ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” ยันไม่ได้เพื่อเทงบ “หมื่นล้าน” หนุนการเมือง – มติ ครม. จัด 3,400 ล้าน 84 โครงการ พัฒนาแหล่งน้ำอีสานล่าง1

“บิ๊กตู่” ยันไม่ได้เพื่อเทงบ “หมื่นล้าน” หนุนการเมือง – มติ ครม. จัด 3,400 ล้าน 84 โครงการ พัฒนาแหล่งน้ำอีสานล่าง1

9 พฤษภาคม 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 19 ณ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีการลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์-บุรีรัมย์

แจก “ไอเลิฟยู” ยิ้มรื่นคนบุรีรัมย์แห่ต้อนรับ

ในช่วงเช้าของวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 นายกรัฐมนตรีได้นำคณะลงพื้นที่จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่บริเวณด่าน พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการดำเนินงานของจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทางต่อไปที่ จ.บุรีรัมย์ เพื่อพบปะประชาชนที่มารอต้อนรับ ณ สนามช้าง อารีน่า กว่า 30,000 คน

ทันทีที่ก้าวเข้าสู่สนามช้างฯ นายกรัฐมนตรีได้ทำมือสัญลักษณ์ “ไอเลิฟยู” และเดินรอบสนามเพื่อทักทายประชาชน ท่ามกลางการต้อนรับของนายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด และภรรยา รวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนที่มารอต้อนรับ พร้อมยืนยันทิ้งท้ายว่า

“การมาวันนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองหรือต้องการให้ประชาชนมารัก เพราะเป็นเรื่องที่พูดยากใครจะไม่ชอบก็คือไม่ชอบ แต่ขอให้ไม่เกลียดก็พอ และรัชกาลที่ 10 ถือว่าเป็นรัชกาลแห่งการปฏิรูป พระองค์มีรับสั่งให้สืบสาน รักษา ต่อยอด สืบเนื่องจากรัชกาลที่ 9 ที่ทรงริเริ่มเรื่องต่างๆ มามากมาย ประชาชนต้องช่วยกัน จึงขอให้ประชาชนช่วยกันฟังเรื่องโครงการไทยนิยมและขอให้ทุกคนรักกันเพราะบ้านเมืองจะอยู่ได้เพราะคนไทยทั้งประเทศ คนอยู่ต่างประเทศปล่อยเขาไป และรัฐบาลนี้ไม่ได้ปิดกั้นใคร ยังใช้กฎหมายปกติในการดูแลและมีคำสั่ง คสช. บ้านเมืองจึงสงบเรียบร้อย หากประชาชนปฎิบัติตัวและทำให้ตนวางใจให้ได้ว่าบ้านเมืองจะสงบเรียบร้อยได้ จึงจะยกเลิกคำสั่งเหล่านี้ไป” ก่อนเดินออกจากสนามช้างฯ ท่ามกลางเสียงประสานเรียก”ลุงตู่” กึกก้องสนาม

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวกับประชาชนชาวบุรีรัมย์กว่า 30,000 คน ที่มารอให้การต้อนรับ ณ สนามช้าง อารีน่า ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมตลาดคนเดินเซาะกราว ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

ด้านนายเนวิน ชิดชอบ กล่าวว่า การมาของนายกรัฐมนตรีจะเป็นประโยชน์กับชาวบุรีรัมย์ โดยเฉพาะงบประมาณที่จะพัฒนาพื้นที่ พร้อมยืนยันว่า การต้อนรับนายกรัฐมนตรีและ ครม. ไม่มีวาระทางการเมือง แต่เป็นไปเพื่อวาระของประชาชน

จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เพื่อตรวจเยี่ยมความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก สนามที่ 15 โดยนายกฯ ได้สวมชุดนักแข่งรถลงสนาม ทดลองขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ยามาฮ่า รุ่น MT-09 Tracer ขนาด 900 CC โดยขี่รอบสนามการแข่งขันจริง 2 รอบ ร่วมกับนายเนวิน ก่อนที่ช่วงค่ำนายกรัฐมนตรีจะไปเยี่ยมชมถนนคนเดินเซาะกราว เทศบาลบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นถนนสายวัฒนธรรมที่ได้รับรางวัลการบริหารจัดการชุมชนและสิ่งแวดล้อม

และในวันที่ 8 พฤศภาคม 2561 ภายหลังการประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวชุมชนโฮมสเตย์บ้านสนวนนอก หมู่บ้านชุมชนโบราณที่ดำรงชีวิตความเป็นอยู่ตามแบบวิถีชุมชนเขมร และมีการจัดการด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของบุรีรัมย์ จากนั้นได้เดินทางต่อมายังลานวัฒนธรรม  เพื่อทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยคนเฒ่าคนแก่ได้ผูกข้อไม้ข้อมือสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่นายกรัฐมนตรี ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น และร่วมรำตรด รำกันตรึม ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ

ยันไม่ได้มาเพื่อเทงบ “หมื่นล้าน” หนุนการเมือง

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนอยากให้ทุกคนกลับไปดูว่าในปีแรกของรัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง ซึ่งอาจจะไปในพื้นที่ที่มีปัญหาก่อนเพื่อแก้ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และแม้จะไปในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งก็ตามก็จะมีการเชิญผู้ว่าราชการในกลุ่มจังหวัดนั้นๆ มาพูดคุยทุกครั้ง และการประชุม ครม. นอกสถานที่ก็ได้นำ ครม. รวมทั้งคณะกรรมการ กรอ. มาร่วมประชุมร่วมกับสภาการค้าอุตสาหกรรมท้องถิ่น

