ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “คอมมานโดบุกรวบพระพุทธะอิสระ ข้อหาหนัก อั้งยี่ซ่องโจร-ปลอมพระปรมาภิไธย จับถอดผ้าเหลืองเข้าคุก” และ “ทรัมป์ยกเลิกคุยเกาหลีเหนือ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “คอมมานโดบุกรวบพระพุทธะอิสระ ข้อหาหนัก อั้งยี่ซ่องโจร-ปลอมพระปรมาภิไธย จับถอดผ้าเหลืองเข้าคุก” และ “ทรัมป์ยกเลิกคุยเกาหลีเหนือ”

26 พฤษภาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 19-25 พ.ค. 2561

  • คอมมานโดบุกรวบพระพุทธะอิสระ ข้อหาหนัก อั้งยี่ซ่องโจร-ปลอมพระปรมาภิไธย จับถอดผ้าเหลืองเข้าคุก
  • หมายจับบุกวัดดัง คุมตัวพระผู้ใหญ่ คดีเงินทอนวัด
  • กำนันรีเทิร์น ตั้ง “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” ดูดหนัก “เอนก-อดีต ปชป.-กปปส.”
  • นายกฯ ใจดี ใช้ ม.44 อุ้มทีวีดิจิทัล อนุญาต NBT มีโฆษณา
  • ทรัมป์ยกเลิกคุยเกาหลีเหนือ
  • คอมมานโดบุกรวบพระพุทธะอิสระ ข้อหาหนัก อั้งยี่ซ่องโจร-ปลอมพระปรมาภิไธย จับถอดผ้าเหลืองเข้าคุก


    คลิปหน่วยคอมมอนโดบุกจับพระพุทธะอิสระ ณ วัดอ้อมน้อย จังหวัดนครปฐม
    ที่มา: ยูทูบสปริงนิวส์ (https://www.youtube.com/watch?v=BKXUWe7VAng)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อเวลา 06.00น. วันที่ 24 พ.ค. พ.ต.อ. เด่นหล้า รัตนกิจ ผกก.ปพ. บก.ป. นำกำลังคอมมานโดเข้าจับกุม “พระพุทธอิสระ” หรือ “พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม” ที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม

    การบุกจับกุมนี้นั้นเนื่องมาจากข้อหาเป็นผู้ใช้ผู้อื่นทำร้ายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นผู้ใช้ให้ร่วมหน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นข่มขืนใจ เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปล้นทรัพย์ เป็นหัวหน้าอั้งยี่ซ่องโจรที่สมาชิกไปกระทำผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่ซ่องโจร และข้อหาปลอมแปลงพระปรมาภิไธย จากคดีสร้างพระเครื่อง “พระนาคปรก” รุ่น “หนึ่งในปฐพี” โดยใช้เลือด หรือกระทำปะสะโลหิต

    ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวพระพุทธอิสระไปฝากขังต่อศาลอาญา และพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว ซึ่งศาลพิจารณาแล้วก็อนุญาตให้ฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน และไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีที่อัตราโทษสูง และร่วมกันกระทำหลายคน เกรงว่าจะไปก่อความยุ่งเหยิงแก่พยาน ทำให้พระพุทธะอิสระต้องถอดจีวรออกแล้วสวมชุดสีขาวเพื่อเข้าสู่เรือนจำ ทว่า โดยสถานะแล้วนั้นยังไม่ถือว่าขาดจากความเป็นพระ เนื่องจากไม่มีการประกอบพิธีลาสิกขาและไม่มีการเปล่งวาจาลาสิกขา

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐ (https://www.thairath.co.th/content/1290689)

