ThaiPublica > คอลัมน์ > มหาวิทยาลัยตอบสนอง-ชี้นำ-เตือนสติ

มหาวิทยาลัยตอบสนอง-ชี้นำ-เตือนสติ

23 กุมภาพันธ์ 2018


วรากรณ์ สามโกเศศ

วิกฤติมหาวิทยาลัยไทยในเรื่องธรรมาภิบาลของการบริหาร และการไม่มีนักศึกษาเข้าเรียนเป็นเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องสมควรเพราะมหาวิทยาลัยของรัฐใช้เงินภาษีของประชาชน อย่างไรก็ดี ทุกปัญหามีทางออกทั้งนั้นหากใช้สติปัญญาและยอมรับ “ราคา” ที่ต้องจ่าย

การที่สังคมไทยมีคนสูงวัยเป็นสัดส่วนมากขึ้นและมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาให้สอนน้อยลงอาจมองได้ว่าเป็นโอกาส ขึ้นอยู่กับว่าจะมองด้วย “แว่นตา” สีใด การมีผู้สูงวัยจำนวนมากขึ้นเป็นโอกาสที่ชัดเจนสำหรับโอกาสทางธุรกิจ และการมีจำนวนนักศึกษาน้อยลงก็เป็นโอกาสของมหาวิทยาลัยที่จะรับใช้ผู้เป็นเจ้าของอย่างจริงจังทั้งในด้านการตอบสนอง การชี้นำ และเตือนสติ

มหาวิทยาลัยผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพตรงกับที่ตลาดต้องการคือการตอบสนอง ส่วนการชี้นำนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพราะตลาดอาจไม่ต้องการบัณทิตมากแต่สังคมอาจต้องการมากก็เป็นได้ เช่น นักโบราณคดี นักวิชาการดนตรี นักคณิตศาสตร์ นักสังคมสงเคราะห์ นักสังคมจิตวิทยา นักกีฏวิทยา ฯลฯ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่ต้องชี้นำเพื่อประโยชน์ของสังคมในระยะกลางและยาว

ส่วนการเตือนสตินั้นเป็นบทบาทสำคัญเพราะมหาวิทยาลัยเป็นทั้งแขนขาและมันสมองของสังคมด้วย บางครั้งตลาดและสังคมอาจเพลิดเพลินไปกับ “แสงสี” จนลืมบางอย่างไป ตัวอย่างได้แก่การสอนเรื่องการรู้จักใช้เงิน การรับเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาดำเนินชีวิตและกำหนดนโยบายขององค์กร การอบรมเลี้ยงดูและสั่งสอนลูกหลาน การต่อสู้เพื่อให้คุณธรรมกลับมาเป็นหลักในการครองชีวิต ฯลฯ

ศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต ชี้ให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยต้องมีบทบาทในการตอบสนอง ชี้นำ และเตือนสติ เพราะมหาวิทยาลัยเป็นทั้งแขนขาและมันสมองของสังคมที่ตนเองต้องรับใช้

ในเรื่องการเลี้ยงดูและบ่มเพาะลูกให้เติบโตเป็นคนมีคุณภาพของสังคม ผู้เขียนได้มีโอกาสชมวีดิทัศน์ในโทรทัศน์และโซเชียลมีเดีย เรื่อง “จ๊ะเอ๋” เล่นกับลูกของพ่อแม่ ซึ่ง สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) เป็นผู้สนับสนุนเมื่อเร็วๆ นี้ และชอบมาก ปัจจุบันมีคนกดดูแล้ว 12 ล้านครั้ง ซีรีย์นี้ของ สสส. ตั้งใจให้ความรู้แก่พ่อแม่ในเรื่องการเลี้ยงดูลูกโดยเลือกเอาเนื้อหาทางวิชาการมาเผยแพร่แบบง่ายๆ ปนกับอารมรณ์ขันอย่างน่ารัก

การเล่น “จ๊ะเอ๋” เอามือบังหน้าและเปิดหน้ากับทารกนั้น ในทางวิชาการเป็นการเล่นที่มีประโยชน์เพราะเป็นการกระตุ้นให้สมองเห็นภาพ การเคลื่อนไหว และน้ำเสียงที่สนุกสนาน อีกทั้งทำให้เด็กเข้าใจการปรากฏและไม่ปรากฏตัว (ของหน้าพ่อแม่เวลาเปิดปิดหน้า) อีกด้วย การเล่นง่ายๆ ที่ไม่มีต้นทุนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทารก

ตัวอย่างนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับมหาวิทยาลัยไทยว่าสามารถมีบทบาทต่อสังคมในแนวเดียวกันได้อย่างไม่ยาก เพราะมีทั้งอาคารสถานที่ อุปกรณ์ เงินทอง และคณาจารย์ในยามที่หลายคนบอกว่าเป็นวิกฤติเพราะอาจารย์ไม่มีชั่วโมงสอน ห้องเรียน ห้องสมุด และอุปกรณ์ มีการใช้น้อยลง

อย่างไรก็ดี ก่อนที่มหาวิทยาลัยจะมีบทบาทดังกล่าวได้ดี บุคลากรโดยเฉพาะผู้บริหารและคณาจารย์ต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติฝังใจ (mindset) ที่ว่าเราเป็นมหาวิทยาลัยดังนั้นจึงต้องมุ่งสู่การผลิตปริญญาและมีงานวิจัยในระดับโลก (ที่อาจไม่มีประโยชน์ต่อสังคมโดยตรงแต่ทำให้มหาวิทยาลัยมีอันดับสูงขึ้น อาจารย์ก็มีตำแหน่งวิชาการสูงขึ้น) ส่วนงานบริการสังคมนั้นเป็นงานแถม

