ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: คนตกใจไอซีทีจ่ายค่าทำ “ติ๊กเกอร์” ไลน์ 7 ล้านบาท – นักท่องเที่ยวจีนป่วนหนักสาดน้ำร้อนแอร์ฯ – ล้มราวกั้นงานจิตรกรรมวัดพระแก้วฯ

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: คนตกใจไอซีทีจ่ายค่าทำ “ติ๊กเกอร์” ไลน์ 7 ล้านบาท – นักท่องเที่ยวจีนป่วนหนักสาดน้ำร้อนแอร์ฯ – ล้มราวกั้นงานจิตรกรรมวัดพระแก้วฯ

20 ธันวาคม 2014


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 14-20 ธันวาคม 2557

  • กระดานหุ้นแดงเถือกตกถึง 138 จุด
  • คนตกใจไอซีทีจ่ายค่าทำ “ติ๊กเกอร์” ไลน์ 7 ล้านบาท
  • ชาวออสเตรเลียถูกจับเป็นตัวประกันดับ 2- ตาลีบันบุกฆ่า นร. ดับเกือบ 100
  • นักท่องเที่ยวจีนป่วนหนักสาดน้ำร้อนแอร์ฯ – ล้มราวกั้นงานจิตรกรรมวัดพระแก้วฯ
  • ลูกสาว ปธ. โคเรียนแอร์ลาออกแล้วหลังวีนแตกไล่พนง.ลงเครื่อง ฐานเสิร์ฟถั่วไม่ถูกใจ

กระดานหุ้นแดงเถือกตกถึง 138 จุด

ที่มาภาพ:https://www.facebook.com/BBCThai/photos/a.1527194487501586.1073741828.1526071940947174/1589275371293497/?type=1
ที่มาภาพ:https://www.facebook.com/BBCThai/photos/a.1527194487501586.1073741828.1526071940947174/1589275371293497/?type=1

ข่าวสดออนไลน์รายงาน เมื่อ 15 ธ.ค. ดัชนีหุ้นไทยผันผวนรุนแรง โดยเฉพาะบรรยากาศการซื้อขายภาคบ่าย ดัชนีดิ่งลงอย่างรวดเร็วหลังเปิดการซื้อขายได้ไม่ถึง 1 ชั่วโมง โดยประมาณเวลา 15.30 น. ดัชนีหุ้นดิ่งลงไป 138.96 จุด โดยลดลงกว่า 9.10 เปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่ระดับดัชนี 1,375.99 จุด ทั้งนี้เป็นการลดลงจนเกือบถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ในระดับที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะต้องดำเนินมาตรการหยุดการซื้อขายชั่วคราว หรือเซอร์กิตเบรกเกอร์

แต่หลังจากนั้น ดัชนีฯ ดีดกลับอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมาปิดตลาดที่ระดับดัชนี 1,478.49 จุด ลดลง 36.46 จุด หรือลบ 2.41 เปอร์เซ็นต์

ในขณะที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 102,662.94 ล้านบาท เป็นมูลค่าการซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับจากวันที่ 22 มี.ค. 2556 ที่มีมูลค่าการซื้อขายที่ 101,362 ล้านบาท โดยนักลงทุนรายย่อยในประเทศยังเป็นผู้ซื้อสุทธิที่ 7,584.76 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,194.57 ล้านบาท นักลงทุนสถานบันขายสุทธิ 829.28 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 2,560.91 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบอีกว่าภายใน 1 สัปดาห์ ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงไปแล้ว 119.27 จุด นับตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. ดัชนีปิดที่ระดับ 1,597.76 จุด ขณะที่หุ้น ปตท. ยังถูกแรงขายอย่างหนัก ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7,642.30 ล้านบาท ปิดที่ 314.00 บาท ลดลง 16.00 บาท

ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลท. เผยว่า กรณีที่ตลาดหุ้นไทยร่วงลงเร็วและแรงกว่า 130 จุด ในช่วงเปิดการซื้อขายภาคบ่าย เป็นผลจากตลาดหุ้นไทยยังรับผลกระทบราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง กดดันหุ้นพลังงาน และทำให้มีแรงขายในลักษณะตื่นตระหนก หรือแพนิค เซล ก่อนสะท้อนปัจจัยปกติช่วงท้ายตลาด อย่างไรก็ดีพบว่าผู้ลงทุนที่เป็นกองทุน นักลงทุนต่างชาติ และบัญชีหลักทรัพย์ ขายสุทธิหุ้นไทย ขณะที่นักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อ โดย ตลท. ยังไม่พบความผิดปกติในการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น ทั้งนี้อยากเตือนนักลงทุนให้เพิ่มความระมัดระวังเกี่ยวกับข่าวลือต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกมาหลายเรื่อง ควรมีการตรวจสอบและวิเคราะห์ให้ดี

วันเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีข่าวลือที่เกิดขึ้นในประเทศนั้นเกี่ยวกับอะไร นายกฯ ปฏิเสธว่า เขาลืออะไรกัน ตนไม่รู้ แต่ก็สั่งการให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ ที่รับผิดชอบให้เข้าไปดูแล และแจ้งว่าสถานการณ์ในประเทศยังปกติทุกอย่าง ซึ่งทุกอย่างก็ดีขึ้น การที่หุ้นตกครั้งนี้เป็นไปตามตลาดด้วย และรัฐบาลติดตามมาตลอด การขึ้นลงของหุ้นไทยวันนี้ไม่มีอะไรผิดปกติหรือมีสถานการณ์ที่น่าห่วง เป็นการขึ้นลงปกติตามกลไกตลาดหุ้น ต่างชาติเองก็ตก คงเป็นเรื่องของสถานการณ์ของโลกด้วย เช่น น้ำมันโลก สิ่งที่เกิดขึ้นในซีกโลกตะวันตกซึ่งมีปัญหาการเมืองและการสู้รบซึ่งมีผลทั้งหมด ในส่วนของไทย ส่วนตัวคิดว่าดีแล้ว

“คำว่าหุ้น จะให้ขึ้นอย่างเดียวคงไม่ได้ มันต้องขึ้นลง ต้องดูว่าเวลาขึ้นก็ขึ้นเยอะ ซึ่งได้กำไรเยอะ เวลาลง ต้องเจ็บตัวกันบ้าง อยากเตือนนักเล่นหุ้นว่าอย่าเอาเงินจมไปเล่นหุ้น อย่ากู้เงินไปเล่นหุ้น มันต้องเงินลอยเงินเหลือใช้นำไปเล่น” พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

คนตกใจไอซีทีจ่ายค่าทำ “ติ๊กเกอร์” ไลน์ 7 ล้านบาท

ict-gov-to-launch-line-sticker-12-values-ncpo-582x426
ที่มาภาพ: http://www.macthai.com/2014/12/16/ict-gov-to-launch-line-sticker-12-values-ncpo/

เว็บไซต์โลกวันนี้รายงาน เมื่อ 17 ธ.ค. ว่า ในโลกสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่เอกสารการใช้จ่ายงบประมาณของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ว่าจ้างจัดทำไลน์สติ๊กเกอร์ เพื่อเผยแพร่หลักค่านิยม 12 ประการ ในวงเงินประมาณ 7,117,400 บาท วันที่กำหนดราคากลาง 9 ธ.ค. 2557 โดยมีรายชื่อเจ้าหน้าที่ผู้กำหนดราคากลาง ดังนี้ นางอาทิตยา สุธาธรรม นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการพิเศษ นายพฤฒิพงศ์ พัวศิริ นายพิศิษฐ์เดช สายแสง น.ส.ชุติพันธุ์ ทิมทอง นายธีรยุทธ พูลรอด นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ

ด้านนายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีกระทรวงไอซีที เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยประสานงานไปยังสำนักเลขาธิการนายกฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลและว่าจ้างบริษัทเอกชน เพื่อออกแบบสติ๊กเกอร์ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ ก่อนจะดำเนินจัดทำและปล่อยให้โหลดฟรีในวันที่ 30 ธ.ค. 2557

ขณะที่นางทรงพร โกมลสุรเดช รองปลัดกระทรวงไอซีที และโฆษกกระทรวงไอซีที กล่าวว่า การทำสติ๊กเกอร์ไลน์หลักค่านิยม 12 ประการ เป็นไปตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อมอบเป็นของขวัญให้ประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ในปี 2558

ชาวออสเตรเลียถูกจับเป็นตัวประกันดับ 2- ตาลีบันบุกฆ่า นร. ดับเกือบ 100

ที่มาภาพ : http://www.bbc.com/news/world-australia-30473983
ที่มาภาพ : http://www.bbc.com/news/world-australia-30473983

ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อ 16 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจของประเทศออสเตรเลียตัดสินใจบุกเข้าไปใน “ลินด์ ช็อกโกแลต คาเฟ่” ในย่านธุรกิจ “มาร์ติน เพลส” ของนครซิดนีย์ ในช่วงเช้ามืด (ตามเวลาท้องถิ่น) สังหารมือปืนซึ่งเป็นนักบวชมุสลิมที่ก่อเหตุจับตัวประกันนับสิบคน และทำให้พื้นที่ตอนกลางของซิดนีย์เป็นอัมพาตนานหลายชั่วโมง

ผู้บังคับการตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ แอนดรูว์ พี. ซิปีโอนี เปิดเผยว่า ตำรวจตัดสินใจบุกคาเฟ่แห่งนี้ หลังจากเหตุจับตัวประกันดำเนินไปนานกว่า 16 ชั่วโมง โดยตัวประกัน 2 คน ในจำนวน 17 คน ที่ถูกมือปืนจับตัวเอาไว้เสียชีวิต และมีตัวประกันบาดเจ็บ 4 คน ขณะที่ตำรวจนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดกระสุนที่ใบหน้า แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

ทั้งนี้ เหตุจับตัวประกันเกิดขึ้นในเวลาประมาณ 10:00 น. วันจันทร์ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) โดยมือปืนบุกเข้ายึด ลินด์ ช็อกโกแลต คาเฟ่ ก่อนที่ตำรวจหลายร้อยนายจะถูกส่งมายังที่เกิดเหตุและโอบล้อมคาเฟ่แห่งนี้เอาไว้ ภาพจากสื่อของออสเตรเลียแสดงให้เห็นว่า ผู้คนซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวประกัน นำมือวางไว้บนกระจกหน้าร้าน พวกเขาถือธงธงสีดำมีข้อความเขียนไว้ด้วยภาษาอาราบิก ซึ่งแปลความหมายได้ว่า “ไม่มีพระเจ้า แต่พระเจ้าและโมฮัมเหม็ด คือศาสดาแห่งพระเจ้า”

หลายชั่วโมงต่อมา ตัวประกัน 5 คน สามารถวิ่งออกมานอกคาเฟ่เข้าหาตำรวจที่ติดอาวุธครบมือ ทำให้มือปืนกล่าวคำพูดดุเดือดไปยังตัวประกันที่เหลือ ตามรายงานของสื่อออสเตรเลีย ขณะที่ คริส รีสัน ผู้สื่อข่าวของ “เซเวน เน็ตเวิร์ก” สื่อในเครือซีเอ็นเอ็น ระบุว่า มือปืนเกิดอาการกระวนกระวายอย่างรุนแรง เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และหันไปตะโกนออกคำสั่งกับตัวประกันที่เหลือ รีสันกล่าวด้วยว่า ในจุดที่เขายืนอยู่สามารถเห็นตัวมือปืนได้ โดยเป็นชายไว้หนวด สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและหมวกสีดำ ถือปืนลูกซองอยู่ในมือ

โดยล่าสุดเว็บไซต์ครอบครัวข่าวรายงานว่า ตำรวจออสเตรเลียยุติสถานการณ์ตัวประกันที่ซิดนีย์ได้แล้ว หลังมีการเผชิญหน้านานกว่า 16 ชั่วโมง พบรายงานผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 5 ราย ตำรวจตัดสินใจชิงตัวประกัน เวลาประมาณ 2 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น หรือ 22 นาฬิกาตามเวลาประเทศไทย หลังมีเสียงปืนดังขึ้นในร้านลินด์คาเฟ่ และมีตัวประกัน 5 คนวิ่งหนีออกมา จึงได้เปิดฉากบุกยิงด้วยปืนและระเบิดควัน

หลังปฏิบัติการสิ้นสุดลง ตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิต 3 คน คือผู้ก่อเหตุและตัวประกันชายและหญิงอย่างละคน ทั้งหมดบาดเจ็บจากการถูกยิงและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล นอกจากนี้มีผู้หญิงอีก 3 คน และตำรวจ 1 นาย ได้รับบาดเจ็บด้วย แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

