ThaiPublica > เกาะกระแส > “ทศ-ญนน์” เผยยุทธศาสตร์กลุ่มเซ็นทรัล “NEW CENTRAL, NEW ECONOMY” ก้าวสู่ผู้นำดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม

“ทศ-ญนน์” เผยยุทธศาสตร์กลุ่มเซ็นทรัล “NEW CENTRAL, NEW ECONOMY” ก้าวสู่ผู้นำดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม

5 มีนาคม 2018


นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2561 กลุ่มเซ็นทรัล (Central Group) แถลงข่าวผลการดำเนินงานตลอด 5 ปี พร้อมประกาศแผนธุรกิจปี 2561 และยุทธศาสตร์ใหม่ที่จะนำพากลุ่มเซ็นทรัลสู่การเป็น “นิวเซ็นทรัล นิวอีโคโนมี” (NEW CENTRAL, NEW ECONOMY) ทั้งในด้านเทคโนโลยีและผู้นำดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม (Market Leader in Digi-Lifestyle Platform) และเน้นร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำของโลกในการเสริมแกร่งธุรกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคนและชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับกลุ่มเซ็นทรัล

นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เผยว่า ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลได้ยึด 3 ยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินธุรกิจ คือ 1) มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกไลฟ์สไตล์-บริการ (Lifestyle & Service Retailing) 2) ขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจด้วยการร่วมมือกับพันธมิตร และ 3) การควบรวมกิจการ

ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2556-2560 กลุ่มเซ็นทรัลได้สร้างผลงานความสำเร็จในหลายมิติ ทั้งในด้านผลประกอบการที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ปี โดยในปี 2560 สัดส่วนของผลประกอบการก็เป็นที่น่าพึงพอใจ โดยแบ่งออกเป็น ยอดขายในประเทศไทย 72%, ยอดขายในยุโรป 15% และยอดขายในประเทศเวียดนาม 13% และมีการเติบโตของยอดขายทั้งกลุ่มเซ็นทรัลเฉลี่ยมากกว่า 11% ในรายละเอียดพบว่าการเติบโตของยอดขายในต่างต่างประเทศเติบโตค่อนข้างสูง

โดยในยุโรปเติบโต 24% จาก 12,000 ล้านบาทเป็น 51,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ ของกลุ่มเซ็นทรัลในทวีปยุโรป ได้แก่ ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ประเทศอิตาลี, ห้างสรรพสินค้าอิลลุม ประเทศเดนมาร์ก และห้างสรรพสินค้ากลุ่มคาเดเว (ห้างคาเดเว, ห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ และห้างอัลสแตร์เฮ้าส์) ประเทศเยอรมนี ขณะที่เวียดนามเติบโตถึง 340% จาก 120 ล้านบาทเป็น 44,800 ล้านบาท

“ในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายราว 397,308 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 14% จากปี 2560 และทุ่มงบประมาณกว่า 47,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.8% จากปี 2560 ซึ่งส่วนนี้จะเป็นเฉพาะโครงการที่วางแผนจะทำแล้ว ยังไม่ได้รวมโครงการใหม่ในอนาคต เพื่อขยายการลงทุนต่อเนื่องทั้งในและนอกประเทศ พร้อมพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า” นายทศกล่าว

สำหรับการขยายสาขาของกลุ่มเซ็นทรัล ปัจจุบันมีสาขาร้านค้าในประเทศไทย 4,970 ร้านค้าใน 38 จังหวัด โดยมีสัดส่วนระหว่างสาขาในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นจาก 5 ปีที่แล้วจาก 80 ต่อ 20 เป็น 54 ต่อ 46 และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,509 ร้านค้าใน 52 จังหวัด โดยมีสัดส่วนระหว่างต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ เท่าๆ กัน

