ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: สรุปเหตุการณ์ ‘น้องเมย’ นร.เตรียมทหาร ตาย และ “บังกลาเทศ-เมียนมา ‘จับมือ’ ส่งโรฮิงญากลับบ้าน”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: สรุปเหตุการณ์ ‘น้องเมย’ นร.เตรียมทหาร ตาย และ “บังกลาเทศ-เมียนมา ‘จับมือ’ ส่งโรฮิงญากลับบ้าน”

25 พฤศจิกายน 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 18-24 พ.ย. 2560

  • สรุปเหตุการณ์ “น้องเมย” นร.เตรียมทหาร ตาย-อวัยวะภายในหาย
  • ศาลยกคำร้องขอรื้อคดีครูจอมทรัพย์ สาวต่อ สงสัยมีขบวนการรับผิดแทน
  • BEM แจง “ถอดเก้าอี้ MRT” แค่ทดลองดำเนินการ – เผย สั่งเพิ่ม 35 ขบวน ทยอยใช้ปี 62
  • 72 เอ็นจีโอประกาศจุดยืนไม่ขอเข้าร่วมกับกลไกสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลทหาร
  • บังกลาเทศ-เมียนมา “จับมือ” ส่งโรฮิงญากลับบ้าน
  • สรุปเหตุการณ์ “น้องเมย” นร.เตรียมทหาร ตาย-อวัยวะภายในหาย

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (https://goo.gl/PT1qmD)

    นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตในวันที่ 17 ต.ค. 2560 หรือคือภายหลังจากที่กลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เพียง 1 วัน

    นายพิเชษฐ ตัญกาญจน์ นางสุกัลยา ตัญกาญจน์ บิดาและมารดาของนายภคพงศ์ ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการตายของบุตรชายตนเอง เนื่องจากในใบมรณบัตรนั้นระบุเพียงว่าเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน แต่ทั้งสองไม่ได้รับการอธิบายเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่นำไปสู่ภาวะอันนำมาซึ่งการเสียชีวิตดังกล่าว

    24 ต.ค. 2560 มีพิธีฌาปนกิจศพของนายภคพงศ์ ณ วัดวิเวการาม ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ทว่า ครอบครัวของนายภคพงศ์ได้แอบนำศพของนายภคพงศ์ออกไปจากโลงศพก่อนที่จะมีพิธีฌาปนกิจแล้ว โดยนำร่างของนายภคพงศ์ไปให้โรงพยาบาลแห่งหนึ่งทำการชันสูตร ก่อนจะพบความจริงว่า กระดูกไหปลาร้าของนายภคพงศ์หักทั้ง 2 ข้าง กระดูกซี่โครงหัก 4 ซี่ มีรอยช้ำขนาดเท่ากำปั้นในช่องท้องด้านขวา ด้านหลังภายในซีกซ้ายมีรอยช้ำ และที่ยิ่งไปกว่านั้น อวัยวะภายในของนายภคพงศ์ 3 ส่วน คือ สมอง หัวใจ และกระเพาะอาหาร หายไปจากร่างของนายภคพงศ์ โดยภายในกะโหลกศีรษะนั้นมีกระดาษทิชชู่ยัดไว้แทน

    ต่อเรื่องดังกล่าว วันที่ 21 พ.ย. 2560 เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า พลเอก ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ย้ำว่า ที่ผ่านมา ทางโรงเรียนเตรียมทหาร ได้ส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า และมีการชี้แจงกับผู้ปกครองไปแล้วหลายครั้ง ว่า แพทย์ได้ตัดอวัยวะบางส่วนนำไปผ่าพิสูจน์ แต่เป็นเพียงชิ้นเนื้อเล็กน้อย รวมทั้งทางโรงเรียนเตรียมทหารก็ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จนถึงขั้นตอนการฌาปนกิจ

    กระนั้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ซึ่งต่อมา ในวันที่ 22 พ.ย. 2560 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า พ.ท. นรุฏฐ์ ทองสอน นายแพทย์กองพยาธิ ศูนย์อำนวยการพระมงกุฎเกล้า แพทย์ผู้ชันสูตรศพ นายภคพงศ์ เปิดเผยว่า ได้เก็บสมอง หัวใจ และกระเพาะอาหารของศพแช่ฟอร์มาลินเพื่อตรวจสอบ และส่งรายงานชันสูตรให้พนักงานสอบสวนไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ รวมทั้งเปิดเผยว่าครอบครัวของนายภคพงศ์ได้ติดต่อขอรับอวัยวะของนายภคพงศ์คืนแล้ว

    วันที่ 24 พ.ย. 2560 ภายหลังจากมีการรับอวัยวะคืนไปแล้ว 1 วัน เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า พล.ต. นพ.ธารา พูนประชา ผอ.สถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ยืนยันว่า กรณีที่เป็นการตายอย่างผิดธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งหมด 5 ประเภท คือ 1. ฆาตกรรม 2. ถูกทำให้ตาย 3. ฆ่าตัวเองตาย 4. กินยาพิษ และ 5. ตายโดยไม่รู้สาเหตุ กฎหมายอนุญาตให้เก็บอวัยวะได้โดยไม่ต้องขอความยินยอม แต่กระนั้น พล.ต. นพ.ธารา พูนประชา ก็ยอมรับว่าเป็นบทเรียนของทีมแพทย์ ที่ไม่ได้ดูแลจิตใจคนไข้

    ต่อมา ครอบครัวของนายภคพงศ์ ได้ส่งมอบอวัยวะภายในของนายภคพงศ์ให้นายสมณ์ พรหมรส ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจดีเอ็นเอว่าตรงกับนายภคพงศ์หรือไม่ รวมทั้งเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยนายสมณ์ระบุว่า เบื้องต้นมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจอวัยวะ 3 คน แต่เพื่อความมั่นใจและถูกต้องจึงมีการเพิ่มทีมแพทย์ที่มีผู้เชี่ยวชาญภายนอกทางด้านพยาธิสมอง พยาธิหัวใจ และทางด้านนิติเวช มาช่วยด้วย รวมกัน 3 สถาบัน ได้แก่ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รวมแล้วมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 6 คน และเชื่อว่าน่าจะทราบสาเหตุการเสียชีวิตที่ชัดเจนและถูกต้องภายใน 7 วัน

    ล่าสุด เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า พล.ท. คงชีพ ตันตระวานิช โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ผลการสอบสวนการเสียชีวิตของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่ พล.อ. ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่งให้ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม นั้นเป็นผลการสอบสวนของคณะกรรมชุดที่ พล.ต. กนกพงษ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร ตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ผลการสอบสวนของคณะกรรมการชุดที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแต่งตั้ง

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการสอบสวนของคณะกรรมการชุด ของ พล.ต. กนกพงษ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร เป็นการตรวจสอบ 2 กรณี คือ กรณีน้องเมยถูกรุ่นพี่ซ่อมเมื่อ 2 เดือน ก่อนเหตุการณ์เสียชีวิตในวันที่ 17 ต.ค. 2560 จนทำให้น้องเมยหยุดหายใจไปชั่วขณะและแพทย์ได้ทำการปั้มหัวใจจนน้องเมยกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ซึ่งจากการสอบสวนพบว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุ จึงได้สั่งลงโทษผู้เกี่ยวข้องและครอบครัวน้องเมยไม่ติดใจเอาความ

    ส่วนกรณีที่ 2 คือเหตุการณ์วันที่ 17 ต.ค. 2560 ที่ทำให้น้องเมยเสียชีวิต โดยตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดทั้งหมดที่จับภาพได้ภายในโรงเรียนเตรียมทหาร รวมถึงสอบถามเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ เพื่อนๆ ของน้องเมย โดย พล.ต. กนกพงษ์ ได้ระบุในผลการสอบสวนว่า ยังไม่พบว่ามีผู้ใดไปทำร้ายนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 จนเสียชีวิต ก่อนจะส่งศพไปชันสูตรและแพทย์ลงความเห็นว่าเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งผลการสอบสวนทั้งหมดนี้ได้ส่งให้กับผู้บัญชาการทหารสูงสุด

    สำหรับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ ที่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดตั้งขึ้น โดยให้ พล.อ.อ. ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร เป็นประธานนั้น อยู่ในระหว่างดำเนินการ ผลการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ

    อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ได้จุดกระแสสังคมขึ้นมาตั้งคำถามในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของการ “ธำรงวินัย” หรือ “ซ่อม” ในโรงเรียนเตรียมทหาร รวมทั้งวาทะของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรงกลาโหม ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันว่า “การซ่อมไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน” หรือที่บอกว่า “ผมก็เคยโดนซ่อมจนเกินกำลังจะรับได้จนสลบไปเหมือนกัน แต่ผมไม่ตาย”

    ศาลยกคำร้องขอรื้อคดีครูจอมทรัพย์ สาวต่อ สงสัยมีขบวนการรับผิดแทน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (https://goo.gl/qP17yU)

    จากกรณีของนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือ “ครูจอมทรัพย์” ที่ถูกตัดสินให้มีความผิดฐานขับขี่รถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จนทำให้ต้องถูกจำคุกอยู่เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยพ้นโทษออกมาในช่วงปี 2558 และต่อมา ล่วงเข้าปี2560 ก็กลายเป็นเรื่องฮือฮาเมื่อนางจอมทรัพย์ร้องเรียนต่อกระทรวงยุติธรรมว่าตนไม่ใช่ผู้กระทำผิดที่แท้จริงในคดีนี้ พร้อมทั้งร้องทุกข์ให้มีการรื้อฟื้นคดี

    ล่าสุด เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า วันที่ 17 พ.ย. 2560 ศาลจังหวัดนครพนมได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ให้ยกคำร้องการขอรื้อฟื้นคดีของนางจอมทรัพย์ เนื่องจากหลักฐานที่นำมาเบิกความต่อศาลนั้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอจะหักล้างพยานหลักฐานเก่าได้ ซึ่งหมายความว่านางจอมทรัพย์เป็นผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาเดิมของศาลชั้นต้นและศาลฎีกา

    ทว่า เรื่องราวกลับไม่จบแค่นั้น จากรายงานของเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ ตำรวจได้มีการสืบสวนสอบสวนต่อไปในกรณีของกลุ่มพยานที่เบิกความต่อศาลแล้วมีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการสร้างพยานเท็จ รวมถึงขบวนการรับผิดแทน จนในที่สุดนำไปสู่การออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหา 7 คน คือ

      1. นายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง อายุ 54 ปี เพื่อนสนิทครูจอมทรัพย์ และเป็นบุคคลสำคัญมีหลักฐานว่าเป็นคนจัดตั้งขบวนการรับจ้างทำผิดในคดีดังกล่าว
      2. นายสับ วาปี อายุ 61 ปี เป็นคนให้การกับตำรวจรวมถึงเบิกความต่อศาลว่าเป็นคนขับตัวจริง
      3. นางจัน วาปี อายุ 59 ปี ภรรยานายสับ วาปี
      4. นายบุญเทิง วาปี อายุ 63 ปี (ต่อมาตำรวจเชื่อว่าไม่มีส่วนรู้เห็น)
      5. นายเลิศ วาปี อายุ 66 ปี (ต่อมาตำรวจเชื่อว่าไม่มีส่วนรู้เห็น)
      6. นายรัน โทนแก้ว อายุ 60 ปี เป็นญาตินายสับ วาปี
      และ 7. นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ อายุ 61 ปี พยานในคดีที่นางจอมทรัพย์เป็นผู้ต้องหาขับรถชนนายเหลือ พ่อบำรุง แต่ภายหลังยืนยันว่าคนขับเป็นผู้ชาย ทั้งที่ในตอนแรกไม่ได้ให้การไว้ พนักงานสอบสวนเตรียมเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบสวน หากไม่มารายงานตัวจะต้องออกหมายจับต่อไป

    ต่อมา วันที่ 22 พ.ย. 2560 นายสับ วาปี ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต. สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม โดยนายสับให้การว่า นายสุริยา นวลเจริญ (ครูอ๋อง) เป็นผู้ประสานงานว่าจ้างตนเป็นเงิน 4 แสนบาท เพื่อให้ตนสารภาพรับผิดแทนนางจอมทรัพย์

    ต่อมา วันที่ 23 พ.ย. 2560 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร กล่าวว่า หลังจากร่วมสอบสวนนายสับ วาปี และพวกแล้ว ขณะนี้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค4 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมา 7 ชุด เพื่อดำเนินการสอบสวนในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ นครพนม สกลนคร และมุกดาหาร พร้อมกำหนดแนวทางการทำงานเพื่อสอบสวนหาความเชื่อมโยงของขบวนการรับจ้างติดคุกแทนครูจอมทรัพย์

    ทั้งนี้ ได้มีการตั้งข้อกับกลุ่มบุคลลที่ร่วมกันสร้างพยานหลักฐานเท็จรวม 7 ข้อหา ดังนี้

      1.แจ้งความเท็จ
      2.เบิกความเท็จในชั้นไต่สวน
      3.เบิกความเท็จในชั้นยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดี
      4.ร่วมกันเป็นอั้งยี่ซ่องโจร
      5.หมิ่นประมาทพนักงาน
      6.หมิ่นประมาทคณะบุคคล
      7.หมิ่นประมาทองค์กร

