ThaiPublica > เกาะกระแส > บิ๊กตู่ เตือน “พรรคอนาคตใหม่” ใช้สติ อย่าให้ กม. เป็นอุปสรรค – มติ ครม. ผ่านแผนการคลัง เร่งเพิ่มประสิทธิภาพ-ขยายฐานภาษี

บิ๊กตู่ เตือน “พรรคอนาคตใหม่” ใช้สติ อย่าให้ กม. เป็นอุปสรรค – มติ ครม. ผ่านแผนการคลัง เร่งเพิ่มประสิทธิภาพ-ขยายฐานภาษี

28 พฤษภาคม 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน

เตือน “พรรคอนาคตใหม่” ใช้สติปัญญา อย่าให้ กม. เป็นอุปสรรค

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการมองปรากฏการณ์พรรคอนาคตใหม่ที่หัวหน้าพรรคประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมคดีขัดคำสั่ง คสช. ว่า ตนนั้นมองทุกพรรค ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเรื่องของ คสช. จะเป็นผู้ติดตามอีกครั้งว่าการดำเนินการต่างๆ นั้นเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ เพราะฉะนั้นจะทำอะไรขอให้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ อย่าเอากฎหมายมาเป็นอุปสรรค เพราะกฎหมายมีไว้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

“ทุกพรรคเขาก็ไม่ได้ออกมาพูดจาให้ใครเสียหาย ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของการประชุมพรรค การดำเนินการจัดหาสมาชิกพรรคอะไรก็ว่ากันไป แต่การที่จะมาติติง ให้ร้ายอะไรต่างๆ นั้นสมควรหรือไม่ ก็ต้องไปดูในประเด็นข้อกฎหมาย” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ย้ำ “เลือกตั้ง” ตาม“โรดแมป” – หารือพรรคการเมืองหลัง พ.ร.ป. สส.-สว. ประกาศใช้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องกำหนดการหารือพรรคการเมือง ว่า วันนี้ต้องรอดูว่ากฎหมายลูกยังอยู่ในกระบวนการอยู่ โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) กำลังรอศาลรัฐธรรมนูญแจ้งผลการพิจารณา และมีขั้นตอนการทูลเกล้าฯ เมื่อกฎหมายออกมาเมื่อไรก็จะพิจารณากำหนดการในการพูดคุยหารือกับบรรดาพรรคการเมือง ก็ต้องรอจนมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวย้ำพร้อมยืนยันว่า “ใจเย็นนะครับ ยังเป็นไปตามกำหนดอยู่”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า วันนี้หลายคนถามว่า เดือนมิถุนายนนี้จะมีการพบและกำหนดวันเลือกตั้ง หากเป็นเช่นนั้นไม่ต้อง เพราะสามารถกำหนดวันเลือกตั้งได้เลย แต่วันนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าจะเดินหน้ากันอย่างไร จะเคลื่อนไหวกันได้อย่างไร ไม่ได้หมายความว่าจะให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบ หลายคนบอกว่าต้องการทำให้พรรคใหม่เกิดได้เปรียบเสียเปรียบ ซึ่งพรรคเก่าน่าจะได้เปรียบอยู่แล้ว พรรคใหม่จะเสียเปรียบหรือเปล่ายังไม่รู้ ตนไม่ได้ไปสนใจตรงนั้น

“หากเริ่มต้นที่เป็นมาตรฐานให้ชัดเจนก็น่าจะเข้าใจกัน เรื่องของสมาชิกพรรคต่างๆ ก็ไปว่ากันมา สมัครวันนี้ไม่ได้อย่างน้อยก็ไปสมัครวันหน้า ก็ให้เวลาสมัครตั้งนาน ผมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มาสร้างคะแนนนิยมกันมากกว่า ใครจะว่าผมขึ้นผมลง ผมไม่ได้ขึ้นไม่ได้ลง ผมทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดแล้วกัน ตราบใดที่ผมยังมีหน้าที่อยู่ตรงนี้ผมก็ทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ไม่หวั่นคะแนนเสียงตก – สั่ง พณ. สำรวจสินค้าขึ้นราคา