สำหรับผู้ก่อเหตุรายนี้ คือนายมาน ฮารอน โมนิส ชาวอิหร่านวัย 49 ปี ซึ่งขอลี้ภัยทางการเมืองในออสเตรเลีย เมื่อปี 1996 และเคยต้องคดีอาญาหลายคดี รวมถึงคดีทำร้ายทางเพศ, คดีส่งจดหมายคุกคามครอบครัวทหารออสเตรเลียที่เสียชีวิตในต่างแดน และล่าสุด คือคดีสมรู้ร่วมคิดฆาตกรรมอดีตภรรยา ซึ่งอยู่ระหว่างประกันตัว นอกจากนี้ นายโมนิสยังเป็นครูสอนศาสนาอิสลาม เดิมเคยนับถือนิกายชีอะห์ แต่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นซุนนีย์เมื่อเดือนที่แล้ว

10846016_1589162911304743_1609346524556799175_n
ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/BBCThai/posts/1589163067971394

ในวันเดียวกันสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุมือปืนบุกเข้าไปโจมตีโรงเรียนทหารบกในเมืองเปชวาร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน โดยมือปืนได้บุกเข้าไปยังห้องเรียนและกราดยิงเข้าใส่นักเรียนที่อยู่ในห้องทีละห้องๆ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดเมื่อเวลา 10.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเวลา 12.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย) โดยมือปืนอย่างน้อย 5 คน แต่งกายในชุดทหารบุกเข้าไปในโรงเรียนก่อนเปิดฉากยิงสังหารนักเรียนและครูที่อยู่ในโรงเรียนดังกล่าว

ต่อมากลุ่มตาลีบัน ปากีสถาน (ทีทีพี) ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ยิงสังหารนักเรียนในโรงเรียนทหารบกแห่งนี้ โดยกำชับให้สังหารเฉพาะเด็กโตเพื่อแก้แค้นที่กองทัพปฏิบัติการกวาดล้างสมาชิกของกลุ่มในจังหวัดนอร์ทวาซิริสถาน ใกล้กับเปชวาร์ พยานที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นในโรงเรียนทหารบกก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดทหารบุกเข้าไปในโรงเรียนและเปิดฉากยิงนักเรียนในแต่ละห้อง

ด้านเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยเปิดเผยว่า ในโรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนและครูรวมทั้งเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนระหว่างที่เกิดเหตุโจมตี แม้ว่าจะมีการอพยพผู้ที่อยู่ในโรงเรียนออกไปแล้วส่วนหนึ่งระหว่างเกิดเหตุยิงสังหารนักเรียน

ทางการปากีสถานเปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตว่ามีอย่างน้อย 104 คน โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน ซึ่งจากรายงานในช่วงก่อนหน้ามีการระบุว่าเด็กนักเรียนเสียชีวิตมากถึง 82 คน ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์โจมตีโรงเรียนที่สะเทือนขวัญที่สุดครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในปากีสถาน

กองทัพปากีสถานสั่งปฏิบัติการกู้ภัยโดยส่งทหารลงยังพื้นที่ โดยหน่วยคอมมานโดยิงปะทะกับนักรบตาลีบันนานกว่า 3 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านข่าวสารจังหวัดไคเบอร์เปิดเผยว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากถูกสังหารในการระเบิดฆ่าตัวตายของกลุ่มมือปืนตาลีบัน

นายมาดุซซาร์ อับบาส ผู้ช่วยครูในห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ เล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุบุกสังหาร นักเรียนส่วนหนึ่งกำลังจัดงานปาร์ตี้กันอยู่ และตนเห็นมือปืน 6-7 คน เดินเข้ามาในแต่ละห้องก่อนลั่นกระสุนสังหารใส่เด็กๆ ส่วนนักเรียนที่รอดชีวิตจากเหตุดังกล่าวเล่าว่า ทหารเข้ามาช่วยเหลือนักเรียนให้ออกไปจากพื้นที่เสี่ยงระหว่างเกิดการยิงปะทะกัน ระหว่างทางหลบหนี ตนเห็นศพของเพื่อนจำนวนมากนอนเรียงรายอยู่ตามระเบียง บางศพก็มีรอยกระสุนมากถึง 3-4 รอยบนร่างกาย ทั้งยังเล่าด้วยว่ามือปืนที่บุกเข้ามายิงในโรงเรียนนั้นลั่นกระสุนอย่างเลือดเย็นและตั้งใจ

โรงเรียนของทหารบกในเมืองเปชวาร์แห่งนี้เป็นหนึ่งใน 146 โรงเรียนที่กองทัพบกปากีสถานสร้างขึ้นและให้การดูแล โดยเปิดรับนักเรียนที่เป็นบุตรหลานของทหารและพลเรือนทั่วไปอายุระหว่าง 10-18 ปีเข้าเรียน และให้นายทหารและทหารที่ไม่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจอื่นใด รวมทั้งภรรยาทหารเข้ามาเป็นครูในโรงเรียนเหล่านี้

ทั้งนี้ กลุ่มทีทีพีต้องการตอบโต้กองทัพปากีสถานที่บุกเข้าทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มเมื่อเดือนมิถุนายนในเขตซาบ-อี-อาซิบที่มั่นอีกแห่งหนึ่งของกลุ่มทีทีพี และสังหารนักรบของกลุ่มมากกว่า 1,600 คน ซึ่งนักวิเคราะห์ฝ่ายทหารของปากีสถานระบุว่าการโจมตีโรงเรียนทหารบกเป็นการมุ่งเป้าทำลายขวัญและกำลังใจของทหารปากีสถานโดยกาารโจมตีจุดอ่อนของทหาร เพื่อทำให้กองทัพปากีสถานลดความรุนแรงในการโจมตีกลุ่มทีทีพีลง

นักท่องเที่ยวจีนป่วนหนักในไทย-เทศ สาดน้ำร้อนแอร์ฯ – ล้มราวกั้นงานจิตรกรรมวัดพระแก้วฯ

ch_1
ที่มาภาพ: http://hilight.kapook.com/view/112726

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า รัฐบาลจีนประกาศจะลงโทษหนักแก่คู่รักชายหญิงชาวจีนที่เกิดอาการ “วีนแตก” บนเครื่องบินโดยสารเหมาลำ กรุงเทพฯ-นานกิง เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. เมื่อฝ่ายหญิงได้ขอน้ำร้อนเพื่อต้องการจะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่กลับสาดน้ำร้อนใส่แอร์โฮสเตส และจากนั้นได้เกิดเหตุการณ์โกลาหลวุ่นวายบนเครื่อง เมื่อฝ่ายชายขู่จะระเบิดเครื่องบินจนทำให้นักบินต้องนำเครื่องบินกลับมาลงจอดฉุกเฉินที่ท่าอากาศยานดอนเมือง และแจ้งตำรวจให้มาเชิญตัวชาวจีนทั้งสองลงจากเครื่อง

ด้านสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติของจีน ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ว่า การกระทำของนักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นการก่อความวุ่นวายบนเครื่องบิน รวมทั้งยังเป็นการทำให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งทำให้ภาพลักษณ์ของประชาชนชาวจีนเสียหายในสายตาชาวโลก ในขณะที่มีชาวจีนเดินทางออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศกว่า 100 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งมากกว่าคนชาติใดในโลก

ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. เว็บไซต์เซี่ยงไฮ้อิสต์รายงานว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนได้ผลักแผงกั้นไม้ที่สำหรับใช้ปกป้องภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ในวัดพระแก้วล้มยกแนว ซึ่งในตอนแรกผู้ก่อเหตุเถียงเจ้าหน้าที่ว่าไม่ได้เป็นคนทำ แต่เจ้าหน้าที่ระบุว่ากล้องวงจรปิดภายในวัดได้บันทึกภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้แล้ว นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวจึงยอมรับผิด

14188239411418824051l
ที่มาภาพ: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE9EZ3lNemt3TlE9PQ==§ionid=

ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งได้ทวีตภาพและข้อความไว้เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ระบุว่า “ผลงาน นนท.จีนในวัดพระแก้ว จัดการแผงกั้นซะยกแผง ดีไม่ล้มโดนภาพจิตรกรรม จนท.มายังเถียงเสียงดัง พอชี้ cctv เงียบเลยฮะ” ซึ่งมียอดรีทวีตเกินกว่า 5,000 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนที่ 2 แล้วที่นักท่องเที่ยวชาวจีนตกเป็นข่าวคึกโครมว่าก่อเหตุวุ่นวายขึ้นในเมืองไทย นับตั้งแต่กรณีบนเครื่องบินของสายการบินแอร์เอเชีย ที่คู่รักชาวจีนอาละวาด ขู่จะระเบิดเครื่องบินทิ้ง และสาดน้ำร้อนพร้อมบะหมี่ใส่แอร์โฮสเตส

