ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 ธ.ค. 2558: “เลิกพิจารณาแล้ว ‘พ.ร.บ.จีเอ็มโอ'” และ “รวบซีอีโอผู้ขึ้นราคายาต้านเอชไอวีฐานฉ้อโกง”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 ธ.ค. 2558: “เลิกพิจารณาแล้ว ‘พ.ร.บ.จีเอ็มโอ'” และ “รวบซีอีโอผู้ขึ้นราคายาต้านเอชไอวีฐานฉ้อโกง”

19 ธันวาคม 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 ธ.ค. 2558

  • เลิกพิจารณาแล้ว “พ.ร.บ.จีเอ็มโอ”
  • “ขิง-เทือก” ปัดข่าว “ชายหมู” ร่วมตั้งพรรคใหม่
  • มังกรเผยเกล็ด ผลศึกษาลงทุนร่วมรถไฟไทยจีน งบบาน 5.3 แสนล้าน
  • “เหมืองแร่เมืองเลย” ฟ้องหมิ่นประมาทเด็ก ม.4
  • รวบซีอีโอผู้ขึ้นราคายาต้านเอชไอวีฐานฉ้อโกง
  • เลิกพิจารณาแล้ว “พ.ร.บ.จีเอ็มโอ”

    พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (http://goo.gl/LucnnB)
    พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (http://goo.gl/LucnnB)

    หลังจากกลายเป็นกระแสร้อน ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างดุเดือดในโซเชียลเมียเดีย ในที่สุด การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือที่เรียกกันว่า “พ.ร.บ.จีเอ็มโอ” ก็มาถึงบทสรุป

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2558 เวลา 14.20 น. ณ นารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม. ถึงเรื่องดังกล่าวว่า ในกรณีร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือที่รู้จักในนาม พ.ร.บ.จีเอ็มโอ ซึ่งมีปัญหาถกเถียงกัน คณะรัฐมนตรีได้ผ่านความเห็นชอบในเรื่องดังกล่าวและกำลังอยู่ในขั้นกฤษฎีกา ปรากฏว่ามีข้อคิดเห็นข้อสังเกตจากประชาชนหลายกลุ่มมายื่นข้อเสนอ

    นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและร่วมหารือ นำข้อเสนอแนะจากฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งได้มายื่นกับทางรัฐบาลไว้มาพิจารณา วันนี้กฤษฎีกาได้นำเรื่องมาเรียน ว่าเรื่องร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ อยู่ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงปฎิรูปการเกษตรที่ยังไม่เสร็จสิ้น แต่กฎหมายดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่พูดถึงอนาคตต่อการดำเนินการต่อพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ แต่เมื่อเรายังอยู่ในส่วนที่กำลังปฎิรูปทางด้านเกษตรไม่เสร็จ จึงไม่เหมาะสมกับช่วงเวลาและสถานการณ์

    ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบให้ส่งไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยรัฐบาลได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบในทุก ๆ มุม แต่ไม่ได้หมายความว่าหากมีเสียงคัดค้าน ทุกอย่างจะหยุดจะชะลอ เพียงแต่รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย

    และในวันเดียวกัน เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจยังรายงานคำกล่าวของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อเรื่องดังกล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวไม่เกิดประโยชน์ จึงให้เลิกพิจารณา ตนเห็นว่าในต่างประเทศจะมีการนำพืชจีเอ็มโอมาใช้ในกรณีที่มีสงคราม หรือผลิตสินค้าเกษตรไม่ได้เพราะปนเปื้อน มีเชื้อโรคระบาดเพราะพืชเหล่านี้ป้องกันโรคระบาดได้ แต่ที่ไทยยังไม่ชัดเจน สำหรับพืชเหล่านี้ตัดแต่งพันธุกรรมมาเพื่อให้ใช้น้ำน้อย ต้านทานโรคได้ มีผลผลิตสูง ซึ่งอาจใช้ตอนมีสงครามโลกก็ได้ แต่ขณะนี้ยังไม่เกิดและขออย่าเกิดสงคราม แต่ก็ต้องเตรียมตัวไว้

    “ขิง-เทือก” ปัดข่าว “ชายหมู” ร่วมตั้งพรรคใหม่

    นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (ซ้าย) และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร (ขวา) ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/548917)
    นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (ซ้าย) และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร (ขวา)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/548917)