“การที่รัฐบาลลงมาในพื้นที่ต่างจังหวัดไม่ได้ลงมาเพื่อรับคำขอ รัฐบาลก็ทำการบ้านก่อนมาตลอด เราจะยึดหลักการเหตุผลและความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ และต้องตัดสินใจให้รอบคอบว่าจะใช้งบประมาณส่วนใดที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีแผนงานของรัฐบาลอยู่แล้ว และให้พื้นที่เสนอความต้องการขึ้นมา สิ่งใดที่ตรง มีงบประมาณเพียงพอ ก็สามารถทำให้ได้ทันที ส่วนสิ่งใดที่ยังไม่ตรงก็ต้องมีการหารือและปรับ ซึ่งทุกเรื่องจะต้องเข้าสู่ที่ประชุมและเป็นมติของ ครม. ว่าจะอนุมัติหรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อการเมือง หรือเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง หรือตนไม่ต้องลงไปได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ แม้จะมีแผนงานแล้วก็ตาม แต่ก็อยากเห็นด้วยตาตัวเอง เพราะกลัวข้อมูลจะไม่เพียงพอและในแต่ละพื้นที่ก็ไม่สามารถใช้มาตรฐานเดียวกันได้”

“ขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้มาเพื่อการเมือง การเดินทางมาประชุม ครม. ในครั้งนี้ไม่ใช่ลงมาเพื่ออนุมัติงบประมาณ 10,000-20,000 ล้านอย่างที่มีการกล่าวอ้าง ขอให้ทุกคนได้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญด้วย ไม่ใช่อะไรก็การเมืองทั้งหมด เพียงแต่ช่วงนี้เป็นการเดินหน้าสู่เรื่องของการเลือกตั้ง หลายคนจึงมองว่าเป็นงานการเมือง การที่รัฐบาลเดินทางมานี้ มุ่งหวังจะไปให้ครบทุกจังหวัด แม้จะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เลือกไปให้ครบทุกกลุ่มจังหวัดก่อน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่ารัฐบาลต้องการไปทุกจังหวัดเพื่อรับฟังความต้องการของประชาชนโดยตรง สอดคล้องกับแผนที่รัฐบาลมีอยู่ในมือและที่ผ่านมาใน 4 จังหวัด 4 ปี รัฐบาลใช้เงินเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำประมาณ 3,000 ล้านบาท และปีนี้เสนอมาอีก 1,000 กว่าล้านก็น่าจะอนุมัติให้ได้ เพราะตรงกับแผนงานของรัฐที่วางไว้และตรงกับความต้องการของประชาชน จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ว่าลงมาแล้วเขาขออะไรรัฐบาลก็ให้โดยคิดไม่เป็น รัฐบาลมีความตั้งใจดี อยากจะให้ทุกอย่างแต่ต้องดูว่างบประมาณเราเพียงพอหรือไม่ เพราะเราไม่ต้องการเอาเงินอนาคตมาใช้ เพราะจะมีปัญหาในเรื่องหนี้สาธารณะ

ชื่นชมนักแข่งมอร์เตอร์ไซค์ – เผยนายกฯ ไม่ใช่คนพิเศษ ต้องสัมผัสได้

ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th
พล.อ. ประยุทธ์ ลงสนามทดลองขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ยามาฮ่า รุ่นMT-09 Tracer ขนาด 900 CC โดยขี่รอบสนามการแข่งขันจริง 2 รอบ ร่วมกับนายเนวิน ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงเรื่องการขับขี่จักรยานยนต์ในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต วานนี้ ว่า ตนจำเป็นต้องไปดู และตนก็ขี่เป็นอยู่บ้างก็เลยลองดู อย่างไรก็ตาม การที่จะทำอะไรก็ตามถ้าเราได้เรียนรู้ด้วยตนเองจะรู้ถึงความยากง่าย ตนไม่ได้เก่งไปกว่าใคร ก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน ถ้าล้มคว่ำคะมำหงายก็อายคนเขาเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าเคยขี่มาตั้งแต่เด็ก ด้วยความเร็วไม่ได้มากนัก 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็รู้ตัวของตัวเอง แต่ทั้งหมดก็ทำให้รู้ว่า เด็กเหล่านี้มีความพยายาม ในการขี่จักรยานยนต์แข่งที่ต้องใช้ความเร็วสูงถึง 200-300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องง่าย มีความเสี่ยง ขนาดหลวงพ่อคูณนั่งรถแค่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ลงไปแล้ว ดังนั้น ต่อให้ห้อยหลวงพ่อคูณก็เอาไม่อยู่ ทั้งหมดอยู่ที่ตัวของเราเอง อยู่ที่ความเชื่อมั่น

“การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นกิจกรรมการแข่งขันด้านกีฬาที่คนทั้งโลกนิยม ก็น่าดีใจที่เรามีคนของเรา มีชื่อเสียงระดับโลก มีคนกล้าที่จะฝึก เมื่อวานที่ผมขี่อันตรายก็อยู่ที่ช่วงเข้าโค้ง การควบคุมรถการถ่วงน้ำหนัก ถ้าใช้ความเร็วมากผมก็คงหลุดโค้ง จึงต้องระมัดระวัง ผมรู้ตัวว่าทุกคนจ้องจะถ่ายผม ตอนขี่ดีๆ ไม่ถ่าย” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวถึงการไปเยี่ยมชมตลาดคนเดินเซราะกราว ว่า ปกติตลาดขายเฉพาะเสาร์อาทิตย์ แต่วานนี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะอยากมาดูหน้านายกฯ คนแน่นตลาดไปหมด จึงอยากจะบอกว่านายกฯ ไม่ใช่คนพิเศษ เป็นคนธรรมดาแตะต้องสัมผัสได้ ตนถือว่าตนได้รับความรัก ได้รับความเมตตาจากประชาชน ตนไม่ได้พูดแบบนักการเมือง กับลูกน้อง กับทหาร ก็พูดแบบนี้มาตลอด เราอยู่คนเดียวไม่ได้ คนเป็นนายกฯ ก็เช่นกัน อยู่ได้ก็ด้วย ครม. ข้าราชการ ประชาชนผู้ได้รับประโยชน์ การจะทำให้ประเทศแก้ไขปัญหาได้ไม่ใช่แก้เพียงโครมคราม พันหน้าพันหลัง เราต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่