    อนึ่ง ในวันที่ 25 พ.ค. 2561 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า นายธีรยุทธ วรรณเกษร ทนายความของพระพุทธะอิสระ หรือนายสุวิทย์ ทองประเสริญ กล่าวว่า ขั้นตอนการประกันตัวนั้นจะรอทางพนักงานสอบสวนรวบรวมสำนวนคดีก่อน จึงจะยื่นประกันตัว ซึ่งยังระบุเวลาไม่ได้ ในส่วนของคดีทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่นั้น ทางหลวงปู่จะต่อสู้ในคดีนี้ แต่ในส่วนของคดีการแอบอ้างพระปรมาภิไธยนั้นทางหลวงปู่จะรับสารภาพ แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาแอบอ้าง เพราะหลวงปู่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ดุจชีวิต ซึ่งจะต้องขอพบหลวงปู่เพื่อดูรายละเอียดการรับสารภาพอีกครั้งต่อไป

    หมายจับบุกวัดดัง คุมตัวพระผู้ใหญ่ คดีเงินทอนวัด

    เมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 พ.ค. 2561 พล.ต.ต. ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม นำกำลังตำรวจกว่า 100 นาย พร้อมหมายศาล บุกค้นวัดดัง 3 แห่งในกรุงเทพฯ ประกอบด้วย วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย, วัดสัมพัธวงศารามวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์ และวัดสามพระยาวรวิหาร จากกรณีพัวพันเกี่ยวกับเรื่องเงินทอนวัด

    สำหรับการตรวจค้นวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้นำหมายจับจากศาลอาญารัชดา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน เนื่องจากกระทำความผิดอาญาคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม เข้าจับกุม พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และเจ้าคณะภาค 10 พระศรีคุณาภรณ์ (พระมหาบุญทวี คำมา) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระครูสิริวิหารการ (สมจิตร จิตฺตธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระวิจิตรธรรมาภรณ์ (เจ้าคุณเทอด) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และฆราวาสอีก 4 ราย คือ น.ส.นุชรา สิทธินอก หญิงแม่บ้านที่รับเงินโอนจากวัด, น.ส.ฆัมม์พร นิพนธ์พิทยา, นายธีระพงษ์ (ไม่ทราบนามสกุล) และนายทวิช สังข์อยู่ โดยทั้งสี่คนนั้นเกี่ยวข้องกับบริษัทดีดีทวีคูณ ไปจ้างผลิตสื่อให้วัดสระเกศ โดยในการเข้าจับกุมนั้น ไม่พบตัวพระพรหมสิทธิแต่อย่างใด ส่วนพระวิจิตรธรรมาภรณ์นั้นรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมิติเวช จึงนิมนต์ไปได้เพียงพระศรีคุณาภรณ์และพระครูสิริวิหารการ ส่วนพระวิจิตรธรรมาภรณ์นั้นเจ้าหน้าที่ได้นิมนต์ไปตามหมายจับในภายหลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ขณะที่วัดสามพระยาวรวิหาร เจ้าหน้าที่นำหมายจับศาลอาญารัชดา จับกุม พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และ พระอรรถกิจโสภณ เลขาเจ้าคณะกรุงเทพ ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน พร้อมตรวจค้นหาเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดี

    และ ณ วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร นำหมายจับศาลอาญารัชดา เข้าตรวจค้นหาตัวพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะภาค 4-7 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน แต่ไม่พบตัว จึงได้ตรวจค้นหาเอกสารหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการฟอกเงินเพื่อดำเนินคดีต่อไป

    โดยสรุปแล้ว ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่พบตัว พระพรหมสิทธิและพระพรหมเมธี

    ต่อมา วันที่ 24 พ.ค. 2561 ที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ยื่นคำร้องขอฝากขังไม่อนุญาตพระภิกษุ 5 รูป คือ พระครูวิจิตรธรรมาภรณ์  พระศรีคุณาภรณ์    พระครูสิริวิหารการ  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสสระเกศ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พร้อมพระอรรถกิจโสภณ เลขานุการ  ผู้ต้องหาคดีทุจริต เป็นเวลา 12 วัน จนถึงวันที่ 4 มิ.ย. 2561 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน จากกรณีที่ผู้ต้องหาทุจริตงบประมาณอุดหนุนโรงเรียนปริยัติธรรมและงบประมาณเผยแผ่ศาสนา ตั้งแต่ปี 2557 เป็นเงินรวมกันกว่า 150 ล้านบาท    ซึ่งทนายความของพระสงฆ์ทั้ง 5 รูป ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว   แต่ศาลพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่าเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูงและทำเป็นขบวนการ เกรงว่าหากปล่อยไปจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว จึงไม่อนุญาตให้ประกันตัวยกคำร้อง เจ้าหน้าที่จึงได้นิมนต์พระผู้ใหญ่มาทำพิธีลาสิขาบทให้กับพระสงฆ์ทั้ง 5 รูป ก่อนเปลี่ยนใส่ชุดสีขาว และให้เจ้าหน้าราชทัณฑ์ควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