    หลังจากที่มีข่าว ออกมาว่าม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร หรือ “คุณชายหมู” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ถูกขับออกจากพรรค จึงจะไปรวมตัวกับกลุ่มของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ (มปท.) เพื่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ร่วมกัน ร้อนถึงนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการมูลนิธิ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องออกมาปฏิเสธดังที่เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า ฝั่งนายเอกนัฏ บอกว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยย้ำจุดยืนของนายสุเทพ หรือ “ลุงกำนัน” ว่า 1. ลุงกำนันไม่กลับพรรคประชาธิปัตย์ 2. ลุงกำนันไม่ตั้งพรรคการเมืองใหม่ 3. ลุงกำนันเดินหน้าทำงานมูลนิธิฯ สรุปสั้นๆ ว่า ข่าวลือเรื่องตั้งพรรคการเมืองนั้น ไม่เป็นความจริง

    ในขณะที่ทางด้านนายสุเทพ กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง และตนไม่ได้พบ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์นานแล้ว และเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นการสร้างเรื่องขึ้น จะด้วยผลประโยชน์ทางการเมืองหรืออะไรก็ตาม แต่ตนไม่ใส่ใจและไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่คิดไปลงสมัครรับเลือกตั้งอีกแล้ว และขอฝากถึงคนปล่อยข่าวด้วยว่า อย่าเสียเวลากับเรื่องนี้ วันนี้เราควรมาช่วยกันทำงานให้กับชาติบ้านเมืองและประชาชนดีกว่า

    นายสุเทพกล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาระหว่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กับพรรคประชาธิปัตย์นั้น แนะนำว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องทบทวนบทเรียนว่า ที่ผ่านมาประวัติศาสตร์เป็นอย่างไร หน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ คือ ทำให้พรรคเป็นที่คาดหวังของประชาชนว่าสามารถพึ่งพิงได้ แต่พรรคประชาธิปัตย์จะทำอย่างไรนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับตน เพราะตนได้ลาออกจากพรรคแล้ว และยืนยันว่าจะไม่กลับไปอีก ทั้งนี้ ขอให้กำลังใจ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยให้เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ถือโอกาสทำงานให้กับคนกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้เป็นโอกาสที่ดีของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่และที่นี่

    มังกรเผยเกล็ด ผลศึกษาลงทุนร่วมรถไฟไทยจีน งบบาน 5.3 แสนล้าน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (http://goo.gl/EGQc7K)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (http://goo.gl/EGQc7K)

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2558 โดยอ้างอิง “แหล่งข่าว” จากกระทรวงคมนาคมว่า ผลการศึกษาเบื้องต้นโครงการรถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย และแก่งคอย-มาบตาพุด ระยะทาง 873 กิโลเมตร ที่รัฐบาลจีนส่งมอบให้กระทรวงพิจารณาเบื้องต้น สรุปว่าใช้เงินลงทุนทั้งโครงการกว่า 5.3 แสนล้านบาท แยกเป็นค่าก่อสร้างประมาณ 4 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือกว่า 1 แสนล้านบาทเป็นค่างานระบบและรถไฟฟ้า

    ทั้งนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) อยู่ระหว่างมอบหมายให้บริษัทที่ปรึกษาตรวจสอบรายละเอียดรายการก่อสร้างทั้งหมด เนื่องจากมูลค่าการลงทุนสูงกว่าทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ โดยฝ่ายไทยมีผลศึกษาว่าเงินลงทุนทั้งโครงการอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท และมีค่าเวนคืนประมาณ 7,748 ล้านบาท

    “ในแง่ผลศึกษาโครงการ ข้อมูลของไทยและจีนยังแตกต่างกันอยู่ ทำให้ต้นทุนก่อสร้างที่จีนเสนอมาสูง ต้องมาดูรายละเอียดกันใหม่ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำที่ฝ่ายจีนเสนอมา เฉลี่ย 160 หยวน/วัน คิดเป็นเงินไทย 800 บาท/วัน (อัตราคำนวณหยวนละ 5 บาท) ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 300 บาท/วัน นอกจากนี้ จีนยังเสนอให้ไทยสั่งนำเข้าวัสดุก่อสร้างจากจีน เช่น เหล็กบางชนิด ซึ่งราคาค่อนข้างแพง”