ขณะที่ร้านค้าในเวียดนามในปัจจุบันมีอยู่ 217 ร้านค้า ครอบคลุมพื้นที่กว่า  700,000 ตารางเมตร ใน 37 จังหวัด แบ่งเป็นธุรกิจศูนย์การค้า 31 แห่ง เช่น บิ๊กซี, ธุรกิจอาหาร 59 แห่ง เช่น บิ๊กซี, ลานชีมาร์ท, ธุรกิจแฟชั่น 49 แห่ง เช่น โรบินส์, เดลาลา, ซูเปอร์สปอร์ต และ มาร์คแอนด์สเปนเซอร์, ธุรกิจฮาร์ดไลน์ 78 แห่ง เช่น เหงียนคิม, บีทูเอส และธุรกิจออนไลน์ 3 แพลตฟอร์ม เช่น เว็บไซต์ NguyenKim.vn, Robins.vn และ B2S.com.vn ขณะที่ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2565) จะมีร้านค้าทั้งหมดรวมกว่า 753 ร้าน ครอบคลุมพื้นที่กว่า  2,500,000 ตารางเมตร ใน 57 จังหวัดทั่วประเทศ โดยพนักงานของกลุ่มเซ็นทรัลในประเทศเวียดนามมีมากกว่า 17,000 คน พร้อมให้บริการลูกค้าที่มาใช้บริการไม่ต่ำกว่า 175,000 คนต่อวัน

นอกจากนี้กลุ่มเซ็นทรัลยังประสบความสำเร็จในด้านการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำและบริษัทคู่ค้าแนวหน้าระดับโลก ที่ให้ความไว้วางใจ เชื่อมั่นในกลุ่มเซ็นทรัล และพร้อมที่จะนำความแข็งแกร่งมาเสริมให้ธุรกิจร่วมเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปด้วยกัน เช่น ดุสิตธานี สร้างโครงการมิกซ์ยูสบนถนนสีลม-พระราม 4, เจดีดอทคอม สร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่ JD.co.th และพัฒนาอีโลจิสติกส์ อีไฟแนนซ์, ฮ่องกงแลนด์  สร้างโครงการมิกซ์ยูสบนถนนเพลินจิต และอิเกียแห่งใหม่ที่จะเปิดเชื่อมต่อกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 นี้

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานของกลุ่มเซ็นทรัล

ด้านนายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานของกลุ่มเซ็นทรัล ได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์ 5 ปี หรือยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับปี 2561-2565 ที่จะนำพากลุ่มเซ็นทรัลสู่การเป็น ‘นิวเซ็นทรัล นิวอีโคโนมี’ (NEW CENTRAL, NEW ECONOMY) ครองตำแหน่งผู้นำด้านดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม (Digi-Lifestyle Platform) แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เหนือกว่าและครองใจลูกค้าตลอดกาล โดยดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มจะถูกพัฒนาในทุกกลุ่มธุรกิจในเครือของกลุ่มเซ็นทรัล รวมถึงต่อยอดไปยังธุรกิจใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผ่านการขับเคลื่อนใน 3 มิติสำคัญ คือ

  1. ข้อมูล (Data) จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดจากทุกกลุ่มธุรกิจไว้บนระบบคลาวด์ เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจที่ตรงกันเกี่ยวกัพฤติกรรมของลูกค้าเชิงลึก (single view of customer) และสามารถมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าคนพิเศษ
  2. ลอยัลตี้และการตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล (Loyalty & Personalized Experience) ผ่านทางแพลตฟอร์มใหม่ของเดอะวัน (The 1) จะทำให้กลุ่มเซ็นทรัลสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับลูกค้า และตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลได้ดียิ่งขึ้น
  3. ออมนิแชแนลแพลตฟอร์ม (Omnichannel Platform) พัฒนาให้ทุกธุรกิจในเครือของกลุ่มเซ็นทรัลก้าวสู่การเป็นออมนิแชแนลแพลตฟอร์มอย่างแท้จริง สามารถเชื่อมต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งระหว่างโลกออฟไลน์และออนไลน์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทุกที่ ทุกเวลา

นอกจากนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังร่วมทุนกว่า 17,500 ล้านบาท กับ JD.Com ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน ในการจัดตั้ง เจดี เซ็นทรัล (JD CENTRAL) สร้างมาร์เก็ตเพลส (Marketplace) แห่งใหม่ในชื่อ JD.co.th เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าของกลุ่มธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนให้เกิดดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มอย่างรวดเร็วและครบวงจรยิ่งขึ้น โดยภายในเดือนพฤษภาคมนี้ เว็บไซต์ JD.co.th จะพร้อมเปิดให้บริการแก่ลูกค้า รวมถึงเปิดโอกาสให้สินค้าไทยและสินค้าเอสเอ็มอีได้เผยแพร่สู่ตลาดโลก

