ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ :”ศาลฎีกาสั่งคุก 5 ปี ‘ผัวเมียเก็บเห็ด’ ทนายเตรียมรื้อคดี” และ “เครื่องบินรัสเซียเจออากาศปั่นป่วนขณะเข้ากรุงเทพฯ เจ็บ 27 ราย”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ :”ศาลฎีกาสั่งคุก 5 ปี ‘ผัวเมียเก็บเห็ด’ ทนายเตรียมรื้อคดี” และ “เครื่องบินรัสเซียเจออากาศปั่นป่วนขณะเข้ากรุงเทพฯ เจ็บ 27 ราย”

6 พฤษภาคม 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 เม.ย. – 5 พ.ค. 2560

  • ศาลฎีกาสั่งคุก 5 ปี “ผัวเมียเก็บเห็ด” คดีทำลายรุกป่าสงวน-ทนายเตรียมรื้อคดี
  • “ไจก้า” ต่อขึ้นบัญชีดำ “อิตาเลียนไทย” เตรียมลงโทษหากอุบัติเหตุซ้ำ
  • ปิด 6,300 เว็บ ยัน ไม่เจาะจงเฟซบุ๊ก
  • บีอาร์ที ปรับราคาเป็น 15 บาท เริ่ม 29 พ.ค. นี้
  • บินรัสเซียเจออากาศปั่นป่วนขณะเข้ากรุงเทพฯ เจ็บ 27 ราย
  • ศาลฎีกาสั่งคุก 5 ปี “ผัวเมียเก็บเห็ด” คดีทำลายรุกป่าสงวน-ทนายเตรียมรื้อคดี

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/?p=329407)

    จากกรณีอันโด่งดังของ “ผัวเมียเก็บเห็ด” นายอุดม ศิริสอน อายุ 54 ปี และนางแดง ศิริสอน อายุ 51 ปี สองสามีภรรยา บ้านโนนสะอาด อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุมในข้อหาร่วมกันบุกรุกแผ้วถาง ก่อสร้าง ทำไม้ ยึดถือครอบครอง ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดงแนง ตั้งแต่ปี 2553 ต่อมาปี 2554 ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์พิพากษาจำคุกคนละ 30 ปี แต่ลดโทษเหลือคนละ 15 ปี และในปี 2557 ผู้ต้องหาได้ยื่นประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำแก้จำคุกเป็นคนละ 14 ปี 12 เดือน จนในที่สุด ก็มีนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 2 พ.ค. 2560 ณ ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์

    ในชั้นศาลฎีกานี้ นายอุดม (จำเลยที่ 1) และนางแดง (จำเลยที่ 3) ได้ต่อสู้ใน 3 ประเด็น คือ

      1. อ้างว่าหลงเชื่อบุคคลภายนอกให้รับสารภาพ และจำเลยที่ 1 อ้างว่าตนเองเคยประสบอุบัติเหตุ มีอาการลมออกหูและประสาทไม่ดีพูดจากรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง
      2. การดำเนินการสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบเพราะไม่ได้แจ้งพฤติการณ์และรายละเอียดในการกระทำผิดตามฟ้องให้จำเลยทราบ
      3. ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ

    ในกรณีแรกนั้น ศาลเห็นว่าอาการป่วยที่จำเลยกล่าวอ้างนั้นไม่เคยมีมาในชั้นอุทธรณ์ ทั้งยังขัดกับใบรับรองแพทย์ โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ และใบสรุปการรักษาพยาบาล “ดังนี้ ส่อแสดงว่า จำเลยทั้งสองพยายามปรุงแต่งข้ออ้างอาการป่วยเจ็บของจำเลยที่ 1 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยบิดเบือนไปให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพโดยไม่สมัครใจ แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า เรื่องที่จำเลยกล่าวอ้างมานั้นขัดแย้งกันเองทั้งสิ้น จึงเป็นพิรุธรับฟังเป็นความจริงไม่ได้”

