ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 12-18 กรกฎาคม 2558: “นาซาเยือนพลูโต พบเกรียนไทยไกลสุดขอบสุริยะ” และ “อียูยัน ยังไม่คว่ำบาตรไทย”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 12-18 กรกฎาคม 2558: “นาซาเยือนพลูโต พบเกรียนไทยไกลสุดขอบสุริยะ” และ “อียูยัน ยังไม่คว่ำบาตรไทย”

18 กรกฎาคม 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 12-18 กรกฎาคม 2558

  • นาซาเยือนพลูโต พบเกรียนไทยไกลสุดขอบสุริยะ
  • ปิด-ไม่ปิด ชะตาชีวิตบ้านครูน้อย
  • เรียกเป่า 5 ครั้ง ผบช.น. ไม่พอใจ เจ้าหน้าที่ขาดไหวพริบ
  • อียูยัน ยังไม่คว่ำบาตรไทย
  • สะเก็ดอุยกูร์ บังโตสวนเดือด ดี้ นิติพงษ์ ใจเหล่
  • นาซาเยือนพลูโต พบเกรียนไทยไกลสุดขอบสุริยะ

    ที่มาภาพ: ASTVผู้จัดการออนไลน์ http://goo.gl/TiaFwB
    ที่มาภาพ: ASTVผู้จัดการออนไลน์ http://goo.gl/TiaFwB

    ดุจดังมิตรสหายในโลกออนไลน์ ที่บ่อยครั้งหลายคนก็เพียงเคยเห็นกันแค่รูปโปรไฟล์ แต่ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตากันจริงๆ

    #ดาวพลูโตก็เช่นกัน

    นับแต่ไคลด์ วิลเลียม ทอมบอ (Clyde William Tombaugh) ค้นพบเจ้าดาวน้อยนี้ในปี พ.ศ. 2473 ระยะทางที่ห่างจากโลกประมาณ 48,000 ล้านกิโลเมตร ก็ทำให้เราไม่เคยได้เห็นหน้ามิตรสหายร่วมระบบสุริยะแบบชัดๆ เจนๆ แม้เพียงครั้ง กระทั่งเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2558 ความเร็ว 49,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเวลาเดินทาง 9 ปี ของนิวฮอไรซันส์ (New Horizons) ยานสำรวจขนาดเท่าเปียโน ได้พาดาวพลูโตมาใกล้เพียงพอจะเก็บภาพใบหน้าค่าตาของมันมาให้เห็นกันชัดๆ

    และในวินาทีประวัติศาสตร์นั้น…นาซาก็ได้พบกับเกรียนไทย

    ในขณะที่ทางนาซากำลังถ่ายทอดวินาทีสำคัญนั้นให้ดูกันสดๆ ผ่านทางเว็บไซต์ยูทูบ โดยมีนายชาร์ลส์ แฟรงก์ โบลเดน จูเนียร์ (Charles Frank Bolden, Jr.) ผู้บริหารขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือนาซา คอยตอบคำถามแก่ผู้ที่มาตั้งคำถามผ่านการสนทนาออนไลน์แบบสดๆ (live chat) ก็ได้มีคนไทยกลุ่มหนึ่งเข้าไป “ป่วน” การตอบคำถามด้วยการแชทเป็นภาษาไทยในเรื่องที่ไม่อยู่ในประเด็น เช่น “ดาวพลูโต จะมีกัญชาป่าววะ”, “ลิเวอร์พูลโต เตะกี่โมงครับวันนี้.” และอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้ชาวต่างชาติที่มาตั้งคำถามและรอฟังคำตอบรวมทั้งคนไทยหลายคนที่ติดตามอยู่เอือมระอาไปตามๆ กัน (ดูรายละเอียดที่นี่)

    และเช่นเดียวกับทุกครั้งที่เกรียนไทยป่วนใส่ต่างชาติในโลกออนไลน์ งานนี้ก็ได้สร้างความรู้สึกหงุดหงิดโกรธเคืองและอับอายให้กับคนไทยหลายๆ คนที่รู้เรื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีมุมมองที่แตกต่างออกมาจากลักขณา ปันวิชัย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “คำ ผกา” นักเขียนและคอลัมนิสต์ชื่อดัง ดังนี้

