ThaiPublica > คอลัมน์ > 5 วิธีพัฒนาการศึกษานอกรั้วโรงเรียน

5 วิธีพัฒนาการศึกษานอกรั้วโรงเรียน

11 ตุลาคม 2014


ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์

ที่มาภาพ : https://farm4.staticflickr.com/3617/3351771579_e6e490ac28_z_d.jpg
ที่มาภาพ: https://farm4.staticflickr.com/3617/3351771579_e6e490ac28_z_d.jpg

บางทีการแก้ปัญหาสังคมที่คาราคาซังมานานอาจจะมีความก้าวหน้าไปมากขึ้นหากผู้มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายถอยมาหนึ่งก้าวและเริ่มตั้งคำถามใหม่

เวลาคนเราพูดว่าจะ “ปฏิรูป” การศึกษา เรามักจะนึกถึงห้องเรียน ปากกาดินสอ ข้อสอบวัดมาตรฐาน หลักสูตรเข้มข้น อะไรประมาณนี้

แต่ผมมานึกๆ ดูนะครับ คนเราส่วนมากใช้เวลาแค่ 6-7 ชั่วโมงต่อวันในห้องเรียนเท่านั้น แค่ห้าวันจากเจ็ดวันต่ออาทิตย์ แถมยังมีปิดภาคเรียนยาวเป็นเดือนๆ

แล้วที่เหลืออีกเกินครึ่งของเวลาตอนเด็กๆ ตื่นล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น…แล้วอีกค่อน “ชีวิตผู้ใหญ่” ของคนเราล่ะ

การเรียนรู้ไม่ควรถูกจำกัดโดยเครื่องแบบนักเรียน เพศ ฐานะทางการเงิน วัย หรือการที่เรากำลังยืนอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “โรงเรียน”

ชาติไหนที่การเรียนรู้ในหมู่ประชากรจบสิ้นลงในตอนที่ได้รับประกาศนียบัตรหรือปริญญา ชาตินั้นจะลำบาก

เราเคยคิดที่จะปฏิรูปการศึกษาในรูปแบบอื่นกันบ้างหรือไม่

การเปลี่ยนคำถามแคบๆ เช่น “จะคิดหลักสูตรใหม่ยังไง” “จะแจกไอแพดให้เด็ก ป.หนึ่งดีไหม” มาเป็น “จะทำอย่างไรให้การเรียนรู้และความสามารถของคนไทยโดยรวมดีขึ้น” อาจจะทำให้เราเห็นแนวทางใหม่ๆ หลายๆ ทางที่สามารถมาร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหาใหญ่ๆ ยากๆ อย่างเช่นการศึกษาก็เป็นได้

วันนี้ผมมาเสนอ 5 วิธีพัฒนาการศึกษานอกรั้วโรงเรียนแบบถอยออกมามองประเทศเราจากระดับ 30,000 ฟุตครับ

1. ปรับเข็มทิศการศึกษา

ที่มาภาพ : http://knoema.com/atlas/Thailand/topics/Education/Expenditures-on-Education/Public-spending-on-education-percent-of-GDPcompareTo=FI,JP,US,SG,KR
ที่มาภาพ: http://knoema.com/atlas/Thailand/topics/Education/Expenditures-on-Education/Public-spending-on-education-percent-of-GDPcompareTo=FI,JP,US,SG,KR

กราฟด้านบน (Public expenditure on Education in %GDP) บ่งบอกถึงเรื่องราวของความต้องการของประเทศเรา (สีเขียวเข้ม) ที่จะพัฒนาการศึกษาให้สู้ประเทศอื่นๆ ได้ แต่ลองสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่าปริมาณที่เราลงทุนไปในช่วงปีก่อนๆ นั้นไม่ได้ขี้เหร่เลยเมื่อเทียบกับประเทศชั้นนำที่ผมคัดมาให้ดู แต่ทำไมผลประกอบการที่ได้กลับมามันถึงสู้เขาไม่ได้

เรายังลงทุนไม่มากพอหรือว่าเราใช้เงินผิดๆ กันแน่

ระหว่างที่เราคิด เราจะต้องไม่ลืมว่าเงินที่เอาไปลงทุนกับการศึกษานั้นสามารถเอาไปใช้ลงทุนในด้านอื่นๆ ได้ เช่น สาธารณสุข อุตสาหกรรมอาหาร สิ่งแวดล้อม หรือการคมนาคมได้เหมือนกัน

ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในสิ่งอื่นๆ เหล่านี้ก็อาจจะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของประชากรของเราอย่างอ้อมๆ ก็เป็นได้ (ยกตัวอย่าง พอสารอาหารที่เด็กได้รับดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ถนนหนทางดีขึ้น เด็กอาจจะไปโรงเรียนได้ง่ายขึ้น สุขภาพดีขึ้น ป่วยน้อยลง เรียนได้ดีขึ้น)

เพราะฉะนั้น อย่างแรกที่เราควรจะคิดให้ออกก่อนเริ่มลงมือแก้ปัญหาว่าทำไมลงทุนแล้วไม่คืนทุนคือ สังคมเราจะมีอนุบาล โรงเรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไร

เพราะว่าที่จริงแล้ว การศึกษาที่มีคุณภาพและแฟร์ต่อทุกคนนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่าอุปกรณ์ ค่าแรง และค่าเสียเวลาของชีวิตเด็กๆ

เราจึงต้องมีจุดมุ่งหมายให้แน่ชัดว่าทำทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไร ลงทุนทั้งหมดนี่ไปเพื่อให้ประเทศเราได้คะแนน PISA สูงกว่าเพื่อนบ้านพอ ให้เอาไว้อวดชาติอื่นว่าเด็กเราได้เหรียญโอลิมปิกเพียบ หรือว่าเพื่อสังคมที่ดีกว่า

ลองพิจารณาสองสังคมตัวอย่างนะครับ 1) ประเทศอินเดีย 2) ชุมชนท้องถิ่นในหุบเขาบางแห่งในประเทศอินเดียที่เป็นสังคมแบบพอเพียง ทำไร่ทำสวน ถือว่ายากจน (ตามมาตรฐานของธนาคารโลก) แต่ก็อยู่ดีมีสุข พอมีพอกิน

ในกรณีของชุมชนหุบเขา การส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือในเมืองใหญ่อาจเปรียบเสมือนเป็นแค่การส่งเด็กๆ ไปเข้า “โรงงาน” ที่มีหน้าที่หลอมเด็กออกมาเป็น “น็อต” ตัวหนึ่งในสังคมโมเดิร์น ผลิตออกมาเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ในเศรษฐกิจขนาดใหญ่ยักษ์ของประเทศอินเดีย

สำหรับประเทศอินเดียโดยรวมแล้ว การมองโรงเรียนเป็นโรงงานผลิตแรงงานอาจจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าการผลิต “น็อต” เหล่านี้นั้นสามารถทำให้ประเทศมีประสิทธิภาพในการแข่งขันในเชิงการผลิตสินค้าและบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกสูงขึ้น

แต่ทว่า…สำหรับชุมชนชนบทแล้ว ความรู้และความสามารถใหม่ๆ ที่ลูกหลานได้มา มันแทบไม่มีประโยชน์ในการใช้ชีวิตในหุบเขาเลยสักนิด ความรู้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ช่วยให้เราทำไร่หรือทำกับข้าวโดยไม่มีไฟฟ้าเป็นเลยสักนิดเดียว

จากตัวอย่างดังกล่าว เราจะเห็นได้ชัดว่าระบบการศึกษาสามารถหล่อหลอมคนออกมาเป็นอย่างไรก็ได้ แล้วแต่แม่พิมพ์ และผลผลิตที่ออกมานั้นจะมีผลดี (ในกรณีประเทศอินเดียโดยรวม) หรือไร้ประโยชน์และเสียเวลา (ในกรณีชุมชนชนบท) ก็แล้วแต่ว่าเราร่างแบบพิมพ์ออกมาอย่างไร

เพราะฉะนั้น จุดแรกที่เราควรจะช่วยกันคิดคือ เราอยากให้ชาติเราเดินหน้าไปในทางไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการเมืองระหว่างประเทศในยุคสมัยใหม่แบบนี้

เราอยากจะผลิตเด็กๆ ออกมาให้เป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ที่เก่งที่สุดในเอเชียไหม หรืออยากเปลี่ยนแนวมาผลิตเด็กๆ ให้ออกมาเป็นนักคิด นักธุรกิจแนวผู้บริหารกิจการ (entrepreneur)