    ส่วนกรณีที่สองนั้น “เห็นว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทั้งสองทราบโดยชอบแล้ว ซึ่งจำเลยทั้งสองก็ให้การปฏิเสธอันแสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อกล่าวหาเป็นอย่างดีแล้วนั่นเอง  การสอบสวนจึงชอบแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

    ส่วนกรณีสุดท้ายที่ขอให้ลดและรอการลงโทษนั้น ศาลเห็นว่าการตัดไม้ทำลายป่าที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำผิดร่วมกันของบุคคลหลายกลุ่ม “โดยจำเลยทั้งสองร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการดังกล่าวด้วย ตามพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อได้ว่า บุคคลที่เป็นกลุ่มนายทุนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรง ยังมิได้มีการขยายผลและติดตามจับกุมมาดำเนินคดีทั้งหมด คงมีแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นที่ยอมเข้ามอบตัวเพื่อให้ดำเนินคดีต่อไปและสมัครใจให้การรับสารภาพตามฟ้อง” ซึ่งในตรงนี้ศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรให้ลดโทษ แต่กับการขอรอการลงโทษนั้น ศาลเห็นว่า “การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองส่งผลกระทบต่อสภาพความสมดุลของระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยากแก่การฟื้นฟูให้กลับคืนดีดังเดิม ส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวม ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง” จึงไม่เห็นควรให้รอการลงโทษ

    จึง “พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันทำไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 4 ปี ฐานร่วมกันมีไม้สักซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองจำคุกคนละ 6 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 5 ปี”

    ต่อคำตัดสินดังกล่าว ด้านนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ศาลมีเมตตาลดโทษให้เป็นหนึ่งในสาม แต่คดีนี้คงจะรื้อฟื้นใหม่ เพราะตนมั่นใจในพยานหลักฐาน เพราะจะต้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งก็จะมีการรื้อฟื้นคดีต่อไป ส่วนรายละเอียดที่นำมารื้อฟื้นคดีใหม่เป็นอย่างไรนั้นจะมาอธิบายให้ฟังในวันที่มายืนรื้อฟื้นคดี ยืนยันว่าจะเป็นหลักฐานใหม่โดยเฉพาะพยานบุคคล

    เรียบเรียงจากเว็บไซต์ข่าวสดและเว็บไซต์คมชัดลึก

    “ไจก้า” จ่อขึ้นบัญชีดำ “อิตาเลียนไทย” เตรียมลงโทษหากอุบัติเหตุซ้ำ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://goo.gl/uNY2O7)

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รักษาการผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์มติชน ถึงกรณีมีอุปกรณ์ก่อสร้างโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงบางส่วนเกิดปัญหา จนมีพนักงานเสียชีวิตถึง 3 คน โดยมีบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบนั้น ส่งผลให้องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือ ไจก้า ในฐานะผู้ให้กู้ลงทุนโครงการรถไฟสายสีแดง เตรียมพิจารณาขึ้นบัญชีดำ (แบล็กลิสต์) บริษัทอิตาเลียนไทยทุกโครงการที่ไจก้าให้เงินกู้ลงทุน รวมถึงกรณีที่ใจก้าทำสัญญาร่วมทุนก่อสร้างในประเทศอื่นๆ ด้วย เพราะถือว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก เนื่องจากเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็เกิดอุบัติเหตุคานเหล็กหล่นทับรถยนต์ จากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งเป็นของบริษัทอิตาเลียนไทยเช่นกัน รวมถึงเหตุการณ์อี่นๆ ด้วย

    “ในส่วนของ รฟท. ก็จะมีการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเร็วๆ นี้ เพื่อหาแนวทางป้องกัน รวมถึงบทลงโทษกรณีเกิดอุบัติเหตุลักษณะนี้ขึ้นอีก เช่น หากเกิดอุบัติเหตุหนึ่งครั้งจะทำอย่างไร จะถูกติดแบล็กลิสต์หรือไม่ หรือจำนวนกี่ครั้ง จะไม่มีสิทธิประมูลหรือร่วมโครงการกับ รฟท. อีก เพราะถือว่าชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ และมาตรฐานการก่อสร้างของบริษัทขนาดใหญ่ นอกจากมาตรฐานของผลงานแล้ว ต้องให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญด้วย แต่บทลงโทษจาก รฟท. จะเป็นอย่างไร ขอประชุมก่อน เนื่องจากยังมีหลายโครงการที่ต้องก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ตนได้รายงานให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รับทราบแล้ว พร้อมทั้งได้สั่งการให้หยุดก่อสร้างทันที เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจนก่อน นอกจากนี้ บริษัทอิตาเลียนไทยต้องรับผิดชอบความเสียหายและผู้เสียชีวิต” นายอานนท์กล่าว

    ทั้งนี้ จากการรายงานของเว็บไซต์ จส.100 ญาติผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินชดเชยจากผู้รับจ้างและกองทุนทดแทน คนละประมาณ 540,000 บาท

    ปิด 6,300 เว็บ ยัน ไม่เจาะจงเฟซบุ๊ก

    วันที่ 4 พ.ค. 2560 เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการ ISP แถลงข่าวร่วมกันโดย นายกสมาคมผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตประเทศไทย (ไอเอสพี) นางมรกต กุลธรรมโยธิน บอกว่า สมาชิกสมาคมไอเอสพีได้นำเว็บไซต์ไม่เหมาะสมลงจากอินเทอร์เน็ตแล้ว 6,300 เว็บไซต์หลังมีคำสั่งศาล คงเหลืออีก 600 เว็บไซต์ที่เข้ารหัสไว้ สมาคมฯ จึงทำหนังสือไปยังผู้ให้บริการเว็บไซต์เหล่านั้นเพื่อให้ปิดกั้นเว็บไซต์ จากนั้นผู้ให้บริการจึงทำหนังสือชี้แจงการดำเนินงานมายื่นต่อกสทช.เพื่อให้ทราบว่าดำเนินการอะไรไปบ้าง

    ทั้งนี้ ตามปกติสมาคมไม่มีอำนาจในการกลั่นกรองเนื้อหา ต้องทำตามคำสั่งศาล ซึ่งนอกเหนือจากเว็บที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง การพนัน เว็บโป๊ แล้ว เว็บที่ถูกสั่งปิดรองลงมาคือเว็บฟิชชิ่ง หรือเว็บที่ทำหน้าเพจปลอมเลียนแบบเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อหลอกเอาข้อมูลต่างๆ โดยทั้งหมดนี้ ยืนยันว่า ไม่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ประชาชนในเฟสบุ๊ค ยูทูป แต่อย่างใด และสำนักงาน กสทช. ดำเนินการในภาพใหญ่ทั้งหมด เพื่อให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์คได้ถูกต้อง ไม่ได้เจาะจงเฉพาะเฟซบุ๊ก ซึ่งการมอนิเตอร์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม จะมีจากทั้ง 2 ส่วน คือจากสำนักงาน กสทช. เอง และผู้ประกอบการ ISP

    บีอาร์ที ปรับราคาเป็น 15 บาท เริ่ม 29 พ.ค. นี้

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://goo.gl/mq1rR0)

    เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถประจำทางด่วนพิเศษ (บีอาร์ที) ที่จะสิ้นสุดสัญญาว่าจ้างเดินรถในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ และ กทม. มีแผนจะให้บริการต่อไป ว่า กทม. ได้มอบหมายให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) รัฐวิสหากิจของ กทม.เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถบีอาร์ทีหลังจากสิ้นสุดสัญญา โดย กทม. จะไม่สนับสนุนงบประมาณ เป็นเวลา 6 ปี ขณะเดียวกัน จะเริ่มปรับค่าโดยสารเป็น 15 บาทตลอดสาย ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งจากผลสำรวจถือเป็นราคาที่ประชาชนรับได้ และจะยกเว้นค่าโดยสารให้กับนักเรียน นักศึกษา ผู้พิการ ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป

    “แนวทางดังกล่าว จะทำให้ กทม. ประหยัดงบประมาณปีละ 200 กว่าล้านบาท รวมระยะเวลา 6 ปี กทม. จะประหยัดงบประมาณได้มากกว่า 1,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม อะไรที่เป็นเงินของรัฐบาล หรือเป็นเงินจากภาษีประชาชน กทม. พยายามช่วยประหยัด ยืนยันว่าโครงการนี้ กทม. จะไม่เสียแม้แต่บาทเดียว” พล.ต.อ. อัศวิน กล่าว

    ผู้สื่อข่าวถามว่า กทม. มีแนวโน้มที่จะขยายเส้นทางเดินรถบีอาร์ทีหรือไม่ พล.ต.อ. อัศวิน กล่าวว่า ต้องพิจารณาความเหมาะสม และความจำเป็นอีกครั้ง ซึ่งในอนาคตอาจจะขยายเส้นทางเดินรถบีอาร์ที หรือเป็นรถไฟฟ้าก็ได้ และเรื่องนี้ต้องหารือกับรัฐบาล คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) กระทรวงคมนาคม (คค.) ด้วย เนื่องจากมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายปัจจัย เช่น การเวนคืนที่ดิน ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

    “ผมอยากให้มีระบบขนส่งสาธารณะเยอะๆ เพื่อประชาชนจะได้ไม่ต้องใช้รถส่วนตัว อยากให้ข้อคิดว่า ใครจะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม. คนต่อไป การบริการขนส่งสาธารณะต้องเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้น ประชาชนจะเดินทางอย่างไร ใช้รถส่วนตัวก็ไม่มีที่จอด สิ้นเปลืองน้ำมัน และไม่ได้รับความสะดวก” พล.ต.อ. อัศวิน กล่าว

    เครื่องบินรัสเซียเจออากาศปั่นป่วนขณะเข้ากรุงเทพฯ เจ็บ 27 ราย

    วันที่ 1 พ.ค. 2560 เว็บไซ์บีบีซีไทยรายงานว่า เครื่องบินของสายการบินแอโรฟลอตเผชิญสภาพอากาศปั่นป่วนอย่างรุนแรงขณะเดินทางจากกรุงมอสโกของรัสเซียมายังกรุงเทพฯ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 27 คน

    เจ้าหน้าที่ทางการรัสเซียระบุไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นอาจเสียชีวิต แต่หลายคนกระดูกหักในจำนวนนี้จำเป็นต้องรับการผ่าตัด 3 คน

    ผู้โดยสารคนหนึ่งบอกว่า “ถูกเหวี่ยง” ขึ้นไปชนกับเพดาน โดยพยายามจะหาที่ยึดเกาะไว้ระหว่างที่เครื่องบินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และ “ไม่หยุดสั่น”

    ภาพถ่ายจากโทรศัพท์มือถือหลังเกิดเหตุแสดงให้เห็นผู้บาดเจ็บนอนอยู่บนช่องทางเดินระหว่างที่นั่ง สิ่งของกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ขณะที่ทางสายการบินระบุว่า สภาพอากาศแปรปรวนเกิดขึ้นขณะที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ทำให้ลูกเรือไม่สามารถเตือนผู้โดยสารได้ทัน

    แอโรฟลอตระบุในแถลงการณ์ว่า “เหตุผลที่ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคนคือ ผู้โดยสารบางส่วนไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย”

    ผู้โดยสารที่ชื่อว่า เยฟจีเนีย เปิดเผยกับ รอสซิยา 24 ทางโทรศัพท์ว่า “เราถูกเหวี่ยงขึ้นไปชนหลังคาเครื่องบิน แทบไม่สามารถที่จะยึดอะไรไว้ได้เลย”

    “มันเหมือนกับว่าเครื่องไม่หยุดสั่น และเรากำลังจะตก” เธอกล่าวเพิ่มเติม