
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2558 นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ ในไตรมาส 2 ปี 2558 ว่ามียอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น 13,300 ล้านบาท จาก 298,300 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2558 เป็น 311,600 ล้านบาทในไตรมาสนี้ โดยมีสาเหตุหลักจากธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ธุรกิจภาคพาณิชย์ และธุรกิจภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสินเชื่อรวมแล้ว หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นจาก 2.29% เป็น 2.38% เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่ก็ตาม
ทั้งนี้ เมื่อเทียบมาตั้งแต่ปี 2557 พบว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 279,800 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2557 จากนั้นปรับขึ้นตลอดมาเป็น 283,700 ล้านบาท, 294,100 ล้านบาท 277,200 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 3 4 ของปี 2558 ตามลำดับ และในไตรมาสแรกของปี 2558 จำนวน 298,300 ล้านบาท
ขณะที่หนี้จัดชั้นกล่าวถึงพิเศษ หรือเอสเอ็ม (SM: Special Mention Loan) หรือหนี้ที่ผิดชำระหนี้ตั้งแต่ 1-3 เดือน ได้เริ่มปรับตัวลดลงจาก 366,200 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2558 เหลือเพียง 355,600 ล้านบาทในไตรมาสนี้ และเมื่อเทียบย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2557 พบว่าระดับของหนี้เอสเอ็มยังอยู่ในระดับสูง จากเดิมที่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 – ไตรมาส 4 ของปี 2557 มีระดับหนี้เอสเอ็มที่ 295,600 ล้านบาท, 288,600 ล้านบาท, 298,700 ล้านบาท และ 319,800 ล้านบาท ก่อนจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาสแรกของปี 2558 เป็น 366,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 5 หมื่นล้านบาท
นายจาตุรงค์กล่าวถึงแนวโน้มของหนี้เสียในอนาคตว่า ถ้าดูจากที่ผ่านมาจะพบว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อยู่ที่ 2.2% กว่าๆ ซึ่งเป็นการปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ ในปัจจุบันทางธนาคารพาณิชย์เองได้มีความพยายามที่จะดูแลลูกหนี้เป็นพิเศษอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโอนหรือตัดขายออกไป ซึ่งจะสะท้อนอยู่ในผลประกอบการของธนาคาร แต่ที่ผ่านมาจะเห็นว่ายังไม่ได้มีผลกระทบมาก โดยกำไรของธนาคารได้ลดลงประมาณ -10.9% ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการกันสำรองเพิ่มมากขึ้นด้วย
“แนวโน้มของหนี้เสียตอบยาก เพราะมันขึ้นอยู่กับการจัดการของแบงก์เยอะพอสมควร ถ้าไปดูเดือนธันวาคมปีที่แล้วมันลดลงเยอะ เพราะแบงก์มีการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น การตัดขายหรือโอนหนี้ไป แต่ตอนนี้ถ้าเอามารวมอาจจะวิเคราะห์ลำบาก เพราะบางส่วนก็กลับมาเป็นหนี้ดีด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่อยากจะสรุปว่ามากน้อยแค่ไหน กำลังดูอยู่” นายจาตุรงค์กล่าว(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)
นายจาตุรงค์กล่าวต่อว่า เมื่อดูฐานะของระบบธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันยังถือว่ามีความเข้มแข็งอยู่ แม้ว่าหนี้เสียจะเพิ่มมากขึ้น โดยมีการกันสำรองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 165.1% ของเงินสำรองพึงกัน โดยในไตรมาส 2 ของปี 2558 ได้กันสำรองเพิ่มขึ้นจาก 405,400 ล้านบาทเป็น 424,900 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 20,000 ล้านบาทภายใน 1 ไตรมาส ขณะที่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินสำรองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกันจาก 383,500 ล้านบาทในปี 2556 เป็น 397,800 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2557
ด้านภาพรวมการปล่อยสินเชื่อไตรมาส 2 ปี 2558 ยังขยายตัวได้ 4.6% ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปี 2558 ที่ขยายตัว 4.3% และคาดว่าทั้งปีจะขยายตัวได้ 4.4% หากการปล่อยสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียง 330,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่เหมาะสมกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับปัจจุบัน
ทั้งนี้ สินเชื่อที่ขยายตัวน้อยที่สุดคือ สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขยายตัว 0.7% ชะลอลงจาก 2.6% ในไตรมาสก่อนจากการชำระหนี้คืนของบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ธุรกิจการพาณิชย์ที่หันไประดมทุนโดยการออกหุ้นกู้แทน ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีขยายตัว 5.2% เพิ่มขึ้นจาก 4.4% ในไตรมาสก่อน ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง ด้านสินเชื่ออุปโภคบริโภคทรงตัวที่ 7.8% ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตชะลอลงมาอยู่ที่ 8.1% และสินเชื่อรถยนต์หดตัวที่ 3.7%