ชี้ “พีมูฟ” รัฐให้ไม่ได้ทุกอย่าง

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ปักหลักชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้คนจนบริเวณหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า แนวทางการแก้ปัญหาที่ทำกินมีอย่างเดียว โดยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) จัดหาพื้นที่ให้มีบ้านที่อยู่อาศัยที่ทำกิน ซึ่งมีการมอบเอกสารสิทธิที่ไม่สามารถขายต่อได้ไปบ้างแล้วจำนวนล้านกว่าไร่ ทำไปกว่า 60 จังหวัด แต่จะทำให้ให้มากที่สุด ทั้งในที่ดินที่หมดจากสภาพป่า ที่ราชพัสดุ ที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย เมื่อถึงจุดอิ่มตัวถ้าเรายังคงมุ่งมั่นทำการเกษตรอย่างเดียว 5-15 ไร่ ปัญหาคือจะให้ทุกคนได้อย่างไรในเมื่อมีเป็นล้านคน ซึ่งต้องถามข้าราชการระดับล่างด้วย ที่ทำงานมาทั้งหมดก็ต้องการมีที่ดินเหมือนกัน เกษียณไปแล้วไม่มีเงินทองปลูกบ้านด้วยซ้ำไป รัฐบาลก็ต้องดูแลส่วนนี้ด้วย

“ถ้าเราเรียกร้องอย่างเดียวอะไรจะขอฟรีทุกเรื่องคงลำบาก เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกับสังคม เรื่องการแก้ปัญหาพีมูฟวันนี้ย้ายไปกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ก็ระมัดระวังด้วยก็แล้วกัน ทำให้มันถูกต้องตามกฎหมาย การจะไปชี้ตรงโน้นตรงนี้เอาเองมันไม่ได้หรอก แล้วถ้าทุกคนทั้งประเทศลุกขึ้นมาชี้แล้วมันจะไปกันอย่างไร สื่อกรุณาไปสร้างความเข้าใจด้วย รัฐบาลก็รับไปพิจารณาในกลุ่มคณะทำงานอนุกรรมการในเรื่องของการจัดหาพื้นที่ให้อยู่แล้ว ก็ต้องอดทน เราอยากจะทำให้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นก็ต้องเอาป่าอุทยาน ป่าต้นน้ำมาแจกกันหมดมันก็เป็นไปไม่ได้ ที่ของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) บางพื้นที่น่าจะจัดได้ก็บุกรุกเต็มพื้นที่ สปก. เข้าไปอีก ผมถามว่าการสู้รบกับคนที่มีรายได้น้อยมันยากง่ายเพียงใด ถ้าง่ายทุกรัฐบาลคงทำสำเร็จไปแล้ว แต่รัฐบาลนี้ต้องหาหนทางปฏิบัติให้ได้โดยที่ไม่มีปัญหาต่อไปในอนาคต” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน ว่า เรื่องนี้ ครม. มีมติรับทราบไปก่อน เพราะต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้บางพื้นที่ที่ประชาชนเรียกร้องมาอาจจะไปทับซ้อนกับเอกสารสิทธิ ที่ดินของกรมธนารักษ์ หรือที่ของทางราชการ ซึ่งต้องไปดูแยกแยะให้ชัดเจน ในเรื่องกฎระเบียบ กฎกระทรวงต่างๆ ด้วย ถ้าตรงไหนทำได้ตนก็จะให้เร่งรัดดำเนินการให้โดยเร็ว คงใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ในการนำกลับมาเสนอเข้าหารือในที่ประชุม ครม. อีกครั้ง

ลั่นบ้านพักฯ “ไม่ให้อยู” – สั่งปลูกป่าคืนดอยสุเทพให้ทันฤดูฝน

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการแก้ปัญหาบ้านพักตุลาการ จ.เชียงใหม่ ว่า วันนี้ได้ข้อสรุปหลังมีการหารือร่วมกันโดยให้มีการปลูกป่า ให้มีแผนงานที่ชัดเจน ตนได้มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ทหาร กอ.รมน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปร่วมในแผนงานดังกล่าวให้ทันฤดูฝนนี้ จะพยายามหาต้นไม้ที่โตเร็ว และกลมกลืนกับภูมิประเทศ

“ผมมีคำสั่งไปว่าไม่ให้อยู่โดยแน่นอน แน่ชัด ได้ให้คณะกรรมการไปจัดหาพื้นที่ใหม่ เพราะเป็นสิทธิของข้าราชการที่ต้องมีบ้านพักอาศัยตามกฎหมาย รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลสวัสดิการตรงนี้ อย่าไปมองว่าชาวบ้านยังไม่มีเลย แล้วข้าราชการต้องมี ก็เขาเป็นข้าราชการ ไม่เช่นนั้นทุกคนถ้าอยากมีต้องสอบให้ได้เป็นข้าราชการแล้วโตขึ้นมาก็จะมีบ้าน แต่บางคนก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ รัฐบาลสร้างให้หมดมันไม่ได้ ต้องเสียค่าเช่าบ้าน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนการหาพื้นที่ใหม่นั้นกำลังพิจารณาพื้นที่ที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งหายาก แต่ต้องหาให้ได้ ขณะเดียวกันต้องพิจารณาแบบก่อสร้างให้อยู่ในกรอบกติกาที่กำหนด ถือเป็นการแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี คือแก้ปัญหาด้วยหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์

“ผมไม่อาจจะรับเรื่องร้องเรียนอื่นๆ ขึ้นมาอีก เรื่องเก่าแก้ให้ได้เสียก่อน ขอให้ไว้เนื้อเชื่อใจ ในเมื่อผมไม่ให้ใครอยู่ก็ไม่ให้ใครอยู่ เรื่องจะรื้อไม่รื้อคณะกรรมการไปว่ากันมา ถ้าจะรื้อต้องหาผู้รับผิดชอบมาให้ได้ เพราะเป็นงบประมาณของแผ่นดิน มันอาจจะบานปลายสู่การตรวจสอบย้อนหลังไปอีกเยอะ ก็ต้องทำต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว

รับไม่ได้ “สันธนะ” ขัดการตรวจค้นตลาดดอนเมือง

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท. สันธนะ ประยูรรัตน์ ที่ปรึกษาตลาดใหม่ดอนเมือง ที่ขัดขวางการตรวจค้นตลาดใหม่ดอนเมือง และดูถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า พฤติกรรมดังกล่าวตนรับไม่ได้ และคิดว่าตำรวจเองคงรับไม่ได้เช่นกัน ยืนยันไม่มีใครกดดันเจ้าหน้าที่รัฐได้ และตรวจค้นการจำหน่ายเครื่องสำอางและอาหารเสริมผิดกฎหมายตามหน้าที่

“ประวัติของท่านไม่ค่อยดีนักเท่าที่ตรวจสอบ ผมก็เสียดายเขาเป็นตำรวจด้วยซ้ำ มันก็มีหลายคดี 6-7 คดี อาจยิ่งพูดยิ่งคดีเยอะก็ได้ ดูถูกเจ้าพนักงาน ดูถูกผู้บัญชาการตำรวจ เดี๋ยวผมพูดไปแบบนี้ก็มาดูถูกผมอีก ฉะนั้นอะไรก็ตามที่อ้างว่ากำความลับของตนเองมาบอก ขอให้ส่งข้อมูลมา เพื่อให้คนที่ถูกกล่าวอ้างมาชี้แจง หากไม่เป็นจริงก็ต้องโดนข้อหาอีก” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีถ่ายรูปร่วมกัน ในการประชุม ครม.สัญจร ครั้งที่ 19 สุรินทร์-บุรีรัมย์

เผยเป็นห่วง นศ.ชุมนม ไม่มีใครอยากรับทำงาน

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง จะมาชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 เพื่อให้ คสช. ยุติบทบาทและรัฐบาลต้องเร่งจัดการเลือกตั้งภายในเดือน พฤศจิกายนนี้ ว่า ตนพูดหลายครั้งแล้วว่าคนกลุ่มนี้เป็นเยาวชน เป็นนักศึกษา ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนไปย้อนดูว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาเป็นอย่างไร วัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของเขาเป็นอย่างไร พวกเขาเป็นนักศึกษา เป็นคนมีความรู้ ก็น่าจะฟังรู้เรื่องว่ารัฐบาลวางโรดแมปแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ เวลาใด

“ต่างประเทศก็ให้การยอมรับแล้ว ทำไมคนเหล่านี้จึงไม่รับอะไรเลย ขอให้ทุกคนไปดูหรือหาข้อมูลมาให้ตนว่าเขาต้องการอะไร มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ อย่างไรก็ตามตนเป็นห่วงคนพวกนี้ เพราะถ้าเขาถูกดำเนินการตามกฎหมายก็จะเรียนหนังสือไม่จบ หรือไม่มีคนรับเข้าทำงาน ซึ่งตนคิดว่าคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้คงไม่มีใครกล้ารับเข้าทำงาน นั่นคือสิ่งที่เป็นอนาคตของเขา ตนจึงอยากให้เขาเลิกการกระทำดังกล่าว เพราะมันไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ผู้ปกครอง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

โปรดฟังอีกครั้ง!! “ผมไม่ได้มาเพื่อการเมือง”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า การมาบุรีรัมย์ครั้งนี้ มันก็เป็นประเด็นทางการเมืองว่ามาพบกับคนนั้นคนนี้ ยืนยันว่าการที่ตนจะไปพบใครที่ไหนอย่างไร หรือจะพูดจากับประชาชนในสถานที่แห่งไหน ทางจังหวัดและเจ้าหน้าที่เป็นผู้เตรียมการทั้งหมด ตนไม่ได้สั่งการว่าจะเป็นที่นี่ที่นั่น เจ้าหน้าที่เขาจะต้องดูว่าความพร้อมมีที่ไหนก็จะเชิญไปที่นั่น

“ผมพร้อมจะพบกับคนทุกที่ และผมไม่ได้พบกับใครเป็นการส่วนตัว ไม่ได้พบใครในที่รโหฐาน ทุกคนสามารถถ่ายรูปได้มากมายก็จะเห็นว่าผมไม่ได้ไปแอบพบแอบคุยกับใคร และไม่มีการคุยเรื่องการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ผมถือว่าวันนี้เราต้องหาความร่วมมือในเรื่องการปฏิรูปประเทศ ในการทำงานเพื่อประชาชนในอนาคตให้ได้โดยเร็ว ทำความเข้าใจในเรื่องของยุทธศาสตร์ชาติ ความมั่นคง การสนับสนุนมาตรการในการแข่งขัน รวมทั้งการพัฒนาในด้านต่างๆ เรื่องเหล่านี้เราต้องมีหลักการในการทำงาน และถึงผมมาแล้วไม่มีใครรับ ผมก็มา ที่ไหนไม่มีคนมารับผมสักคน หรือมีเพียงคนเดียว ผมก็มา เพราะผมมาเพื่อที่จะพัฒนาเขา แต่เมื่อเขามาตอนรับก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชนในพื้นที่ให้เกียรติกับผมก็โอเค แต่ผมไม่ต้องการแลกเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องของรัฐบาลไม่ใช่ความดีความชอบของคนเพียงคนเดียว” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่า การมาครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อการเมือง ที่เดินทางไปสนามช้างอารีน่าก็เพราะมีการเตรียมการต้อนรับในพื้นที่ตรงนั้น ถ้าจัดต้อนรับที่ริมแม่น้ำ รับในป่า ตนก็พร้อมไป ตนจะไปบังคับใครได้ ในเมื่อประชาชนเขาอยากมาก็เป็นเรื่องที่เขาอยากจะพบกับตน ตนก็ต้องไปเจอเขา อย่าไปพูดจาให้เกิดความเสียหาย พร้อมทั้งกล่าวย้ำว่า การมาครั้งนี้ไม่ใช่นายกฯ จะไชี้นั่นชี้นี่ ก่อนหน้าสองวันได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีลงทุกพื้นที่ใน 4 จังหวัดอีสานใต้ เพื่อรวบรวมปัญหาอุปสรรคและความต้องการของประชาชน และนำมาหารือในที่ประชุม ครม. ซึ่งการทำงานควรต้องเป็นแบบนี้ในอนาคตก็ต้องเป็นเช่นนี้ด้วย ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ตาม