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีที่ลดลงจากปัญหาค่าครองชีพ ว่า ตนเคยบอกแล้วว่า คนไทยให้ความสำคัญกับเรื่องคะแนนนิยมมากเกินไป คือ ไปทำตามสิ่งที่คนชอบ คนไม่ชอบเลยไม่ทำ จึงทำให้บ้านเมืองพัฒนาไม่ได้ หลายอย่างที่รัฐบาลนี้ทำมานั้นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้มาก่อน ก็ต้องทำให้ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลความเดือดร้อน แก้ไขปัญหาให้ประชาชนไปด้วย นี่เป็นความยุ่งยากในการทำงานของเรา

“ค่าครองชีพต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นวันนี้ก็ต้องไปดู ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ไปสำรวจสินค้าที่มีการขึ้นราคาโดยไม่จำเป็น ไม่มีเหตุผลอันสมควร ส่วนราคาน้ำมันวันนี้รัฐบาลมีมาตรการออกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดีเซลหรือแก๊สต่างๆ ก็ได้ดำเนินการไปแล้ว วันนี้ก็มีข่าวออกมาว่า สถานการณ์น้ำมันโลกมีแนวโน้มที่จะลดลง จึงต้องติดตามข่าวทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมด ดังนั้นอย่าบิดเบือนกันอีกต่อไป และไม่ใช่เหตุผลที่จะมาขึ้นราคาอะไรกันเวลานี้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

“บิ๊กตู่” แจงภาพถ่ายคู่ “พุทธะอิสระ” – ยันไม่ปลด “จักรทิพทย์”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ ว่า ตนทราบว่ามีผลกระทบต่อสังคม หลายคนอาจจะไม่เข้าใจ หลายคนอาจมองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ตนก็ได้ขอโทษไปแล้ว พร้อมขอให้เห็นใจทั้ง 2 ฝ่าย เพราะในส่วนของเจ้าหน้าที่ก็พยายามจะทำหน้าที่ของเขา ซึ่งอาจจะมากไป ส่วนนี้มีมาตรการในการลงโทษอยู่แล้ว

“โทษของข้าราชการมีหลายอย่างด้วยกัน มีกฎหมายกำหนดวินัยตำรวจ ทหาร ทั้งการลงทัณฑ์ การภาคทัณฑ์ กักขัง จำขัง ถ้าเป็นคดีไปถึงอาญาก็ดำเนินคดีอาญาต่อไปด้วย เวลาทำงานทุกหน่วยงานนั้นมีหน้าที่ในการตรวจสอบการกระทำความผิดของตนเองก็ไปดำเนินการตรงนั้น หน่วยงานก็ต้องลงโทษเจ้าหน้าที่ตนเอง เรื่องนี้จึงอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมด ขออย่าให้สับสนอลม่านกันมากเกินไป ผมก็ขอโทษในฐานะหัวหน้ารัฐบาล โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บหรือสูญเสีย” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ต่อคำถามกรณีสมาชิก กปปส. เรียกร้องให้ปลด พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า เป็นเรื่องของตน ตนจะไม่ทำงานภายใต้แรงกดดันทั้งสิ้น ก็ต้องไปดูว่าอะไรถูกผิด การลงโทษนั้นมีหลายมาตรการอยู่แล้ว อย่างที่บอกไปเขาก็มีการลงโทษของเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นจะยุ่งกันไปทั้งหมด

ต่อกรณีมีการเผยแพร่ภาพที่มี พล.อ. ประยุทธ์ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถ่ายร่วมกับนายสุวิทย์ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ตนก็เคารพพระทุกองค์ ช่วงนั้นก็ไปหลายวัด ไปสร้างพระอะไรต่างๆ ทุกคนเขาก็ไป พร้อมถามกลับ แต่ก่อนนี้การเมืองเป็นแบบนี้หรือไม่ ขออย่าเอาเรื่องเก่ามาพันกับเรื่องนี้ ใครเชิญไปตนไปได้ก็ไป วันนั้นไปหล่อพระ ตนได้รับเชิญพร้อมกับอดีต ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนอื่นๆ อีก 4 คน เนื่องจากพระท่านหวังว่ามี 4 ผบ.ทบ. พระจะขลังหน่อย

นายกฯแจงระเบียบใช้เงินนอกงบฯจ้าง-ขึ้นเงินเดือนลูกจ้างสธ.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีเครือข่ายทางการแพทย์ เรียกร้องให้กระทรวงการคลังยกเลิกระเบียบห้ามจ้างและขึ้นเงินเดือนลูกจ้าง ที่จ้างจากเงินนอกระบบ ว่า ส่วนตรงนี้อาจเกิดความไม่เข้าใจกันจากระเบียบที่ออกมาของกรมบัญชีกลาง ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นการออกมาให้ครอบคลุมในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณให้คุ้มค่าไม่ซ้ำซ้อน ประหยัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีข้อตกลงยกเว้นให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหลังจากนี้กระทรวงการคลังจะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพูดคุย รับฟังความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อหาทางแก้ไขข้อติดขัดต่างๆ