เมื่อเรามีเส้นชัยหลายๆ เส้นที่เราตั้งไว้อย่างชัดเจน เราก็จะสามารถมาวางแผนได้อย่างมีระบบขึ้นว่าการจะมุ่งหน้าไปทางนี้ควรจะต้องให้เด็กๆ มีทักษะในด้านไหนเป็นพิเศษ จะต้องเริ่มตั้งแต่อนุบาลเลยไหม หลังจากนั้นเราก็จะมีหน้าที่ที่จะต้องคอยทำการทดลองและสังเกตดูว่าวิธีไหน นโยบายไหน สามารถ “ปั้น” เด็กออกมาให้ถูกเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ดีที่สุดและสิ้นเปลืองเงินของรัฐน้อยที่สุด

2. กำหนด Product Line ของระบบการศึกษา

ทีมาภาพ : https://farm4.staticflickr.com/3531/4068809166_578a9224f4_z_d.jpgzz=1
ทีมาภาพ: https://farm4.staticflickr.com/3531/4068809166_578a9224f4_z_d.jpgzz=1

เมื่อปรับเข็มทิศใหม่แล้ว ก็ต้องลองคิดดูว่า “ผลิตภัณฑ์” ที่จะออกมาจากระบบการศึกษาจะต้องมีคุณสมบัติแบบใด จึงจะพาเราไปถึง “สังคมในฝัน” ที่เป็นจุดหมายของเราให้ได้

ผมเชื่อว่าสังคมในฝันของพวกเราคงไม่ใช่สังคมที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สูงลิบลิ่วแต่ประชาชนกลับมีความคดโกงในจิตใจ มีความแตกต่างทางฐานะสูง และไร้ซึ่งศีลธรรม มีการชิงทรัพย์ ข่มขืน เมาแล้วขับกันทุกวัน

จะให้แก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการเพิ่มกำลังตำรวจ เพิ่มเรือนจำ มันเป็นวิธีที่สิ้นเปลืองมาก แถมยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอีกด้วย

โชคยังดีที่การศึกษาไม่ได้มีผลต่อแค่ความสามารถของพลเรือนเท่านั้น การศึกษายังเป็นเครื่องมือสำคัญในการหล่อหลอมความคิด ความรับผิดชอบ ความรู้ถูกรู้ผิด และการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพและมีคุณธรรมอีกด้วย

ในระบบการศึกษาที่ไม่เคยสอนให้เด็กคิดได้ว่าอะไรดีไม่ดีต่อร่างกาย เด็กๆ ก็จะไม่ทราบว่าต้องทานอาหารแบบไหน ควรจะสูบบุหรี่ไหม ควรจะออกกำลังกายแบบไหน ถี่แค่ไหนถึงจะไม่ป่วยง่าย หากเด็กๆ สามารถคิดเองเป็นในเรื่องของการบริโภคอาหารและกิจกรรมเพื่อสุขภาพ บ้านเมืองก็จะมีพลเมืองที่แข็งแรง ประเทศก็จะมีผลิตภาพสูงและไม่ต้องเป็นห่วงว่าเด็กๆ เหล่านี้โตขึ้นจะมาเป็นภาระทางการคลังของรัฐบาลและผู้จ่ายภาษี

การเมืองการปกครองก็เหมือนกัน ระบอบประชาธิปไตยที่ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นนั้นมีความจำเป็นที่ประชาชนจะต้องมีความสามารถที่จะทำหน้าที่เป็น Democratic Citizen ได้ดีเยี่ยม สิ่งต่างๆ ที่หล่อหลอมการเป็น Democratic Citizen ได้ดีนั้นไม่ได้มาในกรรมพันธุ์ แต่เป็นการเรียนรู้ขึ้นมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะเป็นการกล้าแสดงความคิดเห็นได้โดยไม่โดนสอยร่วง หรือการกล้าแสดงออกได้โดยไม่ไปเหยียบย่ำสิทธิของผู้อื่น การเปิดใจให้กว้างเพื่อรับความคิดเห็นของผู้อื่น และการยอมรับในกฎหมาย

อยากได้สังคมแบบไหนก็ต้องพยายามนึกดูว่าอยากให้ Product Line ของเรานั้นประกอบไปด้วยผลผลิตแบบไหนและมีคุณลักษณะใดบ้าง

3. ทำให้การศึกษา “ครบวงจร” ด้วยการสร้างงานและโอกาส

ที่มาภาพ : https://farm2.staticflickr.com/1299/4607229186_56fdb47bc9_z_d.jpg
ที่มาภาพ: https://farm2.staticflickr.com/1299/4607229186_56fdb47bc9_z_d.jpg

หากไม่มีงานหรือโอกาสที่เหมาะสมมารองรับ “ผลผลิต” จากระบบการศึกษา…การลงทุนทั้งหมดก็จะถือว่าขาดทุนและสูญเปล่า

