ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > การศึกษาไทย 4.0 (1): 12 ปีที่ผ่านมาเด็กไทยเรียนจบอะไร!! ทำไมต้องรัฐต้องควักอีก 1.4 หมื่นล้านผลิตบัณฑิต – อาชีวะพันธุ์ใหม่

การศึกษาไทย 4.0 (1): 12 ปีที่ผ่านมาเด็กไทยเรียนจบอะไร!! ทำไมต้องรัฐต้องควักอีก 1.4 หมื่นล้านผลิตบัณฑิต – อาชีวะพันธุ์ใหม่

15 พฤษภาคม 2018


ภายใต้ “วิสัยทัศน์” ไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งเป้ายกระดับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศไปสู่การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า “การศึกษา” และการผลิตแรงงานที่มี “ฝีมือ” หรือ “ทักษะ” นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลัก นอกเหนือไปจากการวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้เพียงพอและรองรับการเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม นโยบายของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผ่านมา ที่มีศูนย์กลางหลักอยู่ที่การพัฒนาเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ 10 อุตสาหกรรมผ่านกลไกการอุดหนุนและจัดตั้งเขตส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชน ทั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) และเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand: EECd) และการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการขนส่งทางบก อากาศ น้ำ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา, โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-อู่ตะเภา ฯลฯ การสร้างเมืองและศูนย์กลางธุรกิจใหม่ และการพัฒนาระบบชลประทานและการเกษตร

ขณะที่ “นโยบายการศึกษา” ที่เป็นรูปธรรมล่าสุดเพิ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 ภายใต้ชื่อโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่และอาชีวะพันธุ์ใหม่ ระยะเวลา 5 ปี (2561-2565) ด้วยวงเงินรวม 14,135.52 ล้านบาท เพื่อรองรับ 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในอีอีซี โดยรัฐบาลจะให้เงินอุดหนุนเป็นแรงจูงใจสถาบันการศึกษารายหัวที่ปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ตามมาตรฐานโลก ร่วมกับภาคเอกชน ซึ่งจะเน้นไปที่หลักสูตรวิทยาศาตร์เป็นหลัก

เบื้องหลังของโครงการสืบเนื่องจากปัญหาการผลิตแรงงานที่มีทักษะไม่ตรงกับที่อุตสาหกรรมและตลาดแรงงานต้องการ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันมายาวนานหลายสิบปีและทุกรัฐบาลได้พูดถึงเรื่องการผลิตคนที่ไม่ตรงกับตลาดแรงงาน และวันนี้ก็ยังพูดเรื่องนี้กันอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำการแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะนักศึกษาที่จบปริญญาตรี นายจ้างมักจะบ่นว่าไม่มีความรู้ ไม่มีทักษะ ต้องมาสอนกันใหม่ และส่วนใหญ่จบทางด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์

บัณฑิตไทย 1.9 ล้านคน จาก 154 สถาบัน – 54% เรียน “สังคมศาสตร์-มนุษศาสตร์”

เพือค้นหาคำตอบว่าเด้กไทยเรียนจบอะไรกันบ้าง “ไทยพับลิก้า” ได้ตรวจสอบข้อมูลสถิติจากสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้จำแนกประเภทสาขาวิชาออกเป็น 8 ประเภท ตามการจำแนกขององค์การยูเนสโก (International Standard Classification of Education: ISCED) ในปี 2554 ได้แก่