    “ในกรณีนี้ ถ้าคิดว่าเราต้องการเข้าใช้พื้นที่สาธารณะแบบสนุกสนาน ไม่ได้คิดอะไร ทำแล้วสบายใจ ก็ทำไป แต่ต้องยอมรับว่า หากจะมีคนอื่นมาตำหนิเราบ้าง ก็ต้องยอมรับให้ได้ และคือในทางมารยาทแล้วเนี่ย พื้นที่ตรงนั้นมันก็เป็นพื้นที่ของเขา เราน่าจะคิดว่า เราไปทำให้หน้าวอลล์เขารกหรือเปล่า

    อย่างไรก็ตาม ก็ยืนยันว่ามันเป็นพื้นที่สาธารณะ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะใช้ สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเท่าเทียมกัน ก็ไม่อาจจะมีใครคนหนึ่งคนใดไปกีดกันได้ว่า “อุ๊ย! อย่ามาเกรียน” เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในเสรีภาพของการแสดงออกของทุกคน ตราบเท่าที่ไม่ได้ละเมิดกฎหมาย หมิ่นประมาทหรือใส่ร้ายผู้อื่น ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องอย่าลืมกลับมาถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เราไปโชว์เกรียนไว้ในเว็บไซต์ต่างประเทศนั้นมันบรรลุวัตถุประสงค์ที่เราต้องการหรือเปล่า คือถ้าอยากปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ก็ต้องดูว่าสิ่งที่เราไปทำกันเนี่ยมันบรรลุซึ่งวัตถุประสงค์ของตัวเองหรือเปล่า ทำไปแล้วเนี่ยประเทศชาติเสียศักดิ์ศรีมากขึ้น หรือว่าทำให้สถานการณ์มันเลวร้ายไปกว่าเดิมหรือเปล่า?”

    (อ่านความคิดเห็นของเธอเต็มๆ ได้ที่นี่)

    แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าสถานการณ์เกรียนไทยจะเป็นอย่างไร ยานนิวฮอไรซันส์ก็สามารถเดินทางเข้าใกล้ดาวพลูโตและสามารถถ่ายภาพพื้นผิวของมันมาให้ทุกคนได้ชมในที่สุด

    ปิด-ไม่ปิด ชะตาชีวิตบ้านครูน้อย

    ที่มาภาพ: ประชาชาติธุรกิจ http://goo.gl/0DFI8d
    ที่มาภาพ: ประชาชาติธุรกิจ http://goo.gl/0DFI8d

    กลายเป็นเรื่องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2558 วอยซ์ทีวีรายงานว่า นางนวลน้อย ทิมกุล หรือที่หลายคนคงคุ้นเคยกันดีในชื่อ “ครูน้อย” เตรียมปิด “สถานรับเลี้ยงเด็กยากจน บ้านครูน้อย” ที่ตนก่อตั้งและดำเนินการมายาวนานกว่า 35 ปี

    เว็บไซต์ MThai รายงานในวันที่ 14 ก.ค. 2558 ว่า “ครูน้อย” เผยถึงสาเหตุที่ต้องตัดสินใจ “ปิดสถานเลี้ยงเด็กยากจน” แห่งนี้ ก็เนื่องมาจากปัญหาหนี้สิน และไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายที่มากถึงวันละ 6,500 บาท หรือ เดือนละประมาณ 200,000 บาทได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีผู้ใจบุญช่วยบริจาคบ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดปัญหาหนี้สินบานปลาย ประกอบกับสุขภาพร่างกายในวัย 72 ปีที่เริ่มทรุดโทรมลงเรื่อยๆ

    บ้านครูน้อยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2523 และได้รับการรับรองจากกรมประชาสงเคราะห์ให้เป็นสถานสงเคาะห์เด็กยากจนในปี พ.ศ. 2530 ปัจจุบันมีเด็กในอุปการะ 65 คน นอกจากนี้ยังช่วยเหลือคนในชุมชนรอบบ้านตามแต่จะมีกำลังในขณะนั้น ทั้งนี้ ครูน้อยเปิดเผยว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการนั้นอยู่ที่ประมาณ 2 แสนบาทต่อเดือน ส่วนรายได้นั้นมาจากการบริจาค โดยอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นบาทต่อเดือน (ดูรายละเอียดที่นี่) และยังมีหนี้สิ้นทั้งนอกระบบและในระบบรวมแล้วเกือบสามล้านบาท (ดูรายละเอียดที่นี่)