“ผมอยากฝากสื่อมวลชน เพราะหลายคนบอกว่ายังไม่รู้รัฐบาลทำอะไรให้บ้าง เพราะส่วนใหญ่ข้อมูลที่ติดตามคือเรื่องความขัดแย้ง ชาวบ้านไม่ได้ตามดูข้างในว่ารัฐบาลทำอะไร ชาวบ้านมักเอาการเมืองมาขับเคลื่อน ความสงบและความไม่สงบเรียบร้อยมักเกิดขึ้นจากพวกเรา จากสื่อ และรัฐบาลอาจพูดจาจนเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะผม ชอบพูดเยอะ แต่ผมพูดด้วยความตั้งมั่นตั้งใจดีของผมเอง บางทีไม่มีเจตนาก็ต้องขอโทษด้วย จะเห็นได้ว่าในทุกรัฐบาลที่ผ่านมาจะมีการขึ้นป้ายทั้งหมด ขอบคุณ ฯพณฯ ท่านคนนั้นคนนี้ที่สร้างสะพานสร้างถนนให้ แต่ผมบอกไม่จำเป็น สิ่งที่รัฐบาลทำคือการสร้างความรับรู้กับสื่อและสังคมโซเชียลว่าเราทำอะไรไปบ้าง แลผมเชื่อว่าไม่เคยมีแบบนี้มาก่อนที่รัฐบาลลงพื้นที่เกือบทุกจังหวัด ทุกภาค ผมไม่ได้มาประชาสัมพันธ์เพื่อให้รักรัฐบาล แต่อยากชี้ให้เห็นถึงจิตใจของ ครม. ข้าราชการ พยายามทำดีอย่างเต็มที่” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ในช่วงเช้าก่อนการประชุม ครม. มีการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์) หรือ “นครชัยบุรินทร์” โดยมีคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารส่วนราชการ ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารส่วนท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรเข้าร่วมประชุม โดยผู้แทนภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดได้ขอเสนอกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ดังนี้ 1) ด้านการเกษตรและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร 2) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 3) ด้านการค้า การลงทุน และการค้าชายแดน 4) ด้านการท่องเที่ยว และ 5) ด้านคุณภาพชีวิต และนำเรื่องที่มีการนำเสนอดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.

“นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเสนอโครงการว่ามีความซับซ้อนหรือไม่ และข้อเสนอโครงการใดอยู่ในแผนการแล้ว ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ และขอให้ดำเนินการตามลำดับความสำคัญ คำนึงถึงความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่จะได้รับเป็นหลัก” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

จัด 3,400 ล้าน 84 โครงการ พัฒนาแหล่งน้ำอีสานล่าง1

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า สำหรับการพัฒนาการเกษตรและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง จัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์และตลาดผลิตอาหารมีข้อเสนอเข้ามา จำนวน 84 โครงการ วงเงิน 3,476.65 ล้านบาท สามารถดำเนินการได้เลย 40 โครงการ วงเงิน 1,015 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 44 โครงการ วงเงิน 2,461.65 ล้านบาท ให้ยกไปดำเนินโดยใช้งบประมาณปี 2562-2564 ซึ่งการอนุมัติโครงการน้ำเพื่ออุทกภัย และน้ำแล้ง เพื่อการเกษตร เนื่องจากจังหวัดในกลุ่มอีสานตอนล่าง 1 มีพื้นที่ชลประทานเพียง 6.61% ของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด

ด้านนายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ครม. ได้อนุมัติโครงการน้ำเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งจำนวน 20 โครงการใหญ่ วงเงิน 3,476.65 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการย่อยต่างๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ และชัยภูมิ จำนวน 7 โครงการ วงเงินรวม 3,177.65 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณเพื่อการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ตามที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอ ตามผลการประชุมร่วมกับข้าราชการและเอกชนในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง 1 ซึ่งประกอบด้วย จ.นครราชสีมา จ.บุรีรัมย์ จ.ชัยภูมิ และ จ.ชัยภูมิ ดังนี้ คือ

โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ประกอบด้วย 1. แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร จ.บุรีรัมย์ วงเงิน 412 ล้านบาท 2. โครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำอ่างเก็บน้ำสนม จ.สุรินทร์ วงเงิน 505 ล้านบาท 3. โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำลำน้ำเชิญ จ.ชัยภูมิ วงเงิน 180 ล้านบาท 4. พัฒนาแหล่งน้ำ ต.เพี้ยราม จ.สุรินทร์ วงเงิน 753 ล้านบาท 6. ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยชาง จ.ชัยภูมิ วงเงิน 597.65 ล้านบาท และ 7. พัฒนาแก้มลิงลุ่มน้ำชี จ.ชัยภูมิ วงเงิน 445 ล้านบาท

นอกจากนี้ ได้เสนอโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค จ.บุรีรัมย์ จำนวน 13 โครงการ วงเงิน 299 ล้านบาท โดยกรมชลประทานได้จัดเตรียมโครงการจัดหาน้ำเพื่อรองรับการขยายตัวของพื้นที่เศรษฐกิจตัวเมืองบุรีรัมย์และชุมชนต่างๆ รวม 13 โครงการ แบ่งเป็นความพร้อมในการดำเนินโครงการ ของปี 2561 รวม 5 โครงการ วงเงินรวม 150 ล้านบาท และปี 2562-64 จำนวน 8 โครงการวงเงินรวม 149 ล้านบาท