ผู้เขียนขอยกตัวอย่างสักเรื่องที่สังคมไทยต้องการความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยอย่างเร่งด่วน ขณะนี้ครอบครัวไทยกำลังแตกสลาย “ครอบครัวอบอุ่น” อันเป็นฐานสำคัญของการสร้างอุปนิสัยและบุคลิกภาพอันเหมาะสมสำหรับเด็ก ตลอดจนการเรียนรู้สิ่งงดงามนั้นหาได้ยาก

ผู้เขียนสังเกตเห็นว่าแทบไม่มีแม่บ้านและพนักงานรักษาความปลอดภัยคนใดที่ครอบครัวอยู่กินเป็นปกติสุข แทบทุกคนเลิกกับสามีหรือภรรยา จนพ่อแม่ลูกอยู่คนละทาง อย่างไม่มีโอกาสได้อบรมสั่งสอนลูกอย่างที่ควรจะเป็น ในครอบครัวที่มีฐานะพอมั่นคงขึ้น เช่น ทำงานออฟฟิศ หรือทำงานอิสระ ภาพเป็นเช่นเดียวกันทั้งหมดคือเอาลูกไปให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง และในหลายกรณีมากนำไปสู่ปัญหาหนักอก

ถึงแม้จะรักหลานแต่ต้องไม่ลืมว่าปู่ย่าตายายเหล่านี้เติบโตขึ้นในช่วง 50-60 ปีก่อน ซึ่งสภาพแวดล้อมแตกต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง การนำเอารูปแบบและวิธีที่ตนเองเคยถูกเลี้ยงดูมาใช้จึงขาดประสิทธิภาพ สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง

ในหลายกรณีปู่ย่าตายายก็ตามใจ หรือไม่ก็ละเลย ขาดความสัมพันธ์อันใกล้ชิด เพียงแต่ว่าอยู่ด้วยกันเท่านั้น โดยหลานมิได้ไยดี รักด้วยใจ หากอยู่เพราะไม่มีทางเลือก เด็กที่เติบโตในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้บวกกับการรับสารที่ไม่เหมาะสมผ่านโซเชียลมีเดีย วัฒนธรรมยาเสพติด ความสัมพันธ์ทางเพศที่เสรี ฯลฯ ที่เหลือจึงมีแต่ปัญหา และเด็กเหล่านี้คือวัตถุดิบของสังคมเราในภายภาคหน้า ซึ่งจะมาทดแทนพวกเรา

สำหรับพ่อแม่ที่อยู่ด้วยกันเป็นปกติสุข ก็มีปัญหาเหมือนกันในหลายกรณีจนเรียกว่ากำลังเพาะพันธุ์ “ชั่วคนสตรอว์เบอร์รี” (strawberry generation) กล่าวคือชอกช้ำได้ง่ายเหลือทน เรื่องก็คือพ่อแม่ลำบากมามาก ฝ่าฟันเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะขึ้นมาเป็นคนชั้นกลางขึ้นไปได้ ดังนั้นเมื่อมีลูกจึงสงสารอยากให้สบาย ตามใจ ไม่อยากบังคับลูกจนบั่นทอนความสุข ไม่ต้องการให้ลูกต้องพานพบอุปสรรคหรือความยากลำบาก ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ในบ้าน (“เรียนอย่างเดียว” จะได้ก้าวหน้า) เมื่อถูกเลี้ยงมาเช่นนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องอ่อนแอ ชอกช้ำได้ง่าย ไม่สู้โลก ไม่กล้ายืนหยัดบนขาตัวเองอย่างเต็มที่

เด็กที่มีลักษณะของการขาดวินัย ถูกตามใจ ขาดประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหา ฯลฯ มักนำไปสู่การขาด “will” (ความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ) เรียกภาษาสมัยใหม่ว่ามีชีวิตชิลๆ และนี่คือ “ราคา” ของการก้าวขึ้นมาเป็นคนมีฐานะหากไม่ระมัดระวังการเลี้ยงดูลูกให้ดี

มหาวิทยาลัยไทยมีศักยภาพมหาศาลหากร่วมมือกับเครือข่ายทุ่มเทแก้ไขปัญหาครอบครัวไทย ไม่ว่าด้วยงานวิจัย การเปิดหลักสูตรอบรมแก่พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย การเผยแพร่ความจริงผ่านโซเชียลมีเดียให้สังคมได้ตระหนักและร่วมกันแก้ไข

การอบรมเลี้ยงดูลูกไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียน ไม่ว่าในระดับใดทั้งสิ้นทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง การลองผิดลองถูกใช้กันมายาวนานในสมัยโลกเปลี่ยนแปลงช้าๆ อย่างเป็นสุข แต่สำหรับโลกปัจจุบันวิธีการเดิมนั้นดูจะมี “ราคา” แพงเกินไป โดยเฉพาะหากลองผิดในตอนต้นของชีวิตแล้ว โอกาสกลับตัวมาลองถูกอีกครั้งนั้นมันมีน้อยมาก

หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” กรุงเทพธุรกิจ อังคาร 20 ก.พ. 2561