    อย่างไรก็ดี ในที่สุด วิกฤติการณ์ครั้งนี้ก็ผ่านไปได้ เมื่อ พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ ได้เข้ามาช่วยเหลืออีกครั้ง ดังที่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2553 ซึ่งคราวนั้นครูน้อยมีปัญหาต้องชำระหนี้สูงถึง 5 หมื่นบาทต่อวัน และมีหนี้สินรวมสูงถึง 8 ล้านบาท ซึ่ง พล.ต.อ. พงศพัศได้เข้ามาช่วยเป็นธุระจัดการให้ รวมทั้งช่วยเจรจากับเจ้าหนี้ และเปิดบัญชีระดมทุนจากประชาชน

    ทั้งนี้ ในครั้งนี้ พล.ต.อ. พงศพัศบอกว่า

    “หลังจากผมได้พูดคุยกับ ผบ.ตร. โดยเล่าปัญหาทั้งหมดให้ฟังท่านฝากความเห็นใจและส่งผมมาพูดคุยและแก้ ปัญหาในวันนี้โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ปัญหาการแกไขปัญหาหนี้นอกระบบซึ่งเป็น หนี้สินที่เกิดจากการใช้จ่ายเกินตัวโดยได้ไปหยิบยืมเงินมาจากเจ้าหนี้ถึง 10-20 ราย และขาดส่งดอกเบี้ยเป็นเวลานาน ทำให้หนี้สินพอกพูน ซึ่งตัวเลขหนี้สินทั้งหมด ผมจะขอรายละเอียดกับครูน้อย และตั้งใจว่าจะเคลียร์หนี้สินให้ครูน้อยอีกครั้ง เพื่อรักษาเจตนารมณ์ที่ดีต่อไป แต่ทางครูน้อยต้องสัญญาว่า ครั้งนี้จะเป็นการกู้หนี้นอกระบบครั้งสุดท้าย ได้เงินเท่าไหร่ ต้องให้เด็กทั้งหมด จัดการใช้เงินทุกบาทอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้รายจ่ายสูงกว่ารายรับ”พล.ต.อ. พงศพัศกล่าว

    และยังกล่าวอีกว่า สำหรับการช่วยเหลือปลดหนี้ในครั้งนี้ จะไม่เปิดบัญชีระดมทุนจากประชาชนเหมือนครั้งปี 2553 แต่คาดว่าจะเรี่ยไรเงินจากฝั่งตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และผู้มีจิตศรัทธาที่จะช่วยเหลือ บ้านครูน้อยโดยตรง เนื่องจากตัวเลขหนี้นอกระบบในครั้งนี้มีประมาณล้านกว่าบาท

    เรียกเป่า 5 ครั้ง ผบช.น. ไม่พอใจ เจ้าหน้าที่ขาดไหวพริบ

    ที่มาภาพ: มติชนออนไลน์ http://goo.gl/5vHUa0
    ที่มาภาพ: มติชนออนไลน์ http://goo.gl/5vHUa0

    กลายเป็นความฮือฮาให้สังคมออนไลน์มีเรื่องให้ถกเถียงเล็กๆ น้อยๆ เมื่อมติชนออนไลน์รายงานเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2558 ว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวถึงด่านตรวจเมาแล้วขับในประชุมหารือการแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่ว่า ตนขับรถยนต์หลังประชุมเสร็จ แต่งกายนอกเครื่องแบบ เคยถูกให้เป่าถึง 5 ครั้ง ทั้งที่บอกเจ้าหน้าที่อาสาสมัครไปแล้วว่าไม่ได้ดื่ม แต่ยังให้เป่า ดังนั้นขอให้มีการคัดเลือกอาสาสมัครช่วยงานจราจรที่มีคุณภาพ เพื่อไม่ทำให้ประชาชนเสียหาย