นอกจากวีรกรรมของนักท่องเที่ยวจีนในไทยแล้วยังมีเรื่องเกิดขึ้นในต่างประเทศด้วย เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศจีนรายงาน ภาพเหตุการณ์บนเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์เมืองจีน เมื่อผู้โดยสารคนหนึ่งเปิดประตูฉุกเฉินของเครื่องบินออก ก่อนจะยื่นศีรษะและยืดตัวออกไปรับอากาศ เพื่อต้องการคลายความร้อน สร้างความตื่นตกใจแก่ผู้โดยสารเป็นอย่างมาก ซึ่งเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นบนเที่ยวบิน MF8453 สายการบินเซี่ยเหมิน แอร์ไลน์ เส้นทางระหว่าง เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ไปยัง เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน

เจ้าหน้าที่และพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงรีบเข้าระงับเหตุและว่ากล่าวตักเตือนทันทีก่อนจะทำการปิดประตูฉุกเฉินนั้นลง ซึ่งชายคนดังกล่าวอ้างว่า สาเหตุที่เปิดประตูฉุกเฉินออกไป เนื่องจากบนเครื่องบินอากาศร้อนอบอ้าว หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ย้ายที่นั่งให้ชายคนดังกล่าว และเครื่องบินลำดังกล่าวได้ขึ้นบินต่อไปยังปลายทางได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีผู้โดยสารได้นำภาพโพสต์ลงโซเชียลเน็ตเวิร์ก ภาพได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แหล่งข่าวไม่ได้ระบุข้อมูลเกี่ยวกับชายคนดังกล่าว ทราบเพียงว่าเป็นเพียงชายวัยกลางคน นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวลืออ้างว่า ชายคนดังกล่าวถูกจำปรับเป็นจำนวนเงินราวๆ 100,000 หยวน อีกด้วย

อีกกรณีหนึ่ง สื่อจีนและฮ่องกงรายงานว่า ช่วงเช้าวันที่ 17 ธ.ค. บนเที่ยวบินของสายการบินแอร์ ไชน่า เที่ยวบินที่ ซีเอ433 (CA433) ออกเดินทางจากเมืองฉงชิ่ง ปลายทางเกาะฮ่องกง โดยเครื่องมีกำหนดออกเดินทางในเวลา 09.01น. และเดินทางถึงฮ่องกงในเวลา 10.52 น. ผู้เห็นเหตุการณ์บนเครื่อง ซึ่งบันทึกภาพเอาไว้ด้วยระบุว่า เรื่องราวเกิดขึ้นขณะเครื่องบินขึ้นบินอยู่บนอากาศแล้วที่ความสูงประมาณ 7,500 เมตร เกิดการทะเลาะตบตีกันระหว่างผู้โดยสารชาวจีนแถวหน้ากับแถวหลัง

“สาเหตุเกิดจากที่ผู้โดยสารหญิงแถวหน้า 2 คนโวยวายว่าเด็กที่นั่งข้างหลังพวกเธอนั้นส่งเสียงดัง ขณะที่ผู้โดยสารแถวหลังพร้อมเด็กก็โทษว่าเพราะการเอนเก้าอี้ของ 2 ผู้โดยสารแถวหน้าส่งผลกระทบต่อการนั่งและทำให้เด็กร้อง” หนังสือพิมพ์เช้าฉงชิ่งอ้างคำพูดของผู้เห็นเหตุการณ์ พร้อมระบุว่าหลังจากที่สองฝ่ายโต้เถียงกันอยู่พักหนึ่งจึงมีการลงไม้ลงมือ โดยสถานการณ์ความวุ่นวายดำเนินไปจนเกือบกัปตันต้องหันหัวเครื่องกลับมายังต้นทาง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเครื่องบินเที่ยวดังกล่าวเดินทางถึงสนามบินนานาชาติฮ่องกง ทางตำรวจฮ่องกงก็เข้ามาจัดการกับชาวจีนที่ก่อเหตุทั้งสองฝ่าย

ลูกสาว ปธ. โคเรียนแอร์ลาออกแล้วหลังวีนแตกไล่ พนง. ลงเครื่อง ฐานเสิร์ฟถั่วไม่ถูกใจ

EyWwB5WU57MYnKOuFIsMfdbje5yYeZg28sQi6BwNFeZw1YVFKsMnWJ
ที่มาภาพ: http://www.thairath.co.th/content/469033

