ThaiPublica > เกาะกระแส > “คนเอาเหมือง” ชุมชนรอบเหมืองทองอัครา 29 หมู่บ้าน – บริษัทรับเหมาช่วง รวมกว่า 5 พันคน ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ขอให้ฟังชาวบ้านตัวจริง

“คนเอาเหมือง” ชุมชนรอบเหมืองทองอัครา 29 หมู่บ้าน – บริษัทรับเหมาช่วง รวมกว่า 5 พันคน ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ขอให้ฟังชาวบ้านตัวจริง

20 พฤษภาคม 2016


หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 ให้ปิดเหมืองแร่ทองคำชาตรี หรือบริษัทอัครา รีซอร์สเซส จำกัด ภายในปี 2559 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความสงบสุขของชุมชนและเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2559 เวลาประมาณ 8.00 น. ณ ศาลาว่าการจังหวัดพิจิตร ประชาชนทั้ง 29 หมู่บ้านที่อาศัยอยู่รอบเหมืองแร่ทองคำชาตรี พนักงานบริษัทอัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) พนักงานบริษัทรับเหมาช่วง บริษัท โลตัสฮอลวิศวกรรมเหมืองแร่และก่อสร้าง จำกัด บริษัท บอร์ท ลองเยียร์ จำกัด บริษัท เมโทร แมชชีนเนอรี่ จำกัด บริษัท ทีเคพีวี จำกัด พร้อมครอบครัว รวมทั้งผู้ประกอบการ ร้านค้า ธุรกิจเอกชนที่ได้รับผลกระทบ จำนวนกว่า 5,000 คน รวมพลังแสดงจุดยืน “คนเอาเหมือง” พร้อมแสดงผลตรวจสุขภาพชัดๆ และแถลงผลกระทบที่จะได้รับเต็มๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมหากเหมืองแร่ทองคำชาตรีต้องปิดตัวลงสิ้นปี 2559 หน้าศาลากลางจังหวัดพิจิตร เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางมาสัมผัสวิถีชีวิตและพูดคุยกับชาวบ้านตัวจริงที่อาศัยอยู่บริเวณรอบเหมืองแร่ทองคำชาตรี เพื่อรับข้อมูลอย่างรอบด้าน พร้อมวิงวอนให้นายกรัฐมนตรีให้ความเป็นธรรมแก่ชาวบ้านตัวจริงก่อนที่จะสายเกินไป ไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มคนที่ไม่ประสงค์ดี

กลุ่มตัวแทนต่างๆ ที่มาร่วมยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม
กลุ่มตัวแทนต่างๆ ที่มาร่วมยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม

นายวรากร จำนงค์นารถ อดีตกำนันตำบลเขาเจ็ดลูก หมู่ 2 บ้านเขาตะพานนาก ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร กล่าวว่า หลังจากที่ได้ทราบข่าวว่าคณะรัฐมนตรีมีมติให้เหมืองแร่ทองคำชาตรีดำเนินงานได้ถึงแค่ปลายปี 2559 เหตุผลเพื่อลดความขัดแย้งของคนในพื้นที่ ทำให้พวกเราชาวบ้านตัวจริงที่อาศัยอยู่บริเวณรอบเหมืองแร่ทองคำชาตรีไม่อาจนิ่งนอนใจ และได้รวมตัวแสดงพลังกว่า 5,000 คน จาก 29 หมู่บ้านรอบเหมืองแร่ทองคำชาตรี เพื่อแสดงจุดยืน และบอกความจริงให้นายกรัฐมนตรีและประชาชนโดยทั่วไปทราบถึงว่า พวกเราชาวบ้านตัวจริงอาศัยอยู่ร่วมกับเหมืองแร่ทองคำชาตรีมากว่า 15 ปีอย่างเกื้อกูล ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีความเป็นอยู่เหมือนพี่เหมือนน้องกันมาตลอด ไม่ได้มีความขัดแย้งอย่างที่กลุ่มคนบางกลุ่มที่มีเจตนาแอบแฝงได้ยกมาเป็นข้ออ้าง และสร้างเรื่องราว เพื่อหาผลประโยชน์ในการปั่นราคาขายที่ดิน ตลอดจนหาประโยชน์จากเงินกองทุนประกันความเสี่ยงที่มีอยู่กว่า 80 ล้านบาท ภายใต้การดูแลของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ โดยยกประเด็นเรื่องผลกระทบด้านสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเป็นข้ออ้าง สร้างเรื่องราวและชักจูงชาวบ้านกลุ่มหนึ่งให้เกิดความกลัว โดยให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพื่อใช้ชาวบ้านเป็นเครื่องมือ

“วันนี้พวกเราขอความยุติธรรมให้กับชาวบ้านตัวจริง ที่ขอยืนยันว่าเหมืองแร่ทองคำชาตรีอยู่กับชาวบ้านได้อย่างไม่มีความขัดแย้ง”