    โดยผลการศึกษาโครงการเฟสแรก เส้นทางกรุงเทพฯ-แก่งคอย-นครราชสีมา เบื้องต้นทั้ง 2 ฝ่ายมีกำหนดการร่วมกันว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนพฤษภาคม 2559 ทางฝ่ายจีนส่งผลการศึกษาเบื้องต้นใช้เงินลงทุนประมาณ 229,614 ล้านบาท แยกเป็นค่าก่อสร้างและรับตัวรถ 224,619 ล้านบาท ค่าเวนคืนที่ดิน 4,994 ล้านบาท วงเงินที่เสนอมา ยังเป็นการประเมินของจีนฝ่ายเดียว ต้องรอที่ปรึกษาตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งในช่วง 6 เดือนจากนี้ก็ยังตอบไม่ได้ชัดว่าเริ่มสร้างได้ไหม เพราะยังมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาอีกเยอะ เช่น ผลศึกษาฉบับสมบูรณ์ที่จีนจะส่งให้เพื่อประเมินเงินลงทุนที่แท้จริง ดอกเบี้ยเงินกู้ การทำอีไอเอยังไม่ผ่าน เป็นต้น

    นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้เงินลงทุนโครงการรถไฟไทย-จีนยังไม่นิ่ง โดยได้สั่งการให้ที่ปรึกษาของการรถไฟฯ ทำการตรวจสอบข้อมูลผลศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟไทย-จีนที่ฝ่ายรัฐบาลจีนส่งให้พิจารณาถึงตัวเลขต้นทุนโครงการอย่างละเอียดและชัดเจน

    “เงินลงทุนโครงการที่จีนเสนอมากว่า 5 แสนล้านบาทเป็นเพราะมีการก่อสร้างอุโมงค์ สะพาน และเพิ่มสถานี เช่น สถานีชุมทางบ้านภาชี เดิมอยู่ในโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ แต่ได้ปรับให้มาอยู่ในโครงการรถไฟไทย-จีน นอกจากนี้ เป็นวิธีการคิดต้นทุนที่จีนคำนวณออกมา ฝ่ายไทยต้องนำแบบก่อสร้างที่จีนศึกษาไว้ถอดค่าใช้จ่ายก่อสร้างตามวิธีคิดและระบบราคากลางของไทย รวมทั้งสอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันปัจจุบันที่ปรับตัวลดลงแล้ว”

    นายอาคมกล่าวอีกว่า สำหรับอัตราดอกเบี้ย ฝ่ายไทยยืนยันขอให้จีนปรับลดลงจาก 2.5% โดยเห็นว่าไม่ควรสูงกว่า 2% เป็นประเด็นที่ต้องมีการหารือกันต่อไปในที่ประชุมครั้งที่ 10 ณ ประเทศจีน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559

    พร้อมกับสรุปรายงานผลการศึกษาทั้งโครงการฉบับสมบูรณ์ที่จีนมีกำหนดส่งมอบภายในเดือนธันวาคมนี้เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการช่วงที่ 1 จากกรุงเทพฯ-แก่งคอย-นครราชสีมา ขณะนี้มีความคืบหน้าแล้ว 80% ตั้งเป้าเริ่มก่อสร้างกลางปี 2559 ส่วนช่วงที่ 2 แก่งคอย-มาบตาพุด ระยะทาง 246.5 กิโลเมตร และนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 355 กิโลเมตร ขณะนี้การออกแบบคืบหน้ากว่า 50% ฝ่ายจีนจะส่งมอบผลศึกษาต้นปี 2559

    “เหมืองแร่เมืองเลย” ฟ้องหมิ่นประมาทเด็ก ม.4

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพีบีเอส (http://org.thaipbs.or.th/org_news/prnews/article771649.ece)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพีบีเอส (http://org.thaipbs.or.th/org_news/prnews/article771649.ece)

    13 ธ.ค. 2558 เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานโดยอ้างอิงข่าวจากสำนักข่าวประชาไทยว่า ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า มีหนังสือจากสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเลย ส่งถึง น.ส. … (ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ) และบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง เรื่องขอเชิญ น.ส. … (ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ) และบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง มาให้ถ้อยคำต่อพนักงานคุมประพฤติ โดยได้ส่งหนังสือแนบมาด้วยคือ หนังสือของอนุญาตฟ้องเด็กและเยาวขนคดีอาญา ลงวันที่ 27 พ.ย. 2558

    ทั้งนี้ หนังสือจากสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเลย ระบุว่า ด้วยทนายความและที่ปรึกษากฎหมายผู้ได้รับมอบอำนาจ ได้มีหนังสือขออนุญาตฟ้องเด็กหรือเยาวชน คดีอาญา ในข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร และโทรทัศน์ ซึ่งตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีวิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 99 วางหลักว่า ห้ามมิให้ผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาซึ่งมีข้อหาว่าเด็กหรือเยาวชนกระทำความผิดต่อศาลเยาวชนและครอบครัว เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการสถานพินิจที่เด็กหรือเยาวชนอยู่ในเขตอำนาจนั้น

    สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเลยจึงขอเชิญ น.ส. … (ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ) และบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง มาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์ในคดี ในวันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2558 เวลา 09.00 น. ณ ฝ่ายคดี สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเลย เพื่อจักดำเนินการสืบสวน และสอบสวนข้อกล่าวหานั้นว่ามีมูลสมควรให้ให้ผู้เสียหายฟ้องหรือไม่

    ผู้สื่อรายงานต่อไปว่า ในหนังสือของอนุญาตฟ้องเด็กและเยาวชนคดีอาญา ลงวันที่ 27 พ.ย. 2558 ระบุว่า ด้วยเมื่อวันที่ 28-30 สิงหาคม 2558 น.ส. … (ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ) อายุ 15 ปี ในฐานะนักข่าวพลเมืองสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้ให้สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ หรือนักข่าวภาคสนามประจำสถานีโทรทัศน์ดังกล่าว ขณะออกค่ายเยาวชนฮักบ้านเจ้าของ “ตอน นักสืบลำน้ำฮวยแท้ๆ แน๊ว” ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 28-30 สิงหาคม 2558 ที่วัดโนนสว่าง ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย ในลักษณะเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด (โจทก์) ว่า “ลำน้ำฮวยได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำโดยลำน้ำฮวยมีสารปนเปื้อน ทำให้ใช้ดื่ม ใช้กินไม่ได้”

    ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2558 เทปบันทึกคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวของ น.ส. … (ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ) ได้ถูกทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส นำเสนอออกอากาศทางโทรทัศน์ทั่วประเทศ และเผยแพร่ทางยูทูป ทางอินเทอร์เน็ต ด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งให้สัมภาษณ์ดังกล่าวของ น.ส. … (ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ) ถือเป็นการใส่ความร้ายต่อบริษัท ทุ่งคำ จำกัด (โจทก์) เนื่องจากข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ เพราะความจริงเหมืองแร่ดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่มีสารปนเปื้อน และลำน้ำฮวยไม่ได้ไหลผ่านเหมืองแร่

    จากกรณีข้างต้น บัดนี้ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ได้ดำเนินการฟ้องเกี่ยวข้องเป็นคดีอาญาในข้อหาหรือฐานความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ต่อศาลอาญา ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.3756/2558 ปรากฎตามสิ่งที่แนบมาด้วย (2) และพฤติการณ์แห่งคดีบริษัท ทุ่งคำ จำกัด เห็นว่า น.ส. … (ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ) มีเจตนากระทำความผิดหรือเข้าข่ายเป็นผู้กระทำผิดอาญา ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

    ดังนั้น บริษัท ทุ่งคำ จำกัด จึงมีความจำเป็นและชอบธรรมที่จะฟ้องใช้สิทธิทางศาล เพื่อปกป้อง รักษา ชื่อเสียงเกียรติคุณ และธุรกิจของตนเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ด้วยการดำเนินคดีอาญากับ น.ส. … (ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ) ในฐานความผิดหมิ่นประมาทฯ

    ขณะเดียว ต่อกรณีดังกล่าว มีรายงานเพิ้มเติมจากบีบีซีไทยในวันที่ 17 ธ.ค. 2558 ว่า วานนี้ คณะทำงานด้านเด็ก 22 องค์กร ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วงและเสนอให้ทางบริษัทฯ ถอนฟ้องเยาวชนรายดังกล่าว

    ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า นางอัญชนา จ้อนเมือง นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ รักษาราชการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเลย และเจ้าหน้าที่อีก 4 นาย ได้ลงพื้นที่ไปบ้านของเยาวชนรายดังกล่าว เพื่อสอบถามและให้การช่วยเหลือเบื้องต้น พบว่าครอบครัวและเยาวชนมีความวิตกกังวล จึงได้อธิบายถึงข้อกฎหมายว่า เรื่องนี้มี ผอ.สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จ.เลย ที่จะดูแลในส่วนนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับครอบครัว ว่าน้องยังเป็นเด็ก อายุ 15 ปี อยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ ซึ่งสถานพินิจฯ จะเข้ามาดูแล