“วันนี้หารือกันในห้องประชุม ไม่ได้มีข้อขัดแย้งอะไรเลยสามารถดำเนินการได้ เพียงแต่ต้องมีแผนงานให้ชัดเจนว่าจะใช้เงินอย่างไร เพราะเงินนอกงบประมาณนี้มีความสำคัญ แม้จะไม่ใช่เงินของรัฐก็ตาม เพราะมีหลายอย่างที่ต้องใช้เงินส่วนนี้ ทั้งเรื่องของการพัฒนาโรงพยาบาล รักษาสภาพเครื่องมือ รวมไปถึงการดูแลรักษาพยาบาลประชาชนตามหลักประกันสุขภาพ และการจ้างลูกจ้าง พนักงานที่มีความขาดแคลนจำนวนมาก จึงต้องไปดูสัดส่วนการใช้งบประมาณดังกล่าวให้เหมาะสม ผมเป็นห่วงสถานพยาบาลทั้งหมดจะแย่ลง หมอ และพยาบาลจะหมดกำลังใจ เพราะงานเยอะมาก ไม่ได้หมายความว่ากฎหมายนี้จะปิดช่องทางไปทั้งหมด เพียงแต่ต้องหาว่าต้องทำอย่างไร เพราะไม่ต้องการเพิ่มภาระให้ทุกคน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้าน พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่กรมบัญชีกลางได้ออกระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณปี 2561 เช่น กระทรวงสาธารณสุข อาจมีรายได้จากการเปิดคลินิกนอกเวลาแล้วนำรายได้ดังกล่าวไปจ้างพนักงานหรือลูกจ้างชั่วคราว ต่อจากนี้ไประเบียบฯ ขอให้หน่วยงานราชการพึงหลีกเลี่ยงที่จะดำเนินการในลักษณะดังกล่าว หากหน่วยงานใดได้ดำเนินการไปก่อนที่ระเบียบฯ จะออกมาก็ให้ยุบเลิกตำแหน่งดังกล่าวเมื่อหมดสัญญา แต่หากมีความจำเป็นขอให้ไปทำความตกลงกับกระทรวงการคลังก่อน

“บางทีหน่วยงานเอาเงินนอกงบประมาณไปจ้างพนักงานหรือลูกจ้าง พอนานวันเข้าจำนวนเยอะขึ้น ประกอบกับมีนักการเมืองสมัยก่อนบางคนบอกว่ามีความจำเป็นจะต้องมี ก็ไปชักชวนให้ออกมาเดินขบวนกดดันหน่วยงานรัฐ ถ้าทำอย่างนั้นวันข้างหน้าจำนวนข้าราชการก็โปร่งเหมือนเดิม ไม่เหมือนนโยบายที่ต้องการลดให้เหมาะสม ให้เป็นข้าราชการที่มีศักยภาพสูงสุด มีขนาดของหน่วยเล็กลง” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

พล.ท. สรรเสริญ ยืนยันว่า กรณีดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อบุคลากรด้านสาธารณสุข ซึ่งข้อมูลเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2561 มีลูกจ้างที่เป็นแพทย์ 181 อัตรา, ทันตแพทย์ 4 อัตรา, เภสัชกร 202 อัตรา เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขมีข้อตกลงกับกระทรวงการคลังไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่จะบังคับใช้กับหน่วยงานอื่น

เร่งตรวจทุกกิจการ ลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีตรวจพบการลักลอบนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มาแยกชิ้นส่วนในประเทศไทย ว่า การลักลอบนั้นก็ผิดอยู่แล้ว เพราะการร้องขอการจัดตั้งโรงงานกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้กำหนดให้สามารถนำชิ้นส่วนจากข้างนอกมาได้ ดังนั้นจึงผิดอยู่แล้ว ซึ่งได้มีการเน้นย้ำไปแล้ว และจะเร่งการตรวจสอบในทุกกิจการ