การสร้าง “งาน” หรือ “โอกาส” มารองรับทักษะและบุคลิกลักษณะของเด็กๆ อย่างเหมาะสม จึงถือว่าเป็นจุดสำคัญในการเชื่อมให้วงจรการศึกษานั้น “ครบวงจร” นั่นเอง

หนึ่งตัวอย่างของความสิ้นเปลืองคือการผลิตเด็กขึ้นมาเป็นแชมป์ด้านวิทยาศาสตร์ มีการหล่อหลอมค่านิยมให้เรียนวิทย์ถ้าเกรดดี แต่กลับไม่มีงานสำหรับนักวิทยาศาสตร์ให้เลือกมากนัก สุดท้ายเด็กๆ อัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์กลับหันไปเป็นนายธนาคารหรือไปเปิดร้านกาแฟแทน ทั้งๆ ที่จริงแล้วถูกฝึกให้มาเป็นนักวิทยาศาสตร์และใจรักวิทยาศาสตร์ แต่กลับไม่ได้ใช้ความสามารถให้ตรงจุดเพื่อพัฒนาชาติในด้านนี้ ถามว่าใครขาดทุนที่สุด คำตอบก็คือประเทศครับ

จริงอยู่…รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้า ไม่ใช่ว่าจะสร้างงานอะไรก็สร้างได้ตามใจฉัน แต่รัฐบาลนั้นเป็นหัวหอกที่ตั้งอยู่ในจุดที่สามารถควบคุมหรือทำตัวเป็นเจ๊ดันในบางภาคส่วนเพื่อให้มีงานออกมารองรับเด็กๆ ที่ผลิตขึ้นมา

ผมทนไม่ได้เลยเวลาผมเห็นเพื่อนๆ ผมเก่งๆ หลายคนบ่นว่าไม่ชอบงาน เบื่อ ไม่ตรงกับที่เคยตั้งใจจะเรียนมา กลายเป็นว่าจะเรียนเอกนั่นเอกนี่มาทำไมก็ไม่รู้ สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี มันช่างน่าเสียดายเวลาและความใฝ่ฝันของคนเราเสียนี่กระไร

ถ้าเรายังเดินหน้าไปแบบไม่มีจุดหมาย ไม่มีแบบแผน ไม่มีผลผลิตที่แน่ชัดในใจ และไม่มีงานที่เหมาะสมกับความสามารถและความชอบของนักเรียน ช่วงชีวิตวัยเรียนของเด็กๆ ก็จะผ่านอย่างรวดเร็วแบบไม่มีประโยชน์

เมื่อนั้น โรงเรียนก็จะกลายเป็นเรือนจำดีๆ ชั้นเลิศสำหรับเด็กๆ เท่านั่นเอง

4. ปฏิรูปผู้ปกครอง

ที่มาภาพ : https://farm4.staticflickr.com/3527/3202142359_8a4e854b38_z_d.jpg
ที่มาภาพ: https://farm4.staticflickr.com/3527/3202142359_8a4e854b38_z_d.jpg

ในสังคมสมัยนี้ จะให้ไปบังคับว่าคุณต้องเลี้ยงลูกอย่างนี้อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าก่อนคนเราจะโตเป็นผู้ใหญ่ เราใช้เวลากับใครมากที่สุดเวลาไม่ได้อยู่ในห้องเรียน

คงจะเคยได้ยินกันว่า…

“คุณครูควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีต่อนักเรียน”

“พี่คนโตควรทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้องๆ ”

แล้วพ่อกับแม่ล่ะ

จากมุมมองของส่วนรวม บทบาทของพ่อกับแม่นั้นมีมากกว่าแค่การทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูแลลูก เนื่องจากว่าจริงๆ แล้วเด็กๆ ใช้เวลาส่วนใหญ่กับพ่อแม่ ไม่ใช่กับครูบาอาจารย์

หลายๆ เรื่อง เช่น อะไรถูกอะไรผิด การออมเงิน ความเป็นผู้นำ ความขยัน ความใฝ่รู้ ความรู้รอบตัว และมารยาททางสังคมนั้นสอนกันลำบากในรั้วโรงเรียน หากเด็กที่เกิดในครอบครัวที่เพรียบพร้อมกว่า มีความใส่ใจในคุณภาพของลูกมากกว่า เด็กก็จะได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้อย่างอ้อมๆ ในวัยเด็ก สะสมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ ผ่านไปสิบปีเด็กพวกนี้จะนำไปไกลแล้วเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่เอาใจใส่เท่าไหร่นัก