    และในเวลาต่อมา สมเด็จพระอริยาวงศาคตาญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงมีพระบัญชาให้ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา, พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม และพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พ้นจากการเป็นกรรมการของมหาเถรสมาคม โดยเป็นการให้พ้นจากตำแหน่งไปก่อน หากสิ้นสุดกระบวนการทางกฎหมายแล้วพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความผิด ก็สามารถกลับมารับตำแหน่งได้

    เรียบเรียงจาก

    เว็บไซต์เดลินิวส์
    เว็บไซต์ไทยรัฐ
    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ
    เว็บไซต์มติชนออนไลน์

    กำนันรีเทิร์นตั้ง “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” ดูดหนัก “เอนก-อดีต ปชป.-กปปส.”

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/?p=1124653)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2561 มีรายงานข่าวถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งพรรคการเมืองของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. ในฐานะประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชน ว่า ล่าสุดได้ส่งเจ้าหน้าที่ประสานไปยัง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะมีการไปจดแจ้งชื่อ “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” โดยอย่างเร็วที่สุดอาจจะเป็นวันที่ 25 พ.ค. 2561 นี้

    โดยจะมีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อธิการบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ กรรมการคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง รวมถึงเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาพรรคการเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญ เป็นหัวหน้าพรรค และมีคนที่มีชื่อเสียงไปร่วมงานการเมืองอีกหลายคน เช่น พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายสุริยะใส กตะศิลา นายพิเชษฐ์ พัฒนโชติ นายสำราญ รอดเพชร และ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก เป็นต้น

    รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีการดึงตัวอดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมงานกับพรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นใหมนอกนายเชน เทือกสุบรรณ และนายธานี เทือกสุบรรณอดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี แล้ว อาจมีอดีต ส.ส.นราธิวาส ที่อาจตัดสินใจทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ไปสังกัดพรรครวมพลังประชาชาติไทยแล้ว 2 คน คือ นายสุรเชษฐ์ แวอาแซ และนายเจ๊ะอามิง โตะตาหยง ทั้งนี้มีการตั้งเป้าหมายว่าจะได้ ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งหน้าประมาณ 25-30 คน

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่านอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะประสบปัญหาอดีต ส.ส. ถูกดูดจากพรรคที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่โดยนายสุเทพแล้ว ยังถูกพรรคใหม่ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ดึงตัวด้วย โดยล่าสุดมีแนวโน้มว่านายพุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีต ส.ส. กทม. จะตัดสินใจไปร่วมงานกับพรรคการเมืองดังกล่าว ร่วมกับนายสกลธี ภัททิยะกุล และนายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ อดีต ส.ส. กทม.ที่ตัดสินใจทิ้งพรรคไปก่อนหน้านี้ รวมถึง นายชื่นชอบ คงอุดม อดีตส.ส.กทม. ที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไปทำงานกับพรรคพลังท้องถิ่นไททำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียอดีตส.ส.ให้กับพรรคการเมืองอื่นไม่ต่ำกว่า 8 คนแล้ว

    นายกฯ ใจดี ใช้ ม.44 อุ้มทีวีดิจิทัล อนุญาต NBT มีโฆษณา

    เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่า วันที่ 23 พ.ค. 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ในการบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ โดยมีสาระสำคัญคือ ให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล 22 ช่อง พักชำระหนี้ได้ไม่เกิน 3 ปี ให้กรมประชาสัมพันธ์ สามารถหารายได้จากการโฆษณาได้เท่าที่จำเป็นโดยไม่แสวงกำไร โดยมีเนื้อหาดังนี้