    “ผมเจอด่านตรวจเมา เปิดกระจกตามปกติ บอกว่าไม่ได้ดื่มมา แต่อาสาก็บอกว่าคุณต้องเป่า ครั้งที่ 2 ผมก็บอกอีกว่าไม่ได้ดื่ม อาสาก็บอกว่าคุณต้องเป่า ผมพูดถึง 5 ครั้ง อาสาก็ไม่ยอม ซึ่งถ้าเป็นคนมีคุณภาพ มีไหวพริบ ก็ต้องรู้แล้วว่าระหว่างพูดคุยนั้นมีกลิ่นสุราหรือไม่ จนต้องแสดงตัวว่าผมเป็นใคร และลงไปจวก ซึ่งไม่เฉพาะที่ด่านตรวจเมาหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เท่านั้น วันนั้นผมเจอด่านตรวจเมาที่หน้าศาลอาญาด้วย พฤติกรรมเหมือนกันทั้ง 2 ด่าน”

    ทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่เจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจทำนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่

    ในเวลาต่อมา ต่อเนื่องจากข่าวดังกล่าว เดลินิวส์รายงานในวันที่ 16 ก.ค. 2558 ว่า พล.ต.ท. ศรีวราห์แสดงความไม่พอใจในกรณีที่บางสื่อระบุว่าตนเมาแล้วไม่ยอมเป่าทดสอบระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจ โดยได้กล่าวถึงกรณีสื่อบางสำนักบอกว่า อาสาสมัครจราจรให้ตนเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ 5 ครั้ง แต่ตนไม่เป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ แล้วพูดว่าเมาแล้วขับนั้น ตนขอชี้แจงว่าในตอนนั้นก็ได้เป่าไปแล้ว โดยเครื่องวัดฯขึ้นระดับว่าไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งสื่อจะมากล่าวหากันไม่ได้ ส่วนวิธีการปฏิบัติ กฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2557 ต้องพิจารณาก่อนว่าขั้นแรกผู้ขับขี่มีอาการมึนเมา ต่อมาให้เป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ได้เลย แต่มีกระแสออกมาว่าตนเมา และไม่ยอมเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์นั้น ตนขอย้ำว่าไม่ได้เมา และไม่ได้ดื่มเหล้า และพฤติกรรมในวันนั้นไม่มีสิ่งที่บ่งบอกเลยว่ามีอาการมึนเมา ขณะนั้นตนก็พูดกับคนอื่นอย่างมีสติ เมื่อลงมาจากรถยนต์ก็แสดงตนต่อเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ และพร้อมจะให้ตรวจสอบทุกกรณี ตอนนั้นก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดเข้ามาตรวจสอบแต่อย่างใด จนกระทั่งมีการเสนอข่าวจากบางสำนักว่า ตนไม่เป่าเครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอลล์ถือว่ากระทำความผิด จึงขอย้อนกลับไปถามสื่อให้ดีว่า ต้องไปศึกษากฎหมายมาก่อน เพราะถ้าสื่อออกกฎหมายโดยการโกหกประชาชนก็มีความผิดเช่นเดียวกัน และถ้าตนเห็นพฤติกรรมแบบนี้อีกครั้งก็จะดำเนินคดี

    และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนี้เป็นการดูหมิ่นเจ้าหน้าที่พนักงานหรือไม่ พล.ต.ท. ศรีวราห์กล่าวว่า กรณีนี้ถือว่าสื่อโกหกประชาชน เพราะคนที่ไม่เมาจะบังคับให้เป่านั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่แบบนี้มักไม่มีในกฎหมาย ดังนั้นให้สื่อกลับไปอ่านกฎหมายมาใหม่ หากไม่รู้เรื่องก็อย่าไปพูดให้เสีย ๆ หาย ๆ หากสื่อสารออกไปแบบนี้คงคบกันไม่ได้แล้ว เข้าข่ายผิดมารยาทสื่อ ทั้งผิดจรรยาบรรณ และผิดกฎหมายด้วย มาบอกว่าสื่อมวลชนไม่รู้กฎหมายแล้วจะไปสื่อสารกับประชาชนได้อย่างไร