ปรับถนน-ขยายสนามบิน ตั้งรับ “โมโตจีพี”

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้านโครงสร้างพื้นฐานนั้น จะให้มีการขยายโครงข่ายคมนาคมทั้งทางถนน ทางอากาศ การจัดการระบบระบายน้ำ รวมทั้งการสำรวจและการออกแบบ โดยในส่วนของโครงข่ายคมนาคมทางถนนนั้น ได้มีคำขอเสนอเข้ามาจำนวน 14 โครงการ ซึ่งที่ประชุม ครม. มีความเห็นให้จัดลำดับสำคัญตามความเร่งด่วน และความเชื่อมโยงระหว่างโครงข่ายทางถนน-ราง-อากาศ ทั้งนี้เนื่องจากแผนงานของกระทรวงคมนาคมตั้งแต่ปี 2557-2561 ได้อนุมัติงบปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางถนนสำหรับภาคอีสานตอนล่างไปแล้วไป 52,876 ล้านบาท และในปีมีโครงการเบื้องต้นรวม 14,588 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในส่วนของถนนที่ได้รับอนุมัติโครงการตามความจำเป็นเร่งด่วนให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 เพื่อรองรับการแข่งขันโมโตจีพี ได้แก่ งานขยายทางหลวงหมายเลข 219 ตอนหัวถนน-บุรีรัมย์ เป็น 4 ช่องจราจร และเพิ่มศักยภาพในการเดินทางบนถนนทางหลวงสายรอง ทางหลวงหมายเลข 202 สีดา-บัวใหญ่-ชัยภูมิ

ด้านโครงข่ายทางอากาศ มีข้อเสนอในการปรับปรุงสนามบินบุรีรัมย์ และการศึกษาโครงการก่อสร้างสนามบินสุรินทร์ สำหรับการปรับปรุงสนามบินบุรีรัมย์นั้น เพื่อรองรับการจัดการแข่งขันโมโตจีพีหรือการแข่งขันอื่นๆ ในอนาคต จึงได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมไปศึกษารายงสนผลกระทบสิ่งแวดล้อมในโครงการพัฒนาสนามบินบุรีรัมย์ ซึ่งเสนอขอขยายต่อเติมความยาวทางวิ่งจากเดิม 2,100 เมตร เป็น 3,000 เมตร เนื่องจากในปัจจุบันท่าอากาศยานบุรีรัมย์มีความยาวทางวิ่งที่สามารถรองรับเครื่องบิน Boeing 737 ได้พร้อมกัน 2 ลำในเวลาเดียวกัน ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีแผนที่จะก่อสร้างขยายลานจอดเครื่องบิน จากที่รองรับได้ 2 ลำ ให้เพิ่มเป็น 6 ลำ โดยจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ ในขณะเดียวการต่อเติมอาคารผู้โดยสารขาออกให้รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 450 คน ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว

ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันสนามบินบุรีรัมย์มีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารได้ถึง 1.7 ล้านคน โดยประมาณการว่าในปี 2561 จะมีผู้โดยสารทั้งปี 2.3 แสนราย ซึ่งยังสามารถที่จะรองรับผู้โดยสารได้อีกมาก ทำให้มีเวลาในการศึกษา โดยกระทรวงฯ ได้เตรียมแผนในการศึกษาเอาไว้แล้ว

“ส่วนสนามบินสุรินทร์ก็ต้องทำการศึกษา เนื่องจากระยะทางไม่ไกลจากบุรีรัมย์ และปัจจุบันคนสุรินทร์ก็ใช้บริการสนามบินบุรีรัมย์อยู่แล้ว มีคำถามในที่ประชุมว่าหากก่อสร้างสนามบินสุรินทร์ประมาณการผู้โดยสารไว้เท่าไร ได้รับคำตอบว่าประมาณ 2 แสนคน จำนวนหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากเสียมเรียบ ซึ่งเป็นปริมาณที่สนามบินบุรีรัมย์สามารถรองรับได้อยู่ สำหรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากเสียมเรียบนั้นใช้เส้นทางทางถนนจะสะดวกกว่า ในเบื้องต้นจึงจะทำการพัฒนาถนนให้เป็น 4 ช่องจราจรไปก่อน เนื่องจากปัจจุบันถนนในช่วงสตึก-สุรินทร์ ยังมีบางส่วนที่เป็นคอขวดอยู่” นายอาคม กล่าว

เห็นชอบศูนย์รวมดู้คอนเทนเนอร์ ICD โคราช ลดแออัดแหลมฉบัง

นายณัฐพร กล่าวว่า ในส่วนของการค้า การลงทุน และการค้าชายแดนนั้น ที่ประชุมฯ เสนอโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 โครงการก่อสร้างศูนย์รวบรวมตู้คอนเทนเนอร์ และเปลี่ยนโหมดขนส่ง Korat ICD เพื่อทำให้นครราชสีมาเป็นศูยน์กลางของการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งที่ประชุมให้ไปดูความเหมาะสมของโครงการก่อน พร้อมกันนี้ยังให้คมนาคมไปศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการก่อสร้างสนามบินสุรินทร์เพื่อการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังรับทราบข้อเสนอของโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและจัดแสดงนิทรรศการที่นครราชสีมา และการศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาเมืองใหม่นครราชสีมา รองรับเมืองอัจฉริยะ

ด้านนายหัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฏ ประธานอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้ ภาคเอกชนมีความพอใจที่รัฐบาลได้รับข้อเสนอของภาคเอกชนและหน่วยงานในพื้นที่ เพราะจะช่วยพัฒนาพื้นที่ให้รองรับการค้าการลงทุน และส่งเสริมคุณภาพพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ได้มากขึ้น

สานท่องเที่ยว “เส้นทางช้าง” – ปั้น 20 ชุมชนปูทาง “สปอร์ตซิตี้”