“ฝากทุกคนให้รับรู้ไว้ด้วย ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง กฎหมายเราปล่อยปละละเลยกันมานานพอสมควรแล้วในช่วงที่ผ่านมา พอเราใช้ขึ้นมาก็เกิดปัญหาหมด แล้วจะทำอย่างไรกับขยะที่ค้างอยู่ ก็ต้องดำเนินการให้ได้ต่อไป ส่วนที่ผิดกฎหมายก็ต้องระงับในส่วนนั้น คงต้องไปหาวิธีการอย่างนั้น ทำอย่างเสียอย่างผมก็ไม่ชอบ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เตรียมแถลงผลงานจัดการน้ำ – ชี้ทำดีกว่ารัฐบาลเก่า

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า  ในวันที่ 4 มิถุนายน 2561 รัฐบาลจะมีการจัดงานเสวนาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ณ ตึกสันติไมตรี ซึ่งตนจะไปร่วมงาน และมอบนโยบายในเวลา 09.00-10.15 น. เพราะวันนี้ผลงานของรัฐบาลก็มีความเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติ หรือการตั้ง สนทช. หรือการจัดทำร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ นี่คือความแตกต่าง เราสามารถที่จะทำงานตรงนี้ให้ได้มากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาถึง 4 เท่า งบประมาณร้อยละ 30 จากโครงการที่ทำออกมาทั้งหมดเปรียบเทียบกับที่ผ่านมา

“จำนวนหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้งลดลงมากในปี 2561 ไม่มีหมู่บ้านที่ต้องประกาศเขตภัยแล้ง รัฐบาลมีการดูแลรายพื้นที่โดยมีการนำน้ำไปเติมให้ ทำให้ไม่ต้องใช้งบประมาณมากเกินไป จะได้มีงบประมาณในการลงทุน ซึ่งปริมาณฝนในปี 2560 ใกล้เคียงกับปี 2554 แต่มีความเสียหายจากน้ำท่วมน้อยกว่ามาก ก็เนื่องจากการบริหารจัดการน้ำของเราเน้นการบูรณาการ นี่เป็นเรื่องที่รัฐบาลได้ปฏิรูปในในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ย้ำ “ไทยนิยม” ไม่เอื้อประโยชน์ผู้รับเหมา แต่โครงสร้างพื้นฐานต้องมี

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการดำเนินโครงการไทยนิยม ว่า โครงการดังกล่าวนั้นเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง หลายหน่วยงานด้วยกัน เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ จะเห็นได้ว่าเราลงไปทุกหมู่บ้าน ซึ่งกิจกรรมหลักๆ นั้นจะถึงมือประชาชนในกลุ่มต่างๆ โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเกษตรกร กลุ่มงานฝีมือ หรือกลุ่มท่องเที่ยว แต่บางส่วนต้องลงไปในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างถนน การสร้างคลองระบายน้ำ จึงจำเป็นต้องมีการใช้เครื่องมือ ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้าง

“หากจะพูดว่าทำไมงบประมาณนี้ลงไปแล้วไปเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการรับเหมา เพราะเรื่องนี้ชาวบ้านทำเองไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องไปหาคนมาทำมาขุด ก็ไปดูตรงนั้นว่าทุจริตกันหรือเปล่า ถ้าพูดแล้วแย่ไปทั้งหมดก็คงไม่ใช่ ไม่เป็นธรรม รัฐบาลพยายามจะทำอย่างเต็มที่ ไม่ได้ทำตามคะแนนเสียง ตามคะแนนนิยมของใคร หากทำอย่างนั้นมันง่ายกว่านี้เยอะ งบประมาณก็ลงพื้นที่ที่สนับสนุนรัฐบาล ที่อื่นก็ไม่ได้อีกเหมือนเดิม ฉะนั้นยิ่งไม่สนับสนุนก็ยิ่งต้องดูแล แสดงว่าเขาไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบเราแล้วไปไม่ชอบเขากลับ เราเกลียดประชาชนของตนเองไม่ได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกฯยันไม่ยุบเลิกกองทุนน้ำมันฯ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่มักมีคนนำรัฐบาลตนไปเปรียบเทียบผลงานกับรัฐบาลก่อนหน้า ว่า การเปรียบเทียบนั้นเป็นหลักการกว้างๆ เช่น เรื่องการดูแลผลิตผลทางการเกษตร การรักษาพยาบาล หลักประกันสุขภาพ โครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่ทั่วโลกเขาก็ทำ เพียงแต่วิธีการนั้นแตกต่างกัน แล้วเราควรจะทำอย่างไหน หลายอย่างที่เริ่มไปแล้วก็ดี ประชาชนตอบรับ แต่สิ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องคำนึงถึงคือ จะหางบประมาณจากที่ไหนมาดูแลส่วนนี้ให้ดีขึ้น