    อียูยัน ยังไม่คว่ำบาตรไทย

    ที่มาภาพ: ไทยรัฐออนไลน์ http://goo.gl/kdAomH
    ที่มาภาพ: ไทยรัฐออนไลน์ http://goo.gl/kdAomH

    กลายเป็นเรื่องให้ตื่นตระหนก (และบางฝ่ายอาจสะใจ) เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2558 เว็บไซต์ Thai E-News เผยแพร่บทความ “แรงเสียดทานประชาธิปไตย” ของ “หมัดเหล็ก” ซึ่งอ้างที่มาว่ามาจากไทยรัฐออนไลน์ (ปัจจุบันไม่สามารถเข้าชมได้) โดยมีข้อความในตอนต้นของบทความว่า

    “ที่ประชุมสหภาพยุโรป ลงมติ คว่ำบาตร ประเทศไทยอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย ความตกลง ความร่วมมือความช่วยเหลือ แม้แต่การเดินทางมาเยือนประเทศไทย ถูกระงับทั้งหมด

    บนเงื่อนไขจนกว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไปแล้วค่อยคุยกันใหม่ ตอนนี้ระงับความสัมพันธ์ชั่วคราว ซึ่งไม่เฉพาะ อียู เท่านั้น ทั้งสหรัฐฯ ทั้งประเทศมุสลิม หรือกรณี ประเทศตุรกี ที่ออกแถลงการณ์ ต่อกรณีที่ไทยส่ง ชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และมีการกระทำที่ขัดต่อหลักการมนุษยชน ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยยิ่งถูกเพ่งเล็ง เข้าไปอีก”

    แต่ในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2558 ไทยรัฐออนไลน์ก็ได้รายงานว่า ตามที่ปรากฏบทความซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (European Union – EU) นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนว่า ข้อมติของคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (The Council of the European Union) เมื่อปี 2557 เป็นเพียงการระงับการเยือนอย่างเป็นทางการในระดับการเมืองเท่านั้น มิใช่การตัดความสัมพันธ์กับไทยในทุกๆ ด้าน รวมทั้งมิใช่การระงับการเยือนไทยในทุกๆ ระดับ ซึ่งในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ยังมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างทั้งสองฝ่ายในระดับต่างๆ ที่ไม่ใช่ระดับรัฐมนตรีหลายคณะอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป รวมทั้งความร่วมมืออื่นๆ ที่มีอยู่ยังดำเนินดังเช่นปกติ อาทิ ความร่วมมือสาขาการศึกษา และวิทยาศาสตร์

    สะเก็ดอุยกูร์ บังโตสวนเดือด ดี้ นิติพงษ์ ใจเหล่

    ที่มาภาพ: มติชนออนไลน์ http://goo.gl/XruFcm
    ที่มาภาพ: มติชนออนไลน์ http://goo.gl/XruFcm

    ปิดท้ายกับสะเก็ดความขัดแย้งที่ต่อเนื่องมาจากอาทิตย์ที่แล้ว จากกรณีที่รัฐบาลไทยส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์บางส่วนกลับไปยังประเทศจีน จนทำให้ถูกประณามจากหลายฝ่ายทั้งในและนอกประเทศ

    โลกออนไลน์กลายเป็นเวทีวิวาทะอีกครั้ง เมื่อดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงชื่อดัง แสดงความเป็นในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