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ด้านการท่องเที่ยวนั้น กลุ่มจังหวัด “นครชัยบุรินทร์” นั้นได้มีการกำหนดการท่องเที่ยวในเส้นทางของช้างตั้งแต่นครราชสีมาจนถึงสุรินทร์ โดยมีข้อเสนอที่ขอรับการสนับสนุนประกอบด้วยโครงการสร้างพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์เฉลิมพระเกียรติ นครราชสีมา โครงการโลกของช้าง Elephant World จังหวัดสุรินทร์ ในที่ประชุม ครม. พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเหมาะสมให้หน่วยงานที่ดูแลด้านการท่องเที่ยวไปดำเนินการต่อไป รวมถึงรับทราบโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์อ่าวเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์ โครงการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อการท่องเที่ยวรอบบึงละหาน และโครงการพัฒนาและฟื้นฟูเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างและการท่องเที่ยว บริเวณเขาพนมสวาย

ส่วนการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบโมโตจีพีที่จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2561 ที่บุรีรัมย์นั้น เห็นว่าปัจจุบันได้มีการเตรียมความพร้อมไปแล้วหลายส่วน โดยภาครัฐจะเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง เช่น การจัดรถชัตเตอร์บัสจากสนามบินบุรีรัมย์มายังสนามแข่งขันด้วย ส่วนโรงแรมที่พักในกรณีที่ไม่พอนั้น ให้มีการประสานไปยังชุมชนต่างๆ จัดทำโฮมสเตย์และพื้นที่กางเต็นท์ซึ่งในต่างประเทศก็แก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ เพียงแต่ต้องเสริมห้องอาบน้ำและห้องสุขาที่มีมาตรฐานด้วย

“นายกรัฐมนตรีให้หาทางส่งเสริมให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังอีสานใต้มากขึ้น เพราะปัจจุบันพื้นที่ภาคอีสานมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพียง 3% เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งประเทศ ส่วนใหญ่เป็นคนอีสานเที่ยวกันเอง จึงต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยดึงชุมชนที่มีความพร้อมก่อน 20 ชุมชน มานำร่องจัดโปรแกรมร่วมกับบริษัททัวร์เพื่อดึงคนเข้ามาในพื้นที่ สำหรับเรื่องการเป็นสปอร์ตซิตี้ของบุรีรัมย์นั้น นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นว่า ให้หาวิธีที่จะทำอย่างไรในการขนส่งคนให้เร็วที่สุด เพื่อลดความแออัดคับคั่ง โดยต้องทำให้เส้นทางรถไฟสายเขากระโดงที่ปกติใช้ในการขนส่งสินค้าสามารถใช้ในการรับส่งคนได้” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ด้านนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้รายงานให้ที่ประชุม ครม. รับทราบถึงการเตรียมจัดการแข่งโมโตจีพี ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ว่า ภายหลังจากได้ไปดูการจัดการแข่งขันโมโตจีพีที่สนามซีร์กุยโต เต เคเรซ ที่ประเทศสเปน ตนรู้สึกสบายใจขึ้นมากกับการที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในเดือนตุลาคมนี้ เนื่องจากในข้อกังวลเรื่องปัญหาการจราจรที่ประเทศสเปนก็ต้องเผชิญเช่นกัน

“เมืองของเขามีขนาดเล็กกว่าจังหวัดบุรีรัมย์มาก แต่ก็ได้เป็นเจ้าภาพมาแล้วถึง 30 ปี ก็ยังมีปัญหารถติดหลังการแข่งขันเลิกเป็นเวลา 3 ชั่วโมง โดยเมืองของเขาไม่มีรถบัสรับส่งจากตัวเมืองถึงสนามบิน ซึ่งประเทศไทยมีการเตรียมรองรับเอาไว้แล้ว พร้อมกันนี้ประเทศไทยยังเตรียมรถไฟรองรับไว้ด้วย ส่วนเรื่องสถานที่พัก ได้ถือโอกาสที่การประชุมครั้งนี้มีผู้ว่าราชการจาก 4 จังหวัดคือนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ มาอยู่พร้อมกัน จึงขอให้แต่ละจังหวัดกับอีโรสในการจัดเตรียมสถานที่พัก ของแต่ละจังหวัดกับบริษัทนำเที่ยวเพื่อจัดการอำนวยความสะดวกเรื่องที่พักและการเดินทางสำหรับผู้ที่จะมาร่วมชมการแข่งขันในครั้งนี้ที่จะมากันร่วม 200,000 คนเพราะพฤติกรรมของผู้ที่เข้าร่วมชมการแข่งขันรายการนี้จะพักในจังหวัดรอบๆ และใช้วิธีเดินทางเข้ามายังสนามแข่ง” นายวีระศักดิ์ กล่าว

เห็นชอบ ตั้งคณะพยาบาลฯ-ศูนย์ความเป็นเลิศการแพทย์-สร้างอาคารผู้ป่วย

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตมีส่วนที่ ครม. เห็นชอบ ได้แก่ โครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์และคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ซึ่งจากการสำรวจความต้องการของเด็กที่เรียนจบมัธยมปลาย 80% ต้องการเรียนในด้านนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ และโครงการการก่อสร้างอาคารรองรับการให้บริการผู้ป่วย โรงพยาบาลนางรอง จ.บุรีรัมย์

ส่วนอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดตั้งอาคารศูนย์ดูแลส่งเสริมและฟื้นฟูสภาพผู้สูงอายุ จ.บุรีรัมย์ และการพัฒนาจังหวัดสุรินทร์เป็นศูนย์บริการทางการแพทย์ (ศูนย์สุขภาพสู่ AEC) นั้น ครม. ไม่เห็นชอบในโครงการดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการลดผู้ป่วยติดเตียง เป็นผู้ป่วยติดบ้าน โดยการให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองพอที่จะกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้