ด้านนางกุลจิรา เพชร์ภักดิ์ อาชีพค้าขาย ชาวบ้านหมู่ 8 บ้านดงหลง ตำบลท้ายดง อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่าการมารวมตัวกันในวันนี้ เพราะเหมืองแร่ทองคำชาตรีต้องปิดตัวลง จากการปลุกปั่นของคนที่ต้องการหาผลประโยชน์ถือว่าไม่มีความยุติธรรมกับพนักงาน ชาวบ้านตัวจริง ครอบครัว และชุมชนที่จะได้รับความเดือดร้อนในทันที

“พวกเราขอถามว่าหากหมู่บ้านเราไม่มีเหมืองแร่ทองคำก็จะกลายเป็นหมู่บ้านที่ไม่มีความเจริญ ลูกหลานจะไม่ได้รับการส่งเสริมด้านการศึกษา ชาวบ้านจะไม่ได้รับการส่งเสริมอาชีพ เพื่อแบ่งเบาภาระ คุณภาพชีวิต สังคมและเศรษฐกิจจะตกต่ำลงอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องพวกนี้ไม่ควรเกิดขึ้น”

ส่วนนายสุรชาติ หมุนสมัย ผู้จัดการฝ่ายวิทยาศาสตร์และสุขภาพ ตัวแทน บมจ. อัคราฯ กล่าวปราศรัยถึงผลกระทบในวงกว้างจากการสั่งปิดเหมืองของมติคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะพนักงานของบริษัทและบริษัทรับเหมาช่วงทั้งหมดต้องตกงาน ชาวบ้านในพื้นที่กว่า 4,000 คน ต้องขาดรายได้ ส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งภาครัฐยังสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีปีละ 100 ล้านบาท และรายได้จากค่าภาคหลวง ปีละ 400 ล้านบาท โดยที่ไทยเป็นประเทศที่มีการจัดเก็บค่าภาคหลวงเหมืองทองคำสูงที่สุดในโลกจากลักษณะการจัดเก็บแบบขั้นบันไดที่ร้อยละ 2.5 – 20 ก็ตาม

รองผู้ว่าราชการ จังหวัดพิจิตร พูดคุยกับประชาชน
รองผู้ว่าราชการ จังหวัดพิจิตร พูดคุยกับประชาชน

กลุ่มตัวแทนต่างๆ ที่มาร่วมยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม2

“การปิดเหมืองของอัคราฯ จะส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้รับเหมาและบริษัทคู่ค้าอีกมากกว่า 500 บริษัท โดยเป็นคู่ค้ารายใหญ่และรายสำคัญมากถึง 300 บริษัท เช่น บริษัท โลตัสฮอลวิศวกรรมเหมืองแร่และก่อสร้าง จำกัด ที่ทำหน้าที่เปิดเหมือง ขุดขนแร่ ให้กับอัคราฯ จนถึงปัจจุบันอัคราฯได้จ่ายให้กับผู้รับเหมาไปมากกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะตกเป็นเงินเดือนพนักงานกว่า 1,000 ล้านบาท หรือแม้แต่บริษัทรับจ้างขุดเจาะสำรวจพื้นที่หน้าเหมืองอย่าง บริษัท บอร์ท ลองเยียร์ จำกัด ที่จ่ายไปจนถึงปัจจุบันกว่า 1,000 ล้านบาท เม็ดเงินเหล่านี้หมุนเวียนในชุมชน 3 จังหวัด เพราะพนักงานมากกว่า 90 % ของบริษัทเหล่านี้เป็นคนในท้องถิ่นเช่นเดียวกับพนักงานอัคราฯ ยกตัวอย่างบริษัทอื่นๆที่รับรายได้จากอัคราฯ เช่น การไฟฟ้าแห่งประเทศไทย รับรายได้จากอัคราฯถึงปัจจุบันเกือบ 4,000 ล้านบาท การปิโตรเลี่ยมแห่งประเทศไทย (ปตท.) รับรายได้จากอัคราฯจนถึงปัจจุบันอีกกว่า 2,500 ล้านบาท เป็นต้น”

นอกจากนี้บริษัท อัคราฯ มีเงินกองทุนต่างๆหลายกองทุนที่สะสมไว้ให้ชาวบ้านและชุมชน ทั้งกองทุนหมู่บ้าน กองทุนพัฒนาตำบล และกองทุนประกันความเสี่ยง รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนกิจกรรมชุมชน ทั้งด้านสาธารณูปโภค ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพอนามัย ศาสนาและวัฒนธรรม โดยจัดตั้งโครงการส่งเสริมอาชีพ โครงการพัฒนาต่างๆ และกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในจังหวัด

ขณะที่นายศิวะกร ช่วยค้ำชู ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 บ้านเขาดิน ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ก่อนที่จะสายเกินไปพวกเราขอวิงวอนให้ท่านนายกรัฐมนตรีที่เข้ามาสร้างความสุขให้คนในชาติได้ทบทวนคำสั่งอีกครั้งและลงมาสัมผัสวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และพูดคุยกับชาวบ้านตัวจริงในพื้นที่ ซึ่งเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่าหากท่านนายกฯได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจะให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา และคืนความสุขให้ประชาชนทั้ง 29 หมู่บ้านได้จริง”