    บางทีนะ ท่านขุน คุณหลวง…ฉันก็สงสารประเทศนัก…
    เราก็อยู่ของเราเฉยๆ…โรฮิงญามา…ก็เป็นภาระ ควรจะอุปการะแค่ไหนดี ควรจะส่งต่อแค่ไหนดี…ส่งต่อ แล้วใครจะรับ….ทำซ้ายก็ถูกด่า ทำขวาก็ถูกด่า…
    มึงทะเลาะกัน แต่เดินผ่านบ้านกู…กูไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
    เหมือนมีเพื่อนสองคน…คนนึงเป็นฝรั่ง อีกคนนึงเป็นจีน…
    ตัวใหญ่มาก…ทั้่งคู่
    …พอเราไปคุยกับไอ้ฝรั่ง อาตี๋แม่งก็หมั่นไส้เรา…
    …พอเราไปคุยกับอาตี๋ ไอ้หรั่ง แม่งก็หมั่นไส้เรา…
    ทำไมมึงไม่ไปต่อยกันหลังห้องน้ำโรงเรียนเลยวะ…
    กูอยู่ของกูเฉยๆ … ไม่ได้ ไม่เสียอะไรด้วย
    แค่อยู่แถวนี้…แต่น้ำลายพวกมึงเต็มหน้ากูเลย…
    กรณีอุยกูร์…
    คนไทยไม่เกี่ยวอะไรเลยไม่บวกไม่ลบทั้งสิ้น
    มันเป็นเรื่องของจีนกับคนอุยกูร์
    รัฐบาลจีนจะโหดกับคนอุยกูร์มุสลิมเติร์ก … ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่
    เราไม่เคยมีปัญหากับใคร…
    มันเป็นประวัติศาสตร์ของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา…
    ไม่ได้อยากเผือกกับเรื่องของท่านทั้งหลายเลย…
    แต่มันดันเข้ามาผ่านบ้านฉัน…
    แล้วจะให้ฉันทำยังไง
    ให้อยู่…ก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงดู
    ฉันแค่ไม่อยากเกี่ยวข้อง…
    เอาเก็บไว้ในบ้านอุยกูร์เขาก็ไม่ได้อยากจะอยู่บ้านเรา
    บ้านเราก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงดู
    ส่งไปตุรกีก็ทำมาแล้ว…ตุรกีชอบจีนโกรธ
    งั้นบางส่วน ส่งกลับไปจีนละกัน ตามหลักฐานบุคคล จีนชอบ ตุรกีโกรธ
    …ไม่ใช่แค่ตุรกี
    มีคนโกรธอีกเยอะ…ยูเอ็นเอสซีอาร์ อเมริกา ฯลฯ
    มึงโกรธกูทำไม..
    กูได้อะไรมั่งไหม
    กูก็อยู่ของกู … มีคนที่มึงทะเลาะกัน แอบมาอยู่ในบ้านกู…จะให้กูทำไง
    เอาไว้ในบ้านกู กูเหนื่อย
    ส่งไปตุรกี…ไม่ยากดอก…แต่เมืองจีนจะโกรธกู
    ส่งไปเมืองจีน ก็จะมีพวกฝรั่งอีกเยอะที่จะมาด่ากู
    คือ ฝรั่งนะ…กะเมืองจีน….จะหมั่นไส้กันก็ช่วยไปชกกันเหอะ..
    กูคนไทย…กูไม่ได้เกี่ยวกับพวกมึงเลยคับ…

    เป็นผลให้หลายคนไม่พอใจ ด่าทอ ต่อว่า และเดือดขึ้นไปอีกเมื่อนายวีรชน ศรัทธายิ่ง หรือที่รู้จักกันในนาม “โต ซิลลี่ฟูลส์” และ “โต แฮงแมน” อดีตนักร้องเพลงร็อกชื่อดัง ที่ปัจจุบันได้เข้าสู่เส้นทางแห่งศาสนาอิสลาม ได้แชร์ข่าว “จีนจะโหดกับคนอุยกูร์ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่” ′ดี้-นิติพงษ์′ โพสต์เฟซบุ๊กแสดงทัศนะปมอุยกูร์ของเว็บไซต์มติชนออนไลน์ลงในหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมทั้งแสดงความเห็นว่า

    “ตาที่มันเหล่มองไม่ค่อยชัดไม่เป็นอะไรเพราะไม่กระทบใคร…..

    …… แต่ใจที่มันคด แยกไม่ออกระหว่างความดีความชั่วและลิ้นที่มันเบี้ยว คอยพูดให้คนเห็นดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี คนพวกนี้ยึดคติ เอาตัวรอดเป็นยอดดี ทำตัวเป็นนกสองหัว……สุดท้ายโดนทุกคนเกลียด เพราะเขารู้ว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว” 

    ก็กลายเป็นเรื่องร้อนๆ ปิดท้ายและอาจจะสุดท้ายของกรณีอุยกูร์ที่เกิดขึ้น