ไฟเขียว ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน

นายณัฐพร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เนื่องจากที่ผ่านมาตามกฎหมายฉบับเก่าตั้งแต่ปี 2548 วิสาหกิจชุมชนไม่ได้รับรองให้เป็นนิติบุคคล หากจะเป็นนิติบุคคลต้องอาศัยกฎหมายฉบับอื่นไปจดทะเบียนร่วมด้วย ซึ่งพบปัญหาว่าหากไม่ได้เป็นนิติบุคคลก็จะไม่สามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินและสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาได้

“กฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้วิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนมีฐานะเป็นนิติบุคคล และหากวิสาหกิจชุมชนที่ประสงค์จะจดทะเบียนตามกฎหมายดังกล่าวต้องมีผลประกอบการในลักษณะวิสาหกิจชุมชนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี รวมถึงการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เพิ่มหน่วยงานที่มีบทบาทในการให้การส่งเสริมและพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมนุมด้วย” นายณัฐพร กล่าว

นอกจากนี้ยังได้มีการยกเลิกคณะกรรมการประสานนโยบายกองทุนเพื่อพัฒนาการกิจการวิสาหกิจชุมชน โดยจะมีการโอนอำนาจหน้าที่ให้กับคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน และเพิ่มบท กำหนดโทษทางปกครอง โดยกำหนดให้ผู้ที่นำคำว่า วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจชุมชนนิติบุคคล เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน หรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนนิติบุคคลไปใช้โดยไม่จดทะเบียนจะต้องถูกปรับวันละ 1,000 บาท จนกว่าจะเลิกนำไปใช้

ต่ออายุ คกก.กองทุนฟื้นฟูฯ เกษตรเฉพาะกิจ-นายกฯ ลั่น รอบนี้ต้องเสร็จ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ ให้ขยายระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ ครั้งที่ 2  ไปอีก 180 วัน นับแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป  หลังจากที่ได้ขยายระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ระยะแรกตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 พฤษภาคม 2561 นี้

ทั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รายงานว่าการขยายเวลาครั้งนี้ เพื่อให้คณะกรรมการสามารถปฏิบัติหน้าที่แก้ไขปัญหาการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรได้แล้วเสร็จ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานั้นกองทุนฟื้นฟูฯ ได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรสมาชิกไปแล้ว  1,670 ราย วงเงิน 481.79 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้อีก 9,009 ราย

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีได้สอบถามในที่ประชุมถึงสาเหตุของการขยายเวลาในครั้งที่ 2 ซึ่งนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการและเลขาธิการกองทุนฟื้นฟูฯ อาจจะมีความเห็นไม่สอดคล้องกับเกษตรกร เป็นการขัดกันเล็กๆ แต่ไม่ถึงกับขัดแย้งกัน เมื่อความเห็นไม่ตรงกันจึงเกิดความไม่ไว้วางใจต่อกัน จึงขับเคลื่อนไม่ได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสนอขยายเวลาเป็นครั้งที่ 2

“นายกรัฐมนตรีบอกว่าการขอขยายเวลารอบนี้จะต้องทำให้สำเร็จ ซึ่ง รมว.เกษตรฯ รับปากว่าจะทำให้สำเร็จได้แน่นอน เพราะเลขาธิการกองทุนฟื้นฟูฯ คนใหม่รับทราบปัญหาและได้ลองสอบถามเกษตรกรที่มีหนี้สินอยู่ พบว่ามีความคิดเห็นที่ค่อนข้างสอดคล้องกัน จึงเชื่อมั่นว่าด้วยความไว้วางใจกันระหว่างเลขาธิการกองทุนฟื้นฟูฯ กับเกษตรกร น่าจะแก้ไขปัญหาได้ลุล่วงภายในระยะเวลาที่กำหนด” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพิ่มเติมว่า ประเด็นที่เป็นปัญหาตามที่กรรมการชุดที่ผ่านมาแก้ไขปัญหาหนี้ให้เกษตรกรไม่สำเร็จ ให้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง หากพบว่ามีความผิดเกิดขึ้นให้ดำเนินการตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เคยมีคำสั่ง โดยให้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน ตรวจสอบให้เสร็จภายใน 30 วัน หากไม่แล้วเสร็จให้ขยายได้อีก 30 วัน และหากพบข้อมูลความผิดชัดเจนก็ให้ดำเนินการทางอาญา และส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย

เห็นชอบหลักการ ร่างปฏิญญาความร่วมมือลดผลกระทบข่าวลือฯ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือการลดผลกระทบจากข่าวลือก่อนที่นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปร่วมประชุมว่าด้วยสาระนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 14 ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยร่างปฏิญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสื่อมวลชน ภาคประชาชน และหน่วยงานของรัฐ พร้อมทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่ปลอดภัยแก่ผู้ใช้งาน และมุ่งเสริมสร้างความรู้ของพลเมืองอาเซียน เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่กระจายข่าว ทั้งข่าวเท็จ ข่าวลือ ทั้งยังสนับสนุนให้ภาคประชาสังคมเข้ามาช่วยสร้างบรรทัดฐาน หลักการที่ถูกต้อง

“นายกรัฐมนตรีสั่งการว่า อยากเห็นสิ่งที่ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือได้นำมาใช้จริง เช่นเดียวกับความร่วมมือว่าด้วยการลดผลกระทบจากข่าวลือนี้ ซึ่งครอบคลุมถึงสื่อวิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต และข่าวปากต่อปาก เป็นต้น ซึ่งเมื่อรัฐบาลจะเข้ามาดำเนินการก็มักถูกกล่าวหาว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ขณะที่สื่อมวลชนเองก็ต้องการให้ภาครัฐ ได้นำสิ่งที่ลงนามในข้อตกลงกับนานาชาติมาปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีจึงฝากมาถามสื่อมวลชนไทยว่ายินดีร่วมในร่างปฏิญญาความร่วมมือดังกล่าวหรือไม่” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว