ThaiPublica > คอลัมน์ > ขัดแย้งมรดกทำร้ายสิงคโปร์

ขัดแย้งมรดกทำร้ายสิงคโปร์

1 กรกฎาคม 2017


วรากรณ์ สามโกเศศ

นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุงที่มาภาพ : https://web.facebook.com/leehsienloong/photos/

เมื่อวันพุธที่ 14 มิถุนายน ที่ผ่านมา คนสิงคโปร์ช็อกกับข้อความยาวใน Facebook ซึ่งเป็นแถลงการณ์ของน้อง 2 คนในตระกูลลีของนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง [Lee Hsien Loong (LHL)] ถล่มพี่ชายจนหน้าแตกแบบหมอปฏิเสธเย็บ คอลัมน์นี้ไม่ใช่ “ลัดดา” ซุบซิบ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีประเด็นให้คิด

คนสิงคโปร์ไม่คุ้นกับการเปิดเผยข้อมูลหรือการวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของลี กวนยู [Lee Kuan Yew (LKY)] แล้วแทบไม่มี ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นคนสิงคโปร์จึงจับตามองจอสมาร์ทโฟน และก็ไม่ผิดหวังเพราะนายกรัฐมนตรี (LHL) ผู้พี่ก็ออกแถลงการณ์ด้วยข้อความและเอกสารยาวเช่นกัน ฝ่ายน้องชายและน้องหญิงก็โต้กลับไปมาบนโซเชียลมีเดียจนเป็นที่สนุกสนานของพวกปากหอยปากปูเป็นอันมาก

ลี กวนยู มีลูก 3 คน คนโตเป็นชาย คือ LHL เป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2004 LHL มีลูกรวม 4 คน ภรรยาคนแรกมีลูกสาวและลูกชายแต่เสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลวหลังจากคลอดลูกชายได้ไม่นาน ตอนอายุ 33 ปี LHL ก็แต่งงานใหม่กับข้าราชการดารรุ่งชื่อ Ho Ching มีลูกชายด้วยกัน 2 คน ปัจจุบัน LHL มีอายุ 65 ปี ต่อสู้เอาชนะโรคมะเร็งมาได้สองครั้งคือในทศวรรษ 1990 และ ปี 2015

ลูกคนที่สองเป็นหญิง ชื่อ Lee Wei Ling (LWL) เป็นหมออายุ 62 ปี มีสถานะโสด ในอดีตพบรักแต่พ่อไม่ยอมรับจึงหนีไปอยู่อังกฤษด้วยกัน ลี กวนยู โกรธมากสั่งห้ามเข้าสิงคโปร์ เมื่อเลิกกับแฟนก็กลับเข้าประเทศไม่ได้จนแม่ต้องช่วยเจรจา เธอเป็นนักเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ ดูจะเป็นคน “แรง” สักหน่อยในพี่น้อง 3 คน เธอเคยเป็นผู้อำนวยการ The Institute of National Neuroscience สื่อกล่าวว่าเธอปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่แต่งตัว ไม่แต่งหน้า และเมื่อกินยาเพราะมีโรคประจำตัว เธอจึงดูโทรมกว่าอายุเอามาก ๆ

ลูกคนที่สามเป็นชาย ชื่อ Lee Hsien Yang (LHY) อายุ 60 ปี อดีตเป็นนายพลในกองทัพเหมือนพี่ชาย ปัจจุบันเป็น CEO ของ Sing Tel และอีกหลายตำแหน่ง ภรรยาเป็นนักกฎหมาย ชื่อ Lee Suet Fern เป็นลูกสาวของปรมาจารย์เศรษฐศาสตร์ที่ NUS ชื่อ Lim Chong Yah (นานมาแล้วผู้เขียนไปงานเลี้ยงที่บ้าน และเห็นรูปถ่ายจึงรู้ว่าลูกสาวเป็นสะใภ้ของครอบครัวนี้)