ทั้งนี้หากยังไม่หารือกันตรงนี้ ไม่มีมาตรการลดความเสี่ยงภายใน 5 ปีข้างหน้า มีข้อสังเกตจากธนาคารโลกว่า ไทยจะล้มเหลวในระบบการเงินการคลัง ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลทำดีอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้ดีขึ้น นี่คือความแตกต่าง อย่ามาบอกว่าโครงการนั้นคนนั้นคิด คนนี้คิด อะไรดีตนก็ทำหมด อะไรที่ต้องแก้ไขก็แก้ให้หมด เพื่อให้เกิดความมั่นคงแลยั่งยืน ไม่ได้ทำตามกระแส เพราะฉะนั้นอย่าให้ใครมาบิดเบือน

“เรื่องที่ชมๆ กันอยู่ก็เรื่องจำนำข้าว เรื่องค่ารักษาพยาบาลฟรี กองทุนหมู่บ้าน ปัญหาเยอะไหมที่มีอยู่แล้วเดิม ก็ต้องแก้ทุกปัญหาเลย ไม่ใช่ดีแล้วไม่มีข้อเสียเลย ก็มีทั้งดีและเสีย รัฐบาลนี้ก็เช่นกัน ทำดีก็ดีไป อันไหนไม่ดีก็ต้องแก้ไข ขจัดอุปรสรรคให้ได้ ดังนั้นต้องคิดให้ละเอียด ผมขอย้ำทุกหน่วยงานทุกกระทรวงด้วย”

“อย่างน้ำมันเราก็แก้ ใช้กองทุนน้ำมัน บางรัฐบาลบอกจะยกเลิกกองทุนน้ำมัน ไปดูสิว่านายกฯ คนไหนเคยพูดไว้ ถ้าวันนี้เลิกไปแล้วจะทำอย่างไร ผมเข้ามากองทุนน้ำมันติดลบอยู่ แล้ววันนี้จะมีใช้ไหมยังไม่รู้เลย หากยกเลิกไปแล้วหากผมไม่สะสมไว้ถึงวันนี้ เอาเงินไปใช้อย่างอื่น จะมีเงินมาแก้ปัญหาตรงนี้ไหม เรื่องแก๊ส เรื่องน้ำมัน อย่าไปฟังเรื่องแบบนี้ ให้แต่เพียงอย่างเดียวไม่แก้ปัญหา วันนี้ค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน อย่าให้บิดเบือนกันต่อไปเลย วันนี้อยู่ในราคาที่ปกติ เพราะรัฐบาลก็เข้าไปดูแล ตรึงราคาขาย ดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร” นายกรัฐมนตรี กล่าว

มติ ครม. มีดังนี้ 

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เก็บตกลงทะเบียนคนจน พิการ คนแก่ ป่วยติดเตียง

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้เปิดลงทะเบียนโครงการสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม หลังจากเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตามโครงการไทยนิยมยั่งยืนครั้งที่ 3 และพบว่ามีกลุ่มคนรายได้น้อยหลายกลุ่มที่ไม่สามารถเดินทางไปลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยตามโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในปี 2560 เช่น กลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง

ทั้งนี้ โดยเงื่อนไขหลักเกณฑ์จะยังคงเป็นหลักเกณฑ์เดิม คือ มีสัญชาติไทย, มีอายุมากกว่า 18 ปี, ว่างงานหรือมีรายได้ในปี 2559 น้อยกว่า 100,000 บาท, ไม่มีสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น เงินฝาก สลากออมสิน พันธบัตร ตราสารหนี้ เกิน 100,000 บาท, ไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมาย หรือหากมีในกรณีเป็นที่อยู่อาศัยอย่างเดียวจะต้องไม่เกิน 25 ตารางวาสำหรับบ้านและทาวน์เฮาส์ และ 35 ตารางเมตรสำหรับห้องชุด หากเป็นที่อยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากที่ดินจะต้องไม่เกิน 10 ไร่สำหรับพื้นที่เกษตร และไม่เกิน 1 ไร่สำหรับการอื่น นอกจากนี้สำหรับบุคคลที่เคยลงทะเบียนมาก่อนแต่ไม่ผ่านคุณสมบัติจะไม่สามารถลงทะเบียนได้

สำหรับการดำเนินการเจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่เพื่อให้คนกลุ่มดังกล่าวลงทะเบียนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งรวมถึงการดำเนินโครงการระยะที่ 2 เรื่องการพัฒนาตนเอง และจะดำเนินการออกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐภายในเดือนตุลาคม 2561

“สำหรับงบประมาณจะเป็นของปีงบประมาณ 2562 แต่ว่าจำนวนอาจจะต้องรอการสำรวจก่อนแต่คาดว่าจะไม่เกิน 1 ล้านคน นอกจากนี้ท่านนายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องไปดูแลเรื่องการใช้บัตรสำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ให้เข้าถึงได้สะดวกด้วย” นายณัฐพร กล่าว

เห็นชอบแผนการคลัง เร่งเพิ่มประสิทธิภาพ-ขยายฐานภาษี

นายณัฐพร กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง สืบเนื่องจากที่พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 บังคับใช้และกำหนดให้รัฐบาล โดยกำหนดให้จัดตั้งคณะกรรมการ ซึ่งประกอบไปด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการและปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการสภาพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ต้องทำแผนระยะปานกลาง 3 ปี

ทั้งนี้ แผนการคลังระยะปานกลางระหว่างปี 2562-2564 กำหนดหลักการไว้ว่าในระยะสั้นยังคงต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ในระยะปานกลางจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ ปรับระดับภาษีที่เหมาะสม รวมทั้งนำระบบอิเล็กทรอนิกส์และมาตรฐานบัญชีเดียวมาประยุกต์ เพื่อเพิ่มรายรับของรัฐบาล ขณะที่ด้านรายจ่ายจะต้องลดรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะรายจ่ายด้านบุคคลกรและเงินอุดหนุนระยะสั้น นอกจากนี้ จะต้องเร่งสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบใหม่ที่เพิ่มบทบาทของภาคเอกชนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลดภาระการลงทุนของรัฐบาล เช่น การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนหรือ PPP หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน Thailand Future Fund เป็นต้น และสุดท้าย ในระยะยาวจะค่อยๆ กลับสู่งบประมารแบบสมดุล

ทั้งนี้ แผนดังกล่าวได้ประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจประมาณ 4% ต่อปี (ช่วง 3.5-4.5%) พร้อมทั้งประมาณการรายได้รายได้ในปี 2561 ที่ 2.45 ล้านล้านบาท ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.55 ในปี 2562, 2.748 ล้านล้านบาทในปี 2563 และ 2.776 ล้านล้านบาทในปี 2564 ขณะที่รายจ่ายได้ประมาณการไว้ที่ 2.9 ล้านล้านบาทในปี 2561 ก่อนจะเพิ่มเป็น 3. ล้านล้านบาทในปี 2562, 3.2 ล้านล้านบาทในปี 2563 และ 3.3 ล้านล้านบาทในปี 2564 ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายแบบขาดดุลประมาณปีละ 450,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 2.5% ต่อจีดีพี ส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะคงค้างต่อจีดีพีคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจากระดับปัจุจบันในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2561 ที่ 41.2% เป็น 42.6% ในปี 2561 ก่อนจะเพิ่มขึ้นในปี 2562 ที่ 44.1%, 45.9% ในปี 2563 และ 47.3% ในปี 2564

นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้กำหนดสัดส่วนเพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 ของพระราชบัญญัติ ดังนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่เกิน 60%, สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ไม่เกิน 35%, สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้ทั้งหมด ไม่เกิน 10% และสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ ไม่เกิน 5% พร้อมทั้งให้กระทรวงการคลังรายงานสถานะหนี้คงค้างและสัดส่วนต่อคณะกรรมการฯ และ ครม. ภายใน 60 วันตั้งแต่วันสิ้นเดือนมีนาคมและกันยายนของทุกปี