    ด้านไทยพีบีเอสได้ออกแถลงการณ์ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ยืนยันการนำเสนอข่าวของเยาวชนนักข่าวพลเมือง ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ซึ่งกระทำได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 และบริษัทมีทางเลือกสามารถที่จะร้องเรียนโดยตรงต่อคณะอนุกรรมการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชน หรือฟ้องร้องดำเนินคดี แต่ขอให้ทบทวนการฟ้องร้องเยาวชนนักข่าวพลเมือง ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.4 โดยจำกัดวงให้เหลือเฉพาะในส่วนของไทยพีบีเอสเท่านั้น

    ผอ.สำนักเครือข่ายสื่อสาธารณะให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่าการถูกฟ้องหมิ่นประมาทครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีของรายการนักข่าวพลเมือง และหลังจากนี้ต้องระมัดระวังแต่ไม่ใช่ความกลัวในการนำเสนอข่าว รายการนักข่าวพลเมืองไทยพีบีเอสจะยังทำงานตามปรกติและในส่วนของการดำเนินคดีกับเยาวชนนั้น นายสมเกียรติกล่าวว่า ไทยพีบีเอสจะเป็นผู้ดูแลทั้งหมดรวมถึงค่าใช้จ่ายด้วย

    รวบซีอีโอผู้ขึ้นราคายาต้านเอชไอวีฐานฉ้อโกง

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/550622)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/550622)

    วันที่ 18 ธ.ค. 2558 เว็บไวซต์ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่านาย มาร์ติน ชเครลี (Martin Shkreli) ประธานคณะผู้บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทเภสัชกรรม “ทัวริง ฟาร์มาซูติคอลส์ เอจี” ของสหรัฐฯ ผู้ประกาศขึ้นราคายา “ดาราพริม” (Daraprim) ยาที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในผู้ติดเชื้อเอชไอวีถึง 5,500% จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกงบริษัทเดิมที่เขาเคยทำงานอยู่

    ข่าวระบุว่า นายชเครลีถูกเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) จับกุมตัวเมื่อวันพฤหัสบดี ที่เมืองแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก ในข้อหาใช้ทรัพย์สินของบริษัท “เรโทรฟิน” ที่นายชเครลีเคยเป็นซีอีโอ ในการจ่ายหนี้อย่างผิดกฎหมาย หลังจากบริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์ “เอ็มเอสเอ็นบี แคปิตอล เมเนจเมนต์” ที่เขาเคยเป็นผู้จัดการ สูญเสียเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ

    เจ้าหน้าที่เอฟบีไอสืบสวนย้อนไปถึงเดือน ม.ค. เมื่อครั้งที่บริษัท เรโทรฟิน ได้รับหมายศาลจากอัยการเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับนายชเครลี และต่อมาในเดือน ส.ค. บริษัท เรโทรฟิน ก็ยื่นฟ้องนายชเครลี ซึ่งร่วมก่อตั้งบริษัทนี้ในปี 2011 ในข้อหาใช้งบประมาณของบริษัทในทางที่ผิด

    ล่าสุดในวันพฤหัสบดี บริษัท เรโทรฟิน ออกแถลงการณ์ว่า พวกเขาถอดนายมาร์ติน ชเครลี ออกจากตำแหน่งซีอีโอเมื่อกว่า 1 ปีก่อนเพราะความกังวลอย่างร้ายแรงต่อพฤติกรรมของเขา และหลังจากเขาออกไป บริษัทก็ให้มอบหมายให้มีการสอบสวนอิสระเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายชเครลี, เผยแพร่ผลการสอบสวนของพวกเขา และให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของรัฐบาลอย่างเต็มที่

    ทั้งนี้ เมื่อเดือน ก.ย. นายชเครลีถูกโลกออนไลน์โจมตีอย่างหนัก หลังจากบริษัท ทัวริง ฟาร์มาซูติคอลส์ เอจี ได้ใบอนุญาตผลิตยา ไพริเมทธามีน (Pyrimethamine) หรือชื่อการค้าคือ ดาราพริม ยาที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อต้านโรคทอกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) ซึ่งจะเกิดในคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งใช้ในผู้ป่วยโรคเอดส์ ก่อนจะประกาศขึ้นราคายาตัวนี้กว่า 5,500% จาก 13.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อเม็ด (ราว 490 บาท) เป็น 750 ดอลลาร์สหรัฐต่อเม็ด (ราว 27,100 บาท) โดยอ้างว่าเพื่อสร้างกำไร

    เรื่องดังกล่าวทำให้นางฮิลลารี คลินตัน หนึ่งในผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมเครตเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศว่า จะหาทางแก้ปัญหาการขึ้นราคาเกินเหตุของบริษัทยาให้ได้