ประเด็นของข้อขัดแย้งตามที่อ้างในสาธารณะของฝ่ายน้อง 2 คน ที่จับมือกันแน่นก็คือพินัยกรรมของพ่อ (LKY) ระบุว่าให้รื้อบ้านเลขที่ 38 Oxley Street ให้หมดเพราะต้องการให้สอดคล้องกับ ความประสงค์ของพ่อที่ไม่ต้องการให้มีอนุสรณ์สถาน รูปปั้น พิพิธภัณฑ์ หรือสิ่งบูชาใดๆ ที่เกี่ยวกับตัวเขาเพื่อให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่อย่างเด็ดขาด เพราะผลงานนั้นปรากฏชัดแล้วในสิ่งที่ประเทศเป็นอยู่และประชาชนได้รับ

น้อง 2 คนโจมตีพี่ชายว่าไม่ยอมรื้อเพราะต้องการเก็บไว้เป็น “ทุน” สำหรับการเชิดชูพ่ออันจะเป็นประโยชน์ทางการเมือง นับว่าเป็นสิ่งเห็นแก่ตัว ลุแก่อำนาจ ไม่น่าไว้วางใจ ไม่น่าเชื่อถือ ขนาดกับน้องยังทำได้อย่างนี้แล้วกับประชาชนสิงคโปร์จะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังถูก “ข่มขู่” จนน้องชายคิดจะออกไปอยู่นอกประเทศ อีกทั้งพาดพิงไปทางลบถึง Ho Ching ภรรยาซึ่งมีหน้าที่ใหญ่โต เป็น CEO ของ Temasek อีกด้วย และอ้างว่าพี่ชายมีแผนที่จะสนับสนุนลูกชายให้สืบทอดเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป พูดง่ายๆ ก็คืออัดพี่ชายเสียเละไม่มีชิ้นดี

รุ่งขึ้น พี่ชาย (LHL) ก็ปล่อยเอกสารที่ให้การกับคณะกรรมการที่รัฐได้ตั้งขึ้นพิจารณาว่าสมควรรื้อบ้านหลังนี้หรือไม่และกำลังพิจารณาอยู่ ในเอกสารยาวระบุชัดเจนและก็เป็นไปตามที่คนสิงคโปร์คาดเดากัน กล่าวคือ มันน่าจะเกี่ยวพันกับสิ่งอื่นมากกว่าแค่ “รื้อ” หรือ “ไม่รื้อ” บ้านเท่านั้น

ที่มาภาพ : https://web.facebook.com/leehsienloong/?sw_fnr_id=3671180765&_rdc=1&_rdr

LHL บอกว่าพ่อซึ่งถึงแก่อนิจกรรมในปี 2015 เมื่อมีอายุ 91 ปี ในปีที่สิงคโปร์ฉลองเอกราชครบ 50 ปี มีพินัยกรรมถึง 7 ฉบับ แก้กันไปแก้กันมา หนักที่สุดก็ในช่วงปี 2011 ถึงก่อนเสียชีวิต ตัวเขาเองเห็นแค่ 6 ฉบับคือฉบับปี 2013 เมื่อพ่อเสียชีวิตแล้วจึงรู้ว่ามีฉบับที่ 7 ซึ่งระบุให้รื้อบ้าน (ไม่มีข้อความให้รื้อใน 2 ฉบับก่อนหน้า) และให้น้องสาวได้มรดกเพิ่มขึ้นอีก 1/7 เมื่ออ่านดูละเอียดแล้ว ทุกสิ่งที่กล่าวถึงน่าจะเป็นความจริงเพราะเป็นข้อมูลทางการที่นายกรัฐมนตรีมอบให้แก่คณะกรรมการ

ข้อมูลระบุว่าในช่วงหลังจากที่แม่ (Kwa Geok Choo) เสียชีวิตในปี 2010 ลูกๆ ก็ผลัดกันไปหาพ่อ รบเร้าหลายเรื่อง เรื่องสำคัญก็คือการรื้อบ้าน มีหลักฐานว่าพินัยกรรมถูกแก้กลับไปมาหลังจากที่ลูกแต่ละคนไปหาและโน้มน้าวได้สำเร็จ