    ตามที่ได้มีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 76/2559 เรื่อง มาตรการส่งเสริมการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ลงวันที่ 20 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการที่สุจริต แต่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสังคม จึงไม่อาจชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้ทันภายในระยะเวลาที่กําหนดไปแล้วนั้น

    โดยที่ในปัจจุบันภาวะดังกล่าวยังคงปรากฏอยู่ และมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการแข่งขันทางธุรกิจ ในขณะที่ส่วนแบ่งรายรับจากการประกอบกิจการลดลง อีกทั้งพฤติกรรมการบริโภคสื่อของประชาชนก็เปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินความคาดหมายทางเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม (Technological Disruption) โดยเฉพาะการแก้ปัญหาในการเปลี่ยนผ่านระบบการส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์เป็นระบบดิจิทัล ซึ่งแม้ปัญหาดังกล่าวเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจและขึ้นอยู่กับความพร้อมและความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบกิจการ แต่มีบางส่วนเป็นความรับผิดชอบของภาครัฐที่จะต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึง การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และเสรีภาพของประชาชน

    นอกจากนั้น หากปล่อยให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนหรือผู้ประกอบกิจการที่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากรัฐในกิจการที่การลงทุนมีมูลค่าสูง และเป็นห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจและสังคมที่สําคัญก่อให้เกิดการจ้างงานและอาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องตามมาอีกเป็นอันมาก ซึ่งหากประสบภาวะวิกฤติก็จะส่งผลกระทบไปถึงภาคส่วนอื่นๆ และประชาชนในวงกว้าง รัฐจึงควรมีมาตรการบรรเทาความเสียหายแก่ผู้ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์อันเนื่องมาจากผลกระทบดังกล่าว เพื่อให้สามารถประกอบกิจการและชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้ในที่สุดบนพื้นฐานความเป็นจริงในสังคม โดยไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบและไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และความเป็นธรรมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนโดยพิจารณาไม่ให้ภาครัฐและประชาชนเสียหาย เมื่อเปรียบเทียบกับการบังคับการให้เป็นไปตามกติกาเดิมอย่างเคร่งครัด และการให้ผู้ประกอบกิจการได้ใช้เวลา โอกาสและทุนในการพัฒนาศักยภาพการให้บริการและการผลิตหรือการเผยแพร่รายการที่มีคุณภาพให้ทันต่อความต้องการของสังคม และเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

    ขณะเดียวกัน สมควรให้กรมประชาสัมพันธ์ในฐานะองค์กรสื่อของรัฐสามารถมีรายได้จากการโฆษณาได้ตามความจําเป็น และเพียงพอต่อการพัฒนาภารกิจด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพให้ทันต่อความต้องการของรัฐและสังคมตลอดจนทันต่อเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน โดยต้องไม่เป็นการประกอบธุรกิจที่มุ่งแสวงหากำไร ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กําหนด ซึ่งมาตรการบรรเทาความเสียหายเหล่านี้ได้รับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว และถือว่าเป็นกรณีจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปกิจการด้านสื่อสารมวลชนซึ่งจะทําให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีความมั่นคงและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

    อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้

    ข้อ 1 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ 2 ในกรณีที่เห็นสมควร นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบ แห่งชาติเปลี่ยนแปลงคําสั่งนี้ได้

    ส่วนที่ 1
    กรณีผู้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล

    ข้อ 3 ในส่วนนี้

    “คําสั่งที่ 76/2559” หมายความว่า คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 76/2559 เรื่อง มาตรการส่งเสริมการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ

    “ประกาศ” หมายความว่า ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้ บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ พ.ศ. 2556

    “ผู้รับใบอนุญาต” หมายความว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ ในระบบดิจิตอลจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

    ข้อ 4 ให้ผู้รับใบอนุญาตที่ต้องชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ตามคําสั่ง ที่ 76/2559 ชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ ในส่วนที่เหลือตั้งแต่งวดที่สองเป็นต้นไป สําหรับผู้รับใบอนุญาตตามประกาศ ให้ชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ ในส่วนที่เหลือตั้งแต่งวดที่ห้าเป็นต้นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดในข้อ 12 ของประกาศ

    ข้อ 5 ผู้รับใบอนุญาตตามคําสั่งที่ 76/2559 หรือประกาศรายใดไม่สามารถชําระ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในงวดที่เหลือตามข้อ 4 ให้ผู้รับใบอนุญาตรายนั้นแจ้งเป็น หนังสือไปยังสํานักงาน กสทช. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับเพื่อขอพักชําระ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ตามคําสั่งที่ 76/2559 หรือประกาศ

    ให้สํานักงาน กสทช.พิจารณาการพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ให้กับ ผู้รับใบอนุญาตที่แจ้งตามวรรคหนึ่งและกําหนดระยะเวลาการพักชําระค่าธรรมเนียมซึ่งต้องไม่เกินสามปี นับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบจากสํานักงาน กสทช.

    ทั้งนี้ ผู้รับใบอนุญาตยังคงต้องปฏิบัติตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่นตามคําสั่งที่ 76/255
    9 หรือประกาศ หน้า 14 เล่ม 135 ตอนพิเศษ 117 ง ราชกิจจานุเบกษา 23 พฤษภาคม 2561
    ในระหว่างเวลาพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ตามวรรคสองให้ผู้รับ ใบอนุญาตชําระดอกเบี้ยในวันที่ครบกําหนดชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในแต่ละงวด ให้แก่สํานักงาน กสทช.โดยให้ชําระดอกเบี้ยในอัตราเท่ากับอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คณะกรรมการ นโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศกําหนด

    เมื่อครบกําหนดระยะเวลาขอพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ตามวรรคสองแล้ว ให้ผู้รับใบอนุญาตชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในงวดที่เหลือตามข้อ 4 ให้ครบถ้วนต่อไป

    ข้อ 6 การพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ตามข้อ 5 ไม่เป็นการตัดสิทธิ ผู้รับใบอนุญาตที่จะขอชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในงวดที่เหลือตามข้อ 4 โดยให้ ผู้รับใบอนุญาตแจ้งเป็นหนังสือไปยังสํานักงาน กสทช. ล่วงหน้าสามสิบวันก่อนครบกําหนดชําระค่าธรรมเนียม ใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ตามคําสั่งที่ 76/2559 หรือประกาศ

    ข้อ 7 การขอพักชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ตามข้อ 5 มิให้นํามาใช้ บังคับกับผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล ประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ ที่ขอยกเลิกการประกอบกิจการหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์และใบอนุญาต ให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการดังกล่าวก่อนวันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ

    ข้อ 8 ให้ กสทช. และสํานักงาน กสทช. หรือคณะกรรมการบริหารกองทุนวิจัย และพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ แล้วแต่กรณี จัดให้มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเช่าใช้โครงข่ายโทรทัศน์ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล (MUX) ให้กับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล เป็นจํานวนเงินในอัตราร้อยละห้าสิบของค่าเช่าใช้โครงข่ายโทรทัศน์ดังกล่าวเป็นระยะเวลายี่สิบสี่เดือน นับแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ การดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้จ่ายเงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งเหลือจ่ายจากการดําเนินโครงการ สนับสนุนประชาชนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรับชมโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล โดยให้คํานึงถึง การใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน

    ข้อ 9 ให้ผู้รับใบอนุญาตจัดทําผังรายการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ การประกอบกิจการที่ได้รับใบอนุญาต มีการผลิตรายการหรือการดําเนินรายการที่ดี ให้ข้อมูลที่มีความถูกต้อง ชัดเจน มีสาระและเป็นประโยชน์ต่อสังคม เนื้อหารายการมีความหลากหลาย ไม่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรมอันดีของประชาชน ตลอดจนเปิดโอกาสให้คนพิการหรือคนด้อยโอกาสมีโอกาสเข้าถึงหรือ ใช้ประโยชน์จากรายการที่ออกอากาศได้อย่างเสมอภาคกับบุคคลทั่วไปโดยให้ผู้รับใบอนุญาตดําเนินการ ตามหมวด 2 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 อย่างเคร่งครัด หน้า 15 เล่ม 135 ตอนพิเศษ 117 ง ราชกิจจานุเบกษา 23 พฤษภาคม 2561