  1. ศึกษาศาสตร์และการฝึกหัดครู
  2. มนุษยศาสตร์และศิลปะ เช่น โบราณคดี, ภาษาศาสตร์, วรรณคดี, ปรัชญา, ประวัติศาสตร์, ศาสนาและเทววิทยา, ล่ามและนักแปล, ศิลปศึกษา, การละครและนาฏศาสตร์, จิตรกรรม, ช่างฝีมือ, ประวัติและปรัชญาศิลปะ, การออกแบบภายใน, ดนตรีและดุริยางคศาสตร์,  การถ่ายรูปและภาพยนตร์, ประติมากรรม
  3. สังคมศาสตร์, นิติศาสตร์ และธุรกิจ เช่น เศรษฐศาสตร์, รัฐศาสตร์, สังคมวิทยา, ประชากรศาสตร์, มานุษยวิทยา, ภูมิศาสตร์, จิตวิทยา, สันติศึกษา, ชาติพันธุ์วิทยา, สื่อสารมวลชนและวารสารศาสตร์, วิชาสําหรับนักเทคนิคด้านพิพิธภัณฑ์, การจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์, การประชาสัมพันธ์, การค้าปลีก, การตลาด, การขาย, อสังหาริมทรัพย์, การเงินการธนาคาร, การประกัน, การลงทุน, บัญชีและตรวจสอบ, การจัดการ, การบริหารรัฐกิจ, การเลขานุการ, นิติศาสตร์
  4. วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการประมวลผล เช่น ชีววิทยา, พฤกษศาสตร์, พิษวิทยา, จุลชีววิทยา, สัตววิทยา, กีฏวิทยา, นกวิทยา, ชีวเคมี, ดาราศาสตร์และอวกาศวิทยา, ฟิสิกส์, เคมี, อุตุนิยมวิทยา, คณิตศาสตร์, คณิตศาสตร์ประกันภัย, สถิติ, วิทยาการคอมพิวเตอร์
  5. วิศวกรรมศาสตร์, การผลิต และก่อสร้าง เช่น การเขียนแบบทางวิศวกรรม, กลศาสตร์, งานเหล็ก, ไฟฟ้า, โทรคมนาคม, พลังงานและวิศวกรรมเคมี, การสำรวจ, การบำรุงรักษาเครื่องยนต์, กระบวนการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม, สิ่งทอและเสื้อผ้า, การผลิตรองเท้า, งานหนัง, วัสดุศาสตร์, เหมืองแร่และการสกัด, สถาปัตยกรรมศาสตร์และผังเมือง, วิศวกรรมโยธา
  6. การเกษตรและสัตวแพทย์ เช่น เกษตรศาสตร์, การปศุสัตว์, พืชสวนและการทำสวน, วนศาสตร์, การประมง, สัตวแพทย์
  7. สุขภาพและสวัสดิการ เช่น แพทย์, การบริการทางการแพทย์, การพยาบาล, เวชศาสตร์, ทันตแพทย์, สังคมสงเคราะห์ศาสตร์
  8. การบริการ เช่น การโรงแรมและการจัดเลี้ยง, การท่องเที่ยว, การกีฬา, การดูแลความงาม, วิทยาศาสตร์การเดินเรือ, วิทยาศาสตร์การเดินอากาศ, การบริหารระบบราง, การบริหารระบบถนน, การไปรษณีย์, การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม, การควบคุมมลพิษ, การตำรวจและบังคับใช้กฎหมาย, อาชญาวิทยา, การทหาร

โดย ณ ภาคการศึกษาที่ 1 ของปี 2560 (ผู้สำเร็จการศึกษาปี 2559) ระบุว่ามีผู้สำเร็จการศึกษา 339,002 คน โดยส่วนใหญ่ 40.7% เรียนอยู่ในสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และธุรกิจ รองลงมาคือสาขาวิศวกรรมศาสตร์ การผลิต และก่อสร้าง 11.8%, สาขาศึกษาศาสตร์และการฝึกหัดครู 11.6%, สาขามนุษยศาสตร์และศิลปะ 10.6%, สาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการประมวลผล 9.9%, สาขาสุขภาพและสวัสดิการ 7.6%, สาขาการบริการ 4.8% และสุดท้ายคือสาขาการเกษตรและสัตวแพทย์ 2.9%