ทั้งนี้ การร่วมทุนกับ JD.com ไม่เพียงทำให้เกิดมาร์เก็ตเพลซแห่งใหม่ แต่ยังสร้างอีก 2 ธุรกิจใหม่ที่เปี่ยมศักยภาพให้กับกลุ่มเซ็นทรัล คือ 1) อีโลจิสติกส์ (E-Logistics) กลุ่มเซ็นทรัลจะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์รายใหญ่ของประเทศไทย พร้อมบริการออนดีมานด์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และ 2) อีไฟแนนซ์ (E-Finance) กลุ่มเซ็นทรัลมุ่งหน้าสู่การเป็นบริษัทฟินเทค (Fintech) เต็มตัว ให้บริการด้านการเงินอย่างครบวงจร (one stop – integrated financial system) ครอบคลุมทั้งบริการอีเพย์เมนต์ (E-Payment) และอีไฟแนนเชียล (Financial) สำหรับทั้งลูกค้า และซัพพลายเออร์ อย่างไรก็ตาม รายละเอียดยังคงต้องรอการสรุปอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังมียุทธศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับคนและชุมชน โดยกลุ่มเซ็นทรัลถือเป็นผู้สร้างงานรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ด้วยจำนวนพนักงานมากว่า 220,000 คน และพนักงานผู้พิการอีกมากกว่า 700 คน ซึ่งกลุ่มฯ ยังคงต้องสรรหาและส่งเสริมพนักงานที่เก่ง ดี และมีความสามารถในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านดิจิทัล พร้อมมุ่งมั่นสร้างวัฒนธรรมการทำงานรูปแบบใหม่

เช่น การให้โอกาสพนักงานได้ร่วมงานกับผู้บริหารระดับสูงอย่างใกล้ชิด, การจัดกิจกรรมเวิร์กชอป และโค้ชชิ่งที่หลากหลาย, การสร้างแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ดีๆ ในที่ทำงาน ทั้งการปรับปรุงพื้นที่ทำงานให้น่าอยู่ และสนับสนุนให้พนักงานได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการซีจี ชาเลนจ์ (CG Challenge) โครงการที่ให้พนักงานรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือ และความคิดสร้างสรรค์ในการครีเอตโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี

“ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของผู้บริหารก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มคิดว่าต้องเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ๆ ที่มีความสามารถมีความเข้าใจใหม่ๆ ที่ดีกว่าในด้านเทคโนโลยี เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว เราก็ต้องปรับเปลี่ยนตาม ส่วนผู้บริหารจะผลักดันเป็นที่ปรึกษาคอยจัดการภาพรวมมากขึ้น” นายทศกล่าว

ในแง่ชุมชนชุมชน (Community) กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม ภายใต้โครงการ “เซ็นทรัลทำ” ที่มีภารกิจหลักในการพัฒนา 4 เสา คือ คน, ชุมชน, สิ่งแวดล้อม, สันติภาพ และวัฒนธรรม โดยมีจุดประสงค์ คือ   1) สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน โดยเริ่มต้นจากการปลูกฝังให้นักเรียนได้ทดลองทำงานจริง เช่น งานเกษตรกรรม, งานฝีมือ รวมไปถึงจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อผู้พิการ ในการนำความรู้ไปประกอบอาชีพ เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมเกษตรกรในการเพาะปลูก ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า และสนับสนุนช่องทางการจัดจำหน่ายภายในเครือกลุ่มเซ็นทรัลให้กับสินค้าจากชุมชนต่างๆ เช่น ผักจากชุมชนบ้านน้ำดุกใต้ โดยปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลได้ช่วยเหลือชุมชนไปแล้ว 481 ชุมชน พัฒนาสินค้าชุมชนกว่า 4,500 รายการ สร้างรายได้กว่า 967 ล้านบาท กลับคืนสู่ชาวบ้านไม่ต่ำกว่า 10,000 ครัวเรือน

2) สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เช่น สนับสนุนเครื่องกรองน้ำให้เด็กนักเรียนและครูได้บริโภคน้ำสะอาด รวมถึงดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในหลากหลายมิติ เช่น การจัดทำหลังคาโซลาร์ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า, ติดตั้งเครื่องรีไซเคิลขยะขวดพลาสติก ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ติดตั้งเครื่องชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า บริเวณลานจอดรถ และโครงการเพื่อสังคมอีกมากมาย เช่น การสมทบทุนสร้างบ้านพิงพัก เพื่อผู้ป่วยมะเร็งสตรีที่ยากไร้ และการปรับปรุงห้องน้ำต้นแบบสวนลุมพินี เป็นต้น