    การดําเนินการตามวรรคหนึ่งให้สํานักงาน กสทช. มีหน้าที่ตรวจสอบหากพบว่าผู้รับใบอนุญาต ไม่ปฏิบัติตามที่กําหนดในวรรคหนึ่ง ให้สํานักงาน กสทช. พิจารณายกเลิกการพักชําระค่าธรรมเนียม ใบอนุญาตและให้ผู้รับใบอนุญาตชําระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในงวดที่เหลือตามข้อ 4 ให้ครบถ้วนต่อไป

    ส่วนที่ 2
    มาตรการส่งเสริมการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์

    ข้อ 10 ในการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ของกรมประชาสัมพันธ์ ตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 กรมประชาสัมพันธ์อาจมีเงินรายได้จากการโฆษณาได้เท่าที่จําเป็นและเพียงพอต่อการผลิตรายการ ตามวัตถุประสงค์โดยต้องไม่เป็นการมุ่งต่อการแสวงหากําไรทางธุรกิจ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ กสทช. ประกาศกําหนด

    ในการกําหนดหลักเกณฑ์ตามวรรคหนึ่ง ให้ กสทช. คํานึงถึงผู้บริโภค ต้นทุนในการผลิตรายการ และความเป็นธรรมในการแข่งขันที่จะมีผลกระทบต่อผู้รับใบอนุญาตประเภทอื่นด้วย โดยให้มีระยะเวลาสูงสุด ในการโฆษณาได้ตามที่ กสทช. กําหนด

    สั่ง ณ วันที่ 23 พฤษภาคม พุทธศักราช 2561
    พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

    ที่มาภาพ : https://gdb.voanews.com/11CAF368-DFD6-4C6C-A0DB-E4E96F79E234_w1023_r1_s.jpg

    ทรัมป์ยกเลิกคุยเกาหลีเหนือ

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า หลังจากเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ตัดสินใจยกเลิกการหารือระดับผู้นำสูงสุดระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือลงแล้วโดยระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของความโกรธเคืองและการแสดงความเป็นปฏิปักษ์อย่างเปิดเผยของ คิม จองอึน ผู้สูงสุดเกาหลีเหนือ ผู้ที่ข่มขู่สหรัฐฯ ด้วยการเผชิญหน้ากันด้วยอาวุธนิวเคลียร์

    ล่าสุด หลังจากการประกาศยกเลิกฉับพลันของทรัมป์ ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ กล่าวว่า ยังคงเต็มใจที่จะรอพบทรัมป์เมื่อใดก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆ

    คิม คิวกวาน เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาโดยสำนักข่าวของประเทศ KCNA ว่า การตัดสินใจของทรัมป์เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับความปรารถนาของประชาคมโลก ที่ต้องการสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี

    “เรายังยืนกรานไปถึงสหรัฐฯ ว่าเรายังรอที่จะได้พบปะกับทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด เเละในลักษณะอย่างไรก็ตาม ผมอยากสรุปคำประกาศของทรัมป์ในที่ประชุมสุดยอดผู้นำ การตัดสินใจของทรัมป์ในครั้งนี้ไม่สอดคล้องกับผู้ต้องการจะเห็นสันติภาพ เเละความมั่นคงของคาบมหาสมุทรเกาหลีเเละทั่วโลก”

    นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังชื่นชมที่ทรัมป์ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ เเละยอมรับในความเป็นจริง การยกเลิกประชุมสุดยอดผู้นำอย่างกระทันหัน เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด ซึ่งเกาหลีเหนือไม่สามารถช่วยได้ เป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก