเป็นข้อจำกัดของหน่วยงานในการหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมงาน

2) เห็นชอบในหลักการของการพัฒนานวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐจากเดิมที่เน้นการวิจัยตามความถนัดของผู้วิจัย โดยงานวิจัยระยะต่อไปจะเน้นที่การสร้างต้นแบบและทดสอบการใช้งานจริง และเมื่อสิ้นสุดโครงการต้องสามารถนำมาขึ้นทะเบียนนวัตกรรมได้และพร้อมนำไปต่อยอดทางการค้าต่อไป

3) รับทราบแนวทางการจัดตั้ง Holding Company ที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบเอกชน และให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกระทรวงมีอำนาจจัดตั้งอยู่แล้ว

ปรับแผนบริหารหนี้ภาครัฐ รอบ 2 วงเงิน 1.584 ล้านล้าน

นายณัฐพร กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 2 โดยมีวงเงินที่ปรับลดลงสุทธิ 4,249 ล้านบาท จากเดิม 1,588,883 ล้านบาท เหลือ 1,584,634 ล้านบาท พร้อมกับรับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติจาก ครม. ภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ โดยมีวงเงินที่ปรับเพิ่มขึ้น 13,024 ล้านบาท จากเดิม 171,263 ล้านบาท เป็น 184,287 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังอนุมัติให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกัน และการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น โดยให้ รมว.คลัง หรือผู้ที่รมว.คลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

นอกจากนี้ ครม.ยังรับทราบแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วเงินคลัง วงเงิน 80,000 ล้านบาท เป็นตราสารหนี้ระยะยาว, รับทราบประมาณการการคลังในระยะปานกลาง-ระยะยาว และพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ในช่วงปีงบประมาณ 2561-2570

นายณัฐพรกล่าวว่า การปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะในครั้งนี้ จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในปี 2561 อยู่ที่ 42.60% สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ 2561 อยู่ที่ 19.60% สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด อยู่ที่ 3.90% และสัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ อยู่ที่ 0.42% ซึ่งทั้งหมดนี้ยังอยู่ภายในกรอบวินัยการเงินการคลัง

ชงตั้ง “กระทรวงอุดมศึกษา” ผลิตนักวิจัย – พัฒนานวัตกรรม

นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร) กล่าวว่า ครม. เห็นชอบจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ซึ่งรวมหน่วยงานสถาบันอุดมศึกษา 157 แห่งและสถาบันวิจัยในสังกัดรัฐอีด 11 แห่งเข้ามาร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ครม. ยังหารือกันว่าชื่อควรจะต้องสื่อให้ชัดเจนถึงแผนการปฏิรูปประเทศผ่านนวัตกรรมและการศึกษา และเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรือ Engine for Growth และเห็นว่ายังมีเวลารับฟังความเห็นในระยะวลาที่เหลืออยู่ก่อนจัดตั้ง

“เป้าหมายของกระทรวงใหม่คือต้องการให้บุคลากรด้านการวิจัย ทั้งอาจารย์และนักวิจัยที่เป็นสมองของประเทศสร้างความรู้ที่จะต่อยอดพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างคนหรือบัณฑิตใฟ้ตรงดับความต้องการของเศรษฐกิจ”

ทั้งนี้ กำหนดแผนจัดตั้งกระทรวงฯ 2 ระยะ คือ 1) เสนอร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561 และ 2) ตั้งคณะทำงานซึ่งมีรัฐมนตรีที่ ครม. มอบหมาย และ หน่วยงานกลางต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดทำรายละเอียดของตัวโครงสร้าง อัตรากำลัง ระบบงานที่จะต้องเชื่อมโยงกัน ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในเดือนมดราคม 2562 โดยคาดว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะจัดตั้งแล้วเสร็จ

อนึ่ง ในเบื้องต้นคาดว่ากลไกบริหารจะแบ่งเป็น 2 ระดับ 1) ระดับนโยบายจะมีคณะกรรมการระดับชาติ หรือซูเปอร์บอร์ด ซึ่งเบื้องต้นอาจจะแปลงมาจากสภาวิจัยและวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายภาพรวม นอกจากนี้จะมีคณะกรรมการอุดมศึกษาที่จะกำหนดนโยบายการวิจัยเจาะจงในทุกศาสตร์สาขา 2) ระดับปฏิบัติการ จะแบ่งเป็นงานเชิงนโยบายจะมีสำนักงานปลัดรับผิดชอบและงานปฏิบัติการอื่นๆ จะรวมสถาบันอุมศึกษาและสถาบันวิจัยเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก

“งานวิจัยจะทำในทุกระดับตั้งแต่วิจัยพื้นฐานจนถึงการประยุกต์ โดยจะมีหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยต่างหาก ซึ่งเป็นการรวมทุนวิจัยจากหน่วยงานต่างๆ ที่ควบรวมเข้ามา ประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือประมาณ 75% ของงบวิจัยทั้งประเทศ ที่เหลือก็จะกระจายอยู่ตามกระทรวงต่างๆ อีก ส่วนเรื่องมหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบไปแล้วก็ไม่เป็นปัญหา เพราะกระทรวงจะเป็นการรวมการวางแผนนโยบายภาพรวมให้ชัดเจน แต่ตัวมหาวิทยาลัยรายแห่งที่มีกฎหมายของตัวเองก็ยังบริหารไปตามนั้นได้ ส่วนหลักสูตรก็แน่นอนว่าต้องปรับตัว แต่ส่วนนั้นจะเป็นงานตามแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ กระทรวงใหม่จะเป็นส่วนของการจัดองค์กรใหม่ให้พร้อมรับมือและทำตามแผนยุทธศาสตร์ต่อไป”

“บินไทย” จับมือ “ซาอุฯ” ขนชาวไทย ร่วมพิธีฮัจย์

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. รับทราบกรณีบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เห็นชอบให้สายการบินซาอุดีอาระเบียนแอร์ไลน์ เป็นสายการบินพันธมิตรในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย ประจำปี พ.ศ. 2561 และการลงนามในข้อตกลงระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยกับสายการบินซาอุดีอาระเบีย แอร์ไลน์ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา

ครม. ยังเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2548 (เรื่อง ขอเงินงบกลาง ประจำปี พ.ศ. 2548 เพื่อเป็นเงินสำรองจ่ายค่าที่พักสำหรับผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์และการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์สำหรับชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลาม) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2553 [เรื่อง รายงานการดำเนินงานกิจการฮัจย์ประจำปี 2553 (ฮ.ศ. 1431)] เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย โดยให้สายการบินแห่งชาติที่รัฐบาลประเทศซาอุดีอาระเบียมอบหมายร่วมกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป ตามความตกลงระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทบกับกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์ และกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบียที่จะมีขึ้นในแต่ละปี

“เนื่องจากกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบียได้กำหนดข้อตกลงใหม่ในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามที่กระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์ ซาอุดีอาระเบียกำหนด เพื่อใช้บังคับกับทุกประเทศที่มีประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามและจะเดินทางไปแสวงบุญพิธีฮัจย์ โดยข้อตกลงดังกล่าวมีข้อกำหนด ดังนี้ 1) การขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ให้แบ่งจำนวนผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ฝ่ายละครึ่งหนึ่งระหว่างสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยกับสายการบินแห่งชาติของประเทศซาอุดีอาระเบีย 2) ไม่อนุญาตให้สายการบินของประเทศอื่นนอกจากสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยและประเทศซาอุดีอาระเบียดำเนินการขนส่ง เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบีย และ 3) ดำเนินการโดยรูปแบบเที่ยวบินเช่าเหมาลำเท่านั้น ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยได้พิจารณาข้อตกลงดังกล่าวและมีมติเห็นชอบแล้ว รวมทั้งมอบหมายให้กรมการปกครองในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งรวมถึงบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้เห็นชอบข้อตกลงดังกล่าวด้วยแล้ว”

เห็นชอบ ทุนกระทรวงเกษตรฯ ส่งเรียน AIT 50 ทุน

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบโครงการพัฒนาบุคลากรด้วยการให้ทุนการศึกษาต่อในต่างประเทศ ศึกษาในหลักสูตรนานาชาติเพื่อทดแทนอัตรากำลังสาขาที่ขาดแคลนและรองรับภาระหน้าที่ ทิศทาง การพัฒนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เพิ่มมากขึ้นและเปลี่ยนแปลงไป ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย หรือ AIT ระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ระยะที่ 4 (ปี 2561-2565) วงเงิน 61.8 ล้านบาท ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการมีดังนี้

1) เพื่อยกระดับการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรมด้านการเกษตร แลด 2) เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรให้มีความรู้ด้านภาษา ความรู้ด้านเทคโนโลยี และความรู้ในการดำเนินธุรกิจต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนาในสาขาวิชาหรือหลักสูตรที่สนับสนุนภารกิจหลักของกระทรวงหรือองค์ความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์พร้อมต่อการรับรองภารกิจเร่งด่วนที่มีความจำเป็น แต่กระทรวงยังคงขาดแคลนบุคลากรให้ปฏิบัติงานได้สอดคล้องต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ และยุทธศาสตร์ของกระทรวง และ 3) เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนาทดแทนอัตรากำลังที่จะมีการเกษียณอายุราชการหรือเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดตามยุทธศาสตร์การปรับขนาดกำลังคนภาครัฐ ซึ่งคาดว่าในปี 2564 จะมีบุคลากรเกษียณไป 1,074 คน หรือคิดเป็น 19.8% ของบุคคลากร

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะให้ทุน จำนวน 50 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2561-2565) แบ่งเป็นระดับปริญญาโท จำนวน 25 คน และระดับปริญญาเอกจำนวน 25 คน โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตผลงานวิจัยและเทคโนโลยีทางเกษตร รวมถึงระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสามารถแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร

อนึ่งในอดีตกระทรวงเคยจัดโครงการดังกล่าวมาแล้ว 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 (ปี 2546-2550) ระยะที่ 2 (ปี 2551-2555) ระยะที่ 3 (2556-2560)

“บิ๊กป้อม” เผยเคลียร์หนี้นอกระบบแล้ว 5 หมื่นราย – จ่อฟันเจ้าหนี้เถื่อน 225 ราย

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมฝ่ายความมั่นคงเข้าไปแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ได้รายงานให้ที่ประชุม ครม. รับทราบว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงลงไปช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้ และลูกหนี้แล้ว พบว่า มีเจ้าหนี้ที่ไม่ยอมเจรจาจำนวน 225 ราย โดยรัฐบาลเตรียมเข้าไปจัดการกับบรรดาเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้นอกระบบด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป

จากการสำรวจของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอรมน.) ร่วมกับ ตำรวจและทหารได้เร่งสำรวจและขับเคลื่อนแก้ปัญหาร่วมกัน โดยมีสรุปข้อมูลขั้นต้น พบว่า ปัจจุบันมีนายทุนที่ปล่อยเงินกู้นอกระบบ จำนวน 15,591 ราย มีมีผู้ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาหนี้นอกระบบ 345,023 ราย มูลค่าหนี้รวมกว่า 21,422 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ย และทำข้อตกลงแล้ว 54,772 ราย อยู่ระหว่างการดำเนินงาน 255,124 ราย และพบคู่กรณีไม่ยอมเจรจาจำนวน 225 ราย ซึ่งตอนนี้รู้แล้วว่ามีใครบ้าง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

“จากการสำรวจตรวจสอบข้อมูล และจำแนกสภาพหนี้ในขั้นต้นจากนั้น ได้เชิญทั้งสองสามฝ่ายมาเจรจาไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ โดยขอความร่วมมือให้ปรับโครงสร้างหนี้ โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมทั้งแก้ไขสัญญาใหม่ ให้เกิดความเป็นธรรมโดยไม่ให้มีการข่มขู่ หากลูกหนี้ยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ จะประสานขอสถาบันการเงินเพื่อขอสินเชื่อช่วยเหลือตามโครงการของรัฐซึ่งมีหลายมาตรการรองรับ เช่น การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการจัดสินเชื่อฟิโคไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นการนำหนี้นอกระบบมาเข้าเป็นหนี้ในระบบ พร้อมทั้งจะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้นกับเจ้าหนี้ที่ไม่ให้ความร่วมมือ” พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

สำหรับปัญหาดังกล่าวได้จำแนกข้อมูลเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือแล้ว ก็จะมีการติดตามขับเคลื่อน ให้มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม ส่วนกลุ่มที่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ เข้าไปช่วยเหลือ จะจัดลำดับความเร่งด่วนเข้าไปช่วยเหลือโดยเร็ว และการทำงานต่อจากนี้ ฝ่ายความมั่นคงจะยังคงสำรวจ และแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ของพี่น้องประชาชนต่อไป ผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและอำเภอ โดยเฉพาะกับกลุ่มพี่น้องเกษตรกร พร้อมกันนี้ ต้องขอความร่วมมือจากทุกกระทรวง ช่วยสำรวจ ติดตาม ขับเคลื่อน และผลักดันการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ให้มีความคืบหน้าต่อเนื่องเป็นระยะ และให้ประชาชนกลับมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ปกติ ใช้ชีวิตตามวิถีความพอเพียงต่อไป

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เพิ่มเติม