    ต่อมา ในวันที่ 24 พ.ย. 2560 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมเตรียมนำตัวนายสับ วาปี และนางจันทร์ วาปี ภรรยา พร้อมสำนวนการสอบสวนส่งอัยการเพื่อพิจารณายื่นฟ้องต่อศาลแขวงจังหวัดนครพนม หลังตำรวจได้สอบปากคำเสร็จสิ้น โดยปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าทั้งคู่มีส่วนรู้เห็นกับขบวนการรับจ้างรับผิดแทนนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ซึ่งตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา ฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานแล้ว ส่วนนายเลิศ และนายบุญเทิง วาปี เครือญาตินายสับ ตำรวจสอบสวนแล้ว เชื่อได้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับขบวนการนี้ จึงได้บันทึกปากคำไว้แล้วปล่อยตัว

    ขณะที่เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2560 พล.ต.ต. สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ. ปราโมทย์ อุทากิจ ผู้กำกับการกลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครพนม เพื่อให้ดำเนินคดีกับนางจอมทรัพย์ ในข้อหานำสืบและแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 180 วรรค 2 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 14,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมเตรียมรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอศาลออกหมายจับ

    BEM แจง “ถอดเก้าอี้ MRT” แค่ทดลองดำเนินการ – เผย สั่งเพิ่ม 35 ขบวน ทยอยใช้ปี 62

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://www.prachachat.net/?p=76100)

    การกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ไปทั่วโลกออนไลน์ว่า มีการนำเอาเก้าอี้บางส่วนของรถไฟฟ้า MRT ขบวนหนึ่งออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างในตู้โดยสาร จนนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมของการกระทำดังกล่าวนั้น

    วันที่ 22 พ.ย. 2560 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า เรื่องดังกล่าวเป็นหนึ่งในการทดลองดำเนินเพื่อระบายผู้โดยสารที่มีจำนวนหนาแน่นในช่วงเร่งด่วน ซึ่งทางบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม (BEM) ผู้รับสัมปทานให้บริการเดินรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล หรือรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ซึ่งทาง BEM ชี้แจงว่า ระหว่างทดลองนี้ จะมีการศึกษาวิเคราะห์ผลที่ได้รับจากการทดลองให้บริการจริง พร้อมทั้งรับฟังความเห็นโดยรวมของผู้ใช้บริการ และจะนำผลการทดลองให้บริการมาหารือร่วมกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) อีกครั้ง เพื่อกำหนดมาตรการดำเนินการชั่วคราวที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้โดยสารต่อไป

    ทั้งนี้ นายรณชิต แย้มสอาด ที่ปรึกษา รักษาการรองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ) รฟม. เปิดเผยหลังจากการประชุมหารือร่วมกับ ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ BEM เกี่ยวกับมาตรการทดลองถอดที่นั่งบางส่วนในขบวนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินออกจำนวน 1 ขบวน ว่า จากการที่จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น BEM ได้ดำเนินการจัดซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มจำนวน 35 ขบวนแล้ว โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างกระบวนการผลิตซึ่ง รฟม. ได้เร่งรัดให้ BEM ดำเนินการส่งรถใหม่มาให้บริการโดยเร็วที่สุด โดยรถไฟฟ้าขบวนใหม่จะส่งมาถึงในช่วงปลายปี พ.ศ. 2561 และจะเริ่มทยอยให้บริการได้ประมาณตนปี พ.ศ. 2562

    72 เอ็นจีโอประกาศจุดยืนไม่ขอเข้าร่วมกับกลไกสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลทหาร

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม (https://greennews.agency/?p=15859)

    วันที่ 20 พ.ย. 2560 เว็บไซต์สำนักข่าวสิ่งแวดล้อมรายงานว่า เครือข่ายภาคประชาสังคมในนาม เครือข่ายนักพัฒนาองค์กรเอกชน ออกแถลงการณ์พร้อมแนบรายชื่อจำนวน 72 รายชื่อ ประกาศจุดยืนไม่ขอเข้าร่วมกับกลไกสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลทหาร เมื่อวันที่ 20 พ.ย.2560 โดยประกาศไม่ร่วมกับกลไกใดๆ ของรัฐบาลทหารที่จะนำไปสู่กับดัก และสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในการสร้างความทุกข์ยากให้กับประชาชนในอนาคต เว้นเพียงการร่วมมือกันทำงานกับส่วนราชการซึ่งมีมาแต่เดิมแล้ว

    เนื้อหาส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่รัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้บริหารราชการแผ่นดินมาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปีแล้วนั้น ผลประจักษ์ในทางนโยบายและกฎหมายจำนวนมากจะชักนำประเทศไปสู่ความทุกข์ยากทั้งในปัจจุบันและอนาคต ด้วยการนำพาประเทศไปสู่กลไกการบริหารที่เอื้ออำนวยต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ลดทอนสิทธิชุมชน เพิกเฉยการมีส่วนร่วมและหลักประกันสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชน

    “การมีสภาปฏิรูปล้วนไม่เกิดผลอันใด การมีสภาขับเคลื่อนประเทศล้วนเป็นกลไกที่กำหนดทิศทางเพียงฝ่ายเดียวของรัฐบาล การบริหารงานที่ก่อความเสื่อมต่อประเทศในทุกด้าน ในขณะที่กลุ่มทุนและทหารเติบโตอย่างมากในรัฐบาลยุคนี้ ล้วนเป็นตัวชี้วัดถึงเจตนารมณ์อันแท้จริงที่กระทำการรัฐประหารเข้ามายึดอำนาจการบริหารประเทศ” ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุ

    แถลงการณ์ดังกล่าว ยังระบุด้วยว่า กลไกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งการควบคุมประเทศให้เดินไปตามทางที่ คสช.ต้องการอย่างยาวนาน ซึ่งการเข้าร่วมอื่นใดกับรัฐบาลทหารของภาคประชาชน เช่น การเข้าร่วมมีตำแหน่งในคณะกรรมการต่างๆ คือการยินยอมเข้าร่วมกับกลไกของรัฐบาลทหาร ดังนั้นเพื่อให้ความจริงปรากฏเป็นที่เรียนรู้ของประชาชน ทางเครือข่ายฯ ซึ่งได้ลงชื่อร่วมกันนี้ จึงขอแสดงจุดยืนต่อการไม่ร่วมกับกลไกใดๆ ของรัฐบาลทหาร ด้วยปณิธานในการกำหนดอนาคตตนเองของประชาชน

    อนึ่ง เครือข่ายนักพัฒนาองค์กรเอกชนที่ร่วมลงชื่อ อาทิ นายเอกชัย อิสระทะ, นายสมบูรณ์ คำแหง, นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล, นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์, นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์, นายสุรชัย ตรงงาม, น.ส.สุภาภรณ์ มาลัยลอย, น.ส.ศุภวรรณ ชนะสงคราม, นายชาญวิทย์ อร่ามฤทธิ์, น.ส.บัณฑิตา อย่างดี, น.ส.เสาวคนธ์ รสสุคนธ์, น.ส.แม้นวาด กุญชร ณ อยุธยา, น.ส.ณัฐพร อาจหาญ และนายสมนึก จงมีวศิน

    บังกลาเทศ-เมียนมา “จับมือ” ส่งโรฮิงญากลับบ้าน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (https://goo.gl/tUnSgd)

    วันที่ 24 พ.ย. 2560 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ตัวแทนรัฐบาลบังกลาเทศและรัฐบาลเมียนมา ลงนามข้อตกลงนำชาวโรฮิงญา ที่อพยพหนีภัยออกจากรัฐยะไข่ ตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.กลับเมียนมา เริ่มดำเนินการทันทีในอีก 2 เดือนข้างหน้า หลังประชาคมโลกกดดันหนัก

    ที่ผ่านมา รัฐบาลเมียนมายืนยันรับเฉพาะชาวโรฮิงญาที่ได้รับการพิสูจน์ทางเอกสารว่าเคยอยู่ในยะไข่กลับประเทศเท่านั้น ซึ่งในทางปฏิบัติแทบเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากรัฐบาลเมียนมาไม่เคยยอมรับการมีอยู่ของผู้อพยพชาวโรฮิงญาซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม จึงไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน

    สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้บรรดาองค์กรช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์พากันวิตกกังวลว่าจะมีการบีบบังคับชาวโรฮิงญากลับเมียนมาโดยไม่มีการรับประกันว่าผู้อพยพเหล่านี้จะปลอดภัย

    ความคืบหน้าครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า การที่เมียนมาใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อชาวโรฮิงญาถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมกับประณามทหารเมียนมาและกองกำลังรักษาความปลอดภัยของเมียนมา 

    นอกจากนี้ นายทิลเลอร์สันยังขู่ว่าจะคว่ำบาตรการกระทำอันโหดร้ายที่ทำให้ชาวโรฮิงญากว่า 6 แสนคนต้องอพยพข้ามชายแดนไปยังบังกลาเทศ

    “หลังจากที่มีการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบและครบถ้วนแล้ว เป็นที่ชัดเจนว่า สถานการณ์ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” นายทิลเลอร์สัน กล่าวในแถลงการณ์

    องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประเมินว่า มีชาวโรฮิงญากว่า 6 แสนคน ลี้ภัยไปยังบังกลาเทศ ตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา หลังจากกองกำลังความมั่นคงของเมียนมาเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างชาวโรฮิงญาครั้งใหม่