ประเด็นสำคัญของการรื้อบ้านก็คือ จะทำให้เหลือแต่ที่ดินซึ่งสามารถเอาไปขายได้ โดยมูลค่าปัจจุบันอาจถึง 30-40 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (700-1,000 ล้านบาท) เพราะอยู่ใกล้กับ Orchard Road แหล่งค้าขายสำคัญ นายกรัฐมนตรีบอกว่าต้องการให้เก็บไว้เพราะจะได้ไม่สามารถขายให้แก่ธุรกิจได้ เนื่องจากไม่ต้องการให้ครอบครัวหาประโยชน์จากความมีชื่อเสียงของพ่อ ตราบที่ไม่มีการรื้อบ้านก็ขายที่ดินกันไม่ได้เพราะเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ (บ้านหลังนี้ ลี กวนยู อยู่มาตลอดชีวิตตั้งแต่ทศวรรษ 1940 เป็นบ้านที่แสนธรรมดาที่สุด) หากรัฐจะซื้อมาก็เป็นที่ชัดเจนว่าพี่น้องจะรับเงินไปทั้งหมดโดยไม่บริจาคก้อนใหญ่ให้แก่การกุศลนั้นเป็นไม่ได้

เมื่อพิจารณาเรื่องนี้แล้วจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องของโลภะ โทสะ โมหะ เหมือนครอบครัวธรรมดาทั่วไปที่ขาดธรรมะในใจ ที่น่าเสียดายก็คือมันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่สมควรนำมาทะเลาะกันในสาธารณะ จนมีผลกระทบต่อมรดกแห่งความยิ่งใหญ่ที่ลี กวนยู ได้ทิ้งไว้ให้แก่สิงคโปร์และโลก

เพื่อให้เรื่องนี้จบ นายกรัฐมนตรีสั่งให้เปิดสภาซักถามกันให้เต็มที่ในวันที่ 3 กรกฎาคม นี้ ตนเองพร้อมจะตอบทุกอย่างเพราะเรื่องนี้ผูกพันกับชื่อเสียงและเกียรติภูมิของชาวสิงคโปร์

แง่คิดในเรื่องนี้ก็คือ ถ้าไม่มีโซเชียลมีเดีย เรื่องก็คงไม่เป็นไฟลามทุ่งดังที่เกิดขึ้นเป็นแน่ จนเกิดความเสียหายแก่ภาพพจน์ของครอบครัวหนึ่งอันเกรียงไกรของโลกเพราะได้รับการศึกษาดีมาก ทุกคนทำงานทำการอย่างแข็งขัน ไม่มีคนใดทั้งลูกและสะใภ้ที่เกเร ทุกคนมุ่งสนับสนุนเกียรติภูมิของปู่ และชื่อเสียงของสิงคโปร์

สิงคโปร์เสียชื่อในด้าน brand control เพราะแต่ไหนแต่ไรสิงคโปร์มี brand ในด้านประสิทธิภาพ ความสมาร์ท ความสามรถในการ “จัดการได้” และควบคุมได้อย่างดีมายาวนาน มาครั้งนี้ความสามารถในด้านนี้ลดลงไปอย่างช่วยอะไรไม่ได้

คนที่น่าสงสารที่สุดคือลี กวนยู ในตอนอายุ 88-90 ปี ก่อนเสียชีวิตต้องปวดหัวกับเรื่องมรดกที่ลูกหลานนำมารบเร้าให้แก้ไขพินัยกรรม และร้ายกว่านั้นก็คือ ไม่เป็นการยุติธรรมเลยที่ตนเองต้องเสียเกียรติภูมิเพราะลูกๆ หลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว

หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 27 มิ.ย. 2560