“จะเห็นว่าการขาดดุลเพิ่มขึ้นแต่ในระยะยาวก็จะลดลง หากมีการเพิ่มประสิทธิภาพและมีการใช้เทคโนโลยี เพื่อขยายฐานภาษีจากที่ปัจจุบันมีคนเพียง 4 ล้านคนที่เสียภาษีเท่านั้น เวลามีสถาบันต่างๆ มาประเมินก็จะติงเรื่องนี้ว่าเรามีศักยภาพที่จะจัดเก็บได้อีก ซึ่งคิดว่าระดับหนี้สาธารณะจะไปสูงสุดในปี 2565 ส่วนในระยะยาวว่าจะสมดุลเมื่อไหร่คิดว่าตอนนี้อาจจะมีสมมติฐานหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง อย่างต้องรอนโยบายของรัฐบาลถัดไป แต่ตามกฎหมาย หลังจากนี้จะทำนโยบายอะไรก็ต้องประเมินแหล่งเงิน รายจ่าย ประโยชน์ ถ้าทำเสียหายก็ต้องประเมินว่าจะเสียรายได้เท่าไรด้วย ส่วนราชการต้องทำตามอย่างเคร่งครัด อะไรที่ทำค้างอยู่ก็ต้องปฏิบัติตามทันทีด้วย” นายณัฐพร กล่าว

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

แจงอันดับความสามารถการแข่งขันตก ชี้ต้องลงทุนเพื่ออนาคต

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของสถาบัน IMD (International Institute for Management Development ) ในปี 2561 ซึ่งประเทศไทยอันดับลดลง 3 อันดับจาก 27 เป็น 30 ว่าในรายละเอียดมีทั้งกลุ่มที่ดีขึ้น เท่าเดิม และแย่ลง โดยกลุ่มที่ดีขึ้นคือโครงสร้างพื้นทางด้านคมนาคมขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากอันดับ 34 เป็น 31 ซึ่งสะท้อนถึงการลงทุนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล ทั้งระบบราง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าในกรุงเทพ มอร์เตอร์เวย์ รวมไปถึงเรื่องขยายสนามบิน เช่นเดียวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่ปรับขึ้นจากอันดับ 48 เป็น 42 สะท้อนเรื่องการปรับแรงจูงใจเกี่ยวกับการวิจัยที่ดีขึ้น มีการใส่งบประมาณ ปรับปรุงกระบวนการต่างๆ ไป

ขณะที่กลุ่มที่ลดลงจะเป็นกลุ่มประสิทธิภาพภาครัฐจากอันดับ 20 เป็น 22 ซึ่งในรายละเอียดก็สะท้อนมาจากหลายปัจจัย เช่น เรื่องการขาดดุลการคลังที่ลดลงจากอันดับ 18 เป็น 11 แต่เนื่องจากเป็นการลงทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตและการพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาจากเกือบติดลบในปี 2557 มาเป็น 4.8% ในไตรมาสแรกของปี 2561 ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ได้เป็นกังวลกับอันดับที่ลดลงมากนัก หรือเรื่องการเก็บภาษีจากนายจ้างเพื่อการเกษียณอายุของแรงงาน อันดับลดลงจากอันดับ 4 เป็น 6 แต่รัฐบาลคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นเนื่องจากประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ถ้าไม่เตรียมการตั้งแต่วันนี้ในอนาคตก็จะมีปัญหา

“จะเห็นว่าปัจจัยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต อย่างในโครงสร้างพื้นฐานที่เห็นว่าดีขึ้นสอดคล้องกันหรือเรื่องเตรียมเกษียณ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเสียคะแนนไปก่อน 2-3 ปีข้างหน้าก็อาจจะไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ในส่วนนี้ แต่เรียกว่าจำเป็นต่อการเพื่อความสามารถในการแข่งขันระยะยาวต่อไปและรัฐบาลจะต้องเดินตามทางนี้ต่อไป แม้ว่าจะเสียอันดับไป อีกด้านก็ได้สั่งการให้สภาพัฒน์หาทางพัฒนาด้านอื่นมาชดเชย เช่น เรื่องดิจิทัลที่กำลังทำ หรือเรื่องจีดีพีที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกก็ไม่ได้รวมอยู่ในการประเมินปีนี้ ในปีถัดไปก็คงส่งผลออกมาในดัชนีเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศได้ แล้วถ้าไปดูประเทศแซงเราไป 3 อันดับ มีชื่อผรั่งเศส มีเกาหลีใต้ มีเช็ก นะครับ หลายคนก็ซักถามว่าเกิดอะไร ก็เรียนว่าเราให้ความสำคัญศึกษาอย่างใกล้ชิดอยู่” นายกอบศักดิ์ กล่าว

มอบอำนาจ ก.พ.อ. กำหนดค่าตอบแทนอาจารย์มหาวิทยาลัย

พล.ท. สรรเสริฐ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง, สำนักงาน ก.พ.ร., สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ ได้แก่ 1) กำหนดให้ในกรณีที่มีเหตุผลและความจำเป็น คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา หรือ ก.พ.อ. อาจกำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับการเยียวยาโดยให้ได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งตามที่เห็นสมควร 2) กำหนดให้กรณีที่ ก.พ.อ. เยียวยาข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในครั้งแรก ให้คำนึงถึงเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนประเภทอื่นในสถานศึกษาประกอบด้วย

“การแก้ไขครั้งนี้เพื่อให้วิธีการดังกล่าวสอดคล้องกับระเบียบข้าราชการพลเรือนทั่วไป ระเบียบข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา และมีมาตรฐานที่เหมือนกัน เนื่องจากในปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษามี 2 แบบ คือ 1. ยังเป็นหน่วยงานราชการ และ 2. ออกจากระบบราชการไปแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด แต่ถือว่ายังมีข้าราชการพลเรือนอยู่ในส่วนที่เป็นสถาบันอุดมศึกษา ให้ถือว่าอยู่ในกรอบกติกาใหม่ด้วย ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบ แต่มีข้อสังเกตในเรื่องการเยียวยาเงินเดือน เงินประกันตำแหน่งนั้น จะต้องคำนึงถึงความเป็นธรรม ผลกระทบ และความเหลื่อมล้ำระหว่างข้าราชการด้วยกัน และต้องขอความเห็นชอบจาก ครม. เป็นครั้งๆ ไปด้วย” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เพิ่ม “เงินสงเคราะห์บุตร” 600 บาท/เดือน สูงสุด 3 คน

พล.ท. สรรเสริฐ กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ประกันตนของระบบประกันสังคมที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรในอัตราเหมาจ่าย จากเดิมจำนวน 400 บาท/เดือน/บุตร 1 คน เป็นอัตราเหมาจ่าย 600 บาท/เดือน/บุตร 1 คน โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2561

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร ซึ่งมีอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ จากเดิมจำนวนคราวละไม่เกิน 2 คน เป็นจำนวนคราวละไม่เกิน 3 คน นั้น ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2558 เพื่อให้สอดคล้องกับ ม.75 ตรี แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 แก้ไขเพิ่มเติม โดย พ.ร.บ.ประกันสังคม (ฉ.4) พ.ศ. 2558

ทั้งนี้ กองทุนประกันสังคมจะโอนเงินส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นที่ให้ย้อยหลังเข้าบัญชีของผู้รับประกันตน ส่งผลให้มีผู้ประกันตนมีสิทธิ์ได้รับเงินสงเคราะห์บุตรจำนวน 1,202,009 ราย จำนวนบุตร 1,326,695 คน

“บิ๊กป้อม” รายงานแก้หนี้นอกระบบ เตรียมระดมพลลงพื้นที่

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการในที่ประชุม ครม. เป็นห่วงเรื่องหนี้นอกระบบเป็นอย่างมาก จึงได้สอบถามจาก พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบเรื่องดังกล่าว และต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้ได้ใน 1 เดือน

โดย พล.อ. ประวิตร รายงานว่าจะใช้กลไกในการขับเคลื่อนคือ คสช. กำลังทหาร กำลังเจ้าหน้าที่ในส่วนของ กอ.รมน. จังหวัด ร่วมกับส่วนราชการอื่นๆ ในแต่ละพื้นที่เป็นตัวขับเคลื่อนในระยะ 1 เดือน โดยจะทำการรวบรวมข้อมูลที่เคยสำรวจไว้ตั้งแต่เริ่มต้นรัฐบาล มาประมวลผลกับข้อมูลที่รับใหม่ อะไรที่สามารถไกล่เกลี่ยให้เป็นธรรมได้ ลดดอกเบี้ยให้เหมาะสมก็จะเร่งทำการช่วยเหลือ และจัดลำดับตามความเร่งด่วนเพื่อให้ลูกหนี้มีเวลาในการแก้การใช้หนี้

ทั้งนี้ หากลูกหนี้ปรับลดดอกเบี้ยแล้วยังไม่มีกำลังในการใช้หนี้ ก็จะต้องนำเข้าคณะกรรมการแก้ไขหนี้นอกระบบเพื่อช่วยแก้ไขต่อไป

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 28 พฤศภาคม 2561 เพิ่มเติม