ทักษะในการใช้ชีวิตเหล่านี้ แม้ให้คะแนนกันไม่ได้ แต่เรารู้กันว่ามันสำคัญต่ออนาคตของเด็กและคุณภาพของเขาเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน ยิ่งถ้าหากเราคิดว่าเด็กๆ จากครอบครัวที่เพรียบพร้อมกว่านั้นโตขึ้นแล้วได้เปรียบกว่าเพื่อนๆ มาก ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในสังคมมันจะไม่ยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิมหรือ

แม้รัฐบาลจะไม่มีสิทธิ์ “บังคับ” พ่อแม่ทั่วประเทศให้กำชับให้ลูกเลิกอ่านการ์ตูน เลิกเที่ยวเตร่ เลิกเล่นเกม แต่รัฐบาลสามารถสร้างแรงจูงใจบางอย่างเพื่อชักจูงพ่อแม่บางกลุ่มให้เปลี่ยนวิธีการเลี้ยงลูกได้ เช่น การให้เงินอุดหนุนของเล่นประเทืองปัญญาสำหรับครอบครัวที่ยากจน ทำโครงการเข้าไปช่วยสอนวิธีเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพในครอบครัวที่กำลังลำบาก หรือ ทำโปรแกรมช่วยจ่ายของว่างคุณภาพ (ไม่เอาพวกขนมอบกรอบหรือเวเฟอร์ไส้อากาศ) ให้กับพ่อแม่มือใหม่ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้จะได้ผลหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลให้มาเป็น “ผู้ช่วยผู้ปกครอง” ของเราแค่ไหนนั่นเอง

5. ปฏิรูปการศึกษาในสายลม

ที่มาภาพ : https://farm8.staticflickr.com/7415/12864524064_bab4661df5_z_d.jpg
ที่มาภาพ ช: https://farm8.staticflickr.com/7415/12864524064_bab4661df5_z_d.jpg

ยังมีอีกหลายปัจจัยมากที่สามารถเข้ามามีบทบาทต่อการเรียนรู้และความสามารถของประชากร

และบางปัจจัยก็มาทางสายลม…

ในขณะนี้งานวิจัยใหม่ๆ หลายชิ้นพบว่ามลภาวะทางอากาศ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM-2.5 และโอโซนนั้นทำให้ผลการเรียนของเด็กๆ ตกลง และทำให้เด็กขาดเรียนมากขึ้น โดยมลภาวะทางอากาศบางชนิดนั้นสามารถทำให้เด็กๆ บางกลุ่มเกิดอาการภูมิแพ้กำเริบขึ้นได้ ในกรณีที่แย่มากๆ นั้นมลภาวะทางอากาศสามารถทำให้การพัฒนาปอดของเด็กๆ ถึงกับชะงักได้เลยทีเดียว ที่น่ากลัวคือฝุ่นละอองเล็กๆ พวกนี้ส่วนมากมาจากควันรถยนต์…ซึ่งในกรุงเทพฯ นั้นมีเต็มไปหมดทุกหนทุกแห่ง

เรื่องนี้ยังเป็นแค่หนึ่งในอีกหลายปัจจัยภายนอกที่สามารถเข้ามามีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และความสามารถของประชากรในประเทศของเราผ่านสุขภาพของเด็กๆ ได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง งานวิจัยในอนาคตจะสามารถชี้ให้เราเห็นได้อีกหลายลู่ทางในการพัฒนาการศึกษาจากมุมมองใหม่ๆ ครับ

สรุป

ก่อนที่เราเริ่มปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างจริงๆ จังๆ

1. ให้ตระหนักให้ได้ก่อนว่าการพัฒนาการศึกษาเป็นโจทย์ที่ซับซ้อน การศึกษามีค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่วที่เราไม่ควรลงทุนเกินไปกว่าคุณค่าที่เราจะได้มันกลับมา

2. เราควรคุยกันเพื่อหาจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการศึกษา

3. ลองนึกถึง”ผู้สำเร็จการศึกษา” ที่เราต้องการ

4. คิดถึงงานที่เราต้องสร้าง

ที่สำคัญ…จะต้องไม่ลืมว่าการพัฒนาการศึกษาไม่ได้ทำได้แค่ในห้องเรียน แต่สามารถทำได้แม้กระทั่งในสายลมครับ

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ “เศรษฐ” ความคิด – settaKid.com วันที่ 16 กันยายน 2557