เมื่อดูข้อมูลผู้จบการศึกษาย้อนหลัง 12 ปีตั้งแต่ปี 2549-2559 รวมมีผู้สำเร็จการศึกษา 3,403,785 คน โดยเป็นสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และธุรกิจ 1,486,871 คน หรือคิดเป็น 43.7% ของผู้สำเร็จการศึกษาทั้งหมด และมีผู้สำเร็จการศึกษาในสาขามนุษยศาสตร์และศิลปะ  305,956 คน หรือคิดเป็น 9% ขณะที่ในสาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการประมวลผล และสาขาวิศวกรรมศาสตร์ การผลิต และก่อสร้าง มีจำนวนผู้สำเร็จการศึกษา 779,235 คน หรือรวมกันคิดเป็นเพียง 22.9% ของผู้สำเร็จการศึกษาทั้งหมด โดยที่โครงสร้างของอุดมศึกษาไทยตลอด 12 ปีแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยการผลิตบัณฑิตสายสังคมศาสตร์มากกว่าสายวิทยาศาสตร์ประมาณ 2 เท่าทุกปี (ดูกราฟิก)

ขณะที่หากดูที่จำนวนผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ ณ ปัจจุบัน ระบบการศึกษาไทยมีจำนวนนักศึกษาระดับอุดมศึกษาตั้งแต่อนุปริญญาจนถึงปริญญาเอก 1,907,424 คน จากสถาบันการศึกษา 154 แห่ง โดย 42.4% เรียนอยู่ในสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และธุรกิจ รองลงมาคือสาขามนุษยศาสตร์และศิลปะ 11.9%, สาขาวิศวกรรมศาสตร์ การผลิต และก่อสร้าง 11%, สาขาศึกษาศาสตร์และการฝึกหัดครู  9.5%, สาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการประมวลผล 8.7%, สาขาสุขภาพและสวัสดิการ 6.7%, สาขาการบริการ 5.3% และสุดท้ายคือสาขาการเกษตรและสัตวแพทย์ 2.6%

สวนทางนักเรียนทุนไทย 62% เรียนวิทยาศาสตร์

ขณะเดียวกัน ข้อมูลนักเรียนทุนรัฐบาลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) พบว่า ณ มีนาคม 2561 มีอยู่จำนวน 2,549 คน 61 สาขาวิชาใน 29 ประเทศ โดยแบ่งเป็นทุนเล่าเรียนหลวง 2.9%, ทุนรัฐบาล ก.พ. 16.2%, ทุนรัฐบาลกระทรวงการต่างประเทศ 0.9%, ทุนรัฐบาลกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 30.5%, ทุนรัฐบาลกระทรวงสาธารณสุข 1.7%, ทุนรัฐบาลสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 12.6%, โครงการพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 18.2% และทุน 1 อำเภอ 1 ทุน 17.1%

ทั้งนี้ ประเทศที่นักเรียนทุนได้ไปศึกษาต่อ 5 อันดับแรก ได้แก่ ประเทศอังกฤษ 35.5%, ประเทศสหรัฐอเมริกา 34.1%, ประเทศเยอรมนี 6.4%, ญี่ปุ่น 5%, ออสเตรเลีย 3.7% โดยสาขาวิชาที่มีนักเรียนทุนเรียนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือวิศวกรรมศาสตร์ 20.7% รองลงมาคือชีววิทยา 8.36% วิทยาการคอมพิวเตอร์ 6.24%, ฟิสิกส์ 6.2%, คณิตศาสตร์ 6%, เคมี 4.9%, บริหารธุรกิจ 4.8%, วิทยาศาสตร์ 4.12%, นิติศาสตร์ 4.1% และเศรษฐศาสตร์ 4%

อนึ่ง หากรวมสาขาวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการประมวลผล และสาขาวิศวกรรมศาสตร์ การผลิต และก่อสร้าง ตามการจำแนกขององค์การยูเนสโก จะพบว่ามีนักเรียนทุนเรียนต่อในสาขาดังกล่าวถึง 62% ซึ่งเรียกว่าสอดคล้องกับแนวนโยบายและวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ที่พยายามผลิตบุคคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้น