เมื่อ 14 ธ.ค. สำนักข่าวต่างประเทศเกาะติดข่าวดังกรณี น.ส.โช ฮยุง-อาห์ บุตรสาวคนโตวัย 40 ปี ของประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) สายการบินโคเรียน แอร์ (Korean Air) ในเกาหลีใต้ เกิดอาการ “วีนแตก” บนเครื่องบิน เที่ยวบินเคอี 086 (KE086) จากนิวยอร์ก-อินชอน สั่งให้เครื่องบินโดยสารเลี้ยวกลับมายัง “เกต” หรือประตูเทียบขึ้นเครื่องบินของท่าอากาศยานนานาชาติ JFK ในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ เพื่อให้หัวหน้าพนักงานต้อนรับลงจากเครื่อง เพียงแค่ไม่พอใจเรื่องถั่ว จนทำให้ น.ส.โช โดนชาวเกาหลีใต้วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และได้ลาออกจากตำแหน่งรองประธานสายการบินโคเรียน แอร์ไปแล้ว

ปรากฏว่า ต่อมา นายปาร์ก ชาง-จิน สจ๊วต ซึ่งเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับที่ถูกไล่ลงจากเครื่องบิน ได้ออกมาเปิดเผยเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นครั้งแรกในรายการของสถานีโทรทัศน์ KBS ในเกาหลีใต้ ถึงสิ่งที่เขาโดน น.ส.โช บุตรสาวของประธานสายการบินกระทำว่า ถึงขั้นให้เขาคุกเข่าขอโทษต่อหน้าของเธอ ก่อนที่ น.ส.โชจะตะโกนเสียงดังว่า จอดเครื่องบินและให้หัวหน้าพนักงานต้อนรับลงจากเครื่องไป

“คนที่ไม่เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนั้น ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกและความอับอายได้หรอก” นายปาร์กกล่าว อีกทั้งยังบอกว่า หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของ น.ส.โชไปทั่วประเทศเกาหลีใต้แล้ว ทางสายการบินโคเรียน แอร์ ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาพบเขาเพื่อขอให้พูดว่า น.ส.โชไม่ได้พูดจารุนแรง และเขาตัดสินใจลงจากเครื่องบินไปเอง ขณะที่ในความเป็นจริงเขาโดนไล่ลงจากเครื่องบินและต้องเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องบินลำอื่นเพื่อเดินทางกลับมายังเกาหลีใต้

ทั้งนี้ เหตุการณ์ น.ส.โช บุตรสาวคนโตของนายโช ยาง-โฮ ประธานคณะเจ้าหน้าที่สายการบินโคเรียน แอร์ บนเครื่องบินของสายการบินโคเรียน แอร์ เที่ยวบินจากนิวยอร์ก มายังเมืองอินชอน เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. เนื่องจากเธอไม่พอใจลูกเรือคนหนึ่งเสิร์ฟถั่วแมคคาเดเมียให้กับเธอทั้งที่ไม่ได้ขอ อีกทั้งยังเสิร์ฟในรูปถั่วบรรจุซอง ไม่ได้เทใส่จานกระเบื้อง ซึ่งถือว่าไม่ได้มาตรฐานในการบริการของผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส

การกระทำเกินกว่าเหตุของ น.ส.โช ทำให้โดนสื่อและชาวเกาหลีใต้ประณามอย่างรุนแรง อีกทั้งเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ธ.ค. น.ส.โช ได้ขอโทษผ่านสื่อมวลชน อยู่ที่ด้านหน้ากระทรวงคมนาคมในกรุงโซล ระหว่างมาพบกับเจ้าหน้าที่ เพื่อถูกสอบสวนกรณีการกระทำของเธอถือว่าเป็นการละเมิดกฎการบินหรือไม่

ล่าสุด สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า โช ฮยุน-อาห์ รองประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารและเป็นบุตรสาวคนโต ของประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของสายการบินโคเรียน แอร์ (Korean Air) ซึ่ง เกิดอาการ “วีน” แตก บนเครื่องบิน เที่ยวบินเคอี 086 จากนครนิวยอร์ก-กรุงโซล และสั่งให้เครื่องบินกลับไปยังเกตเพื่อไล่หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเที่ยวบินนี้ลงจากเครื่อง เมื่อวันศุกร์ที่ 5 ธ.ค. เพราะโมโห ที่พนักงานคนหนึ่งเสิร์ฟถั่วให้เธอผิดวิธี ลาออกจากตำแหน่งแล้ว