ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 6 กันยายน 2557
– รับน้อง ปวช. ปี 1 ถึงตาย – รุ่นพี่ยันไม่เคยบังคับ
– สิ้นแล้วศิลปินแห่งชาติ “ถวัลย์ ดัชนี”
– มหากาพย์ทีวีดิจิทัล กสท. จี้เคเบิล/ดาวเทียมหยุดให้ช่อง 3 ออกอากาศ – ช่อง 3 เมินเส้นตาย
– ดราม่ามหา’ลัยอีกระลอก เมื่ออาจารย์กล่าว “ฉันไม่สอนเด็กวัด”
– เปิดตัวทำเนียบใหม่กับไมโครโฟนสุดหรูตัวละ 1.45 แสนบาท
รับน้อง ปวช. ปี 1 ถึงตาย – รุ่นพี่ยันไม่เคยบังคับ

เมื่อ 30 ส.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวไทยรายงาน ร.ต.ท.จารึก คงกระเรียน ร้อยเวรสอบสวน สภ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับแจ้งจากโรงพยาบาลกรุงเทพ หัวหิน เขตเทศบาลเมืองหัวหิน ว่ามีนักศึกษาจมน้ำทะเลเข้ามารักษาตัวแต่เสียชีวิต จึงรุดไปตรวจสอบพบศพนักศึกษา ปวช. ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยย่านปทุมธานี เสียชีวิตในสภาพร่างกายซีดเซียว เลือดออกปาก มีทรายติดเต็มตามลำตัว คาดเสียชีวิตมาแล้วราว 1 ชม. เบื้องต้นคาดว่าเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ก่อนนำศพส่งสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ให้แพทย์ผ่าพิสูจน์อีกครั้ง
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทราบว่า ก่อนหน้านั้นมีรถปิกอัพยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์เงิน มีวัยรุ่นชายหญิง 5-6 คน สวมเสื้อช็อป นำร่างคนเจ็บที่นอนไม่ได้สติมาด้านหลังกระบะบอกว่าจมน้ำทะเล ก่อนทั้งหมดขับรถหนีออกจากโรงพยาบาลไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวผู้ป่วยเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิต แต่พบว่าเสียชีวิตก่อนหน้าแล้ว
จากการสอบสวนทราบว่าผู้ตายเดินทางมารับน้องใหม่กับเพื่อนๆ นักศึกษา โดยไม่มีอาจารย์มาด้วย ที่หาดทรายน้อย หมู่บ้านเขาเต่า ต.หนองแก อ.หัวหิน และเข้าพักที่บ้านพักซึ่งอยู่ใกล้ทะเล จึงสอบถามทราบว่าผู้ตายมาเข้าพักกับเพื่อนนักศึกษารวมกว่า 20 คน เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังเปิดห้องพักทั้งหมดก็เดินถือเสบียงของกินไปที่บริเวณชายหาดทรายน้อย จนรุ่งเช้าจึงทราบว่ามีนักศึกษาเสียชีวิต
เบื้องต้นคาดว่าขณะนอนคว่ำหน้ากับพื้นทรายผู้ตายเกิดสำลักหายใจไม่ทัน ทำให้เสียชีวิตดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ตำรวจยังไม่ตั้งข้อหาใคร ต้องรอเรียกนักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์มาสอบปากคำเพิ่มเติม รวมทั้งรอผลการชันสูตรศพจากแพทย์อีกครั้ง
ขณะที่บิดามารดาผู้ตายได้เดินทางมาดูศพลูกชายด้วยอาการเศร้าโศก ระบุว่า ตนมีลูกคนเดียว ก่อนเกิดเหตุลูกชายได้มาขอไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ รุ่นพี่ที่วิทยาลัย ตนเห็นว่าลูกโตแล้วน่าจะรับผิดชอบตัวเองได้ จึงอนุญาต แต่ไม่นึกว่าจะมาเสียชีวิตแบบนี้ ทั้งนี้ ลูกชายเคยมีประวัติโรคประจำตัว คือ โรคลูคีเมีย แต่รักษาหายแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน
จากนั้นเกิดกระแสวิพาษณ์วิจารณ์มากมายตามเว็บไซต์ต่างๆ ถึงความไม่เหมาะสมของการรับน้องซึ่งเป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ด้านรุ่นพี่ชี้แจง หลังเกิดเหตุว่า ทางรุ่นพี่ได้ถามน้องทุกคนว่ามีใครเป็นโรคประจำตัวหรือไม่ น้องคนที่เสียบอกหายดีแล้ว จึงเริ่มทำการรับ มีการให้น้องดื่มเหล้าขาวจริง แต่ไม่ใช่การจับกรอกตามสื่อเสนอ แต่คือการแบ่งกันจิบแล้วน้องที่เสียขอดื่มแทนเพื่อน
เมื่อดื่มไปเขาก็ทิ้งดิ่งในน้ำทะเล หลังจากนั้นน้องจึงอ้วก โดยไม่มีการจับหน้ากดลงกองทรายตามสื่อเสนอแต่อย่างใด พอรุ่นพี่เห็นน้องอ้วกจึงวิ่งไปถามชาวประมงคนในข่าวดังกล่าวว่า โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ใดแล้วก็ได้พาไปส่งโรงพยาบาล แต่ไม่ได้มีการทิ้งน้องหนีตามสื่อเสนอแต่อย่างใด

ที่มาภาพ : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20110228/378726/%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95…%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B5.html

เมื่อ 3 ก.ย. ที่ผ่านมาสำนักข่าวไทยรายงาน “ดอยธิเบศร์ ดัชนี” บุตรชาย “ถวัลย์ ดัชนี” ศิลปินแห่งชาติ ปี 2544 สาขาทัศนศิลป์ วัย 74 ปี ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ บิดาได้เสียชีวิตแล้วหลังป่วยด้วยโรคตับอักเสบเป็นเวลา 3 เดือน โดยโพสต์ข้อความ “พ่อไม่ต้องกังวล เพราะพ่อจะไม่ไปไหน พ่อจากไปแต่เพียงร่างกาย แต่ผลงานศิลปะที่มาจากหัวใจ จิตวิณญาณ และลมหายใจ ที่พ่อสร้างไว้ จะเป็นอมตะตลอดกาล พ่อคือผู้สร้าง และลูกคือผู้รักษา หลับให้สบายนะพ่อ เลือดของพ่อยังไหลเวียนในกายลูกเสมอ เราจะพบกัน…รักพ่อสุดหัวใจ กราบเท้าพ่อครั้งสุดท้าย” โดยจะมีพิธีสวดอภิธรรมศพที่วัดเทพศิรินทราวาสเป็นเวลา 7 วัน
สำหรับนายถวัลย์ ปัจจุบันอายุ 74 ปี เกิดเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2482 ที่จังหวัดเชียงราย เป็นบุตรของนายศรี และนางบัวคำ (พรหมสา) ดัชนี เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 4 คน ได้แก่ พ.ต.สว่าง ดัชนี (ถึงแก่กรรม) นายสมจิตต์ ดัชนี (ถึงแก่กรรม) และนายวสันต์ ดัชนี (ถึงแก่กรรม) สมรสกับนางมากาเร็ต ฟันเดอร์ฮุ๊ค มีบุตร 1 คน คือ นายดอยธิเบศร์ ดัชนี
ด้านการศึกษา ได้สำเร็จชั้นมัธยมที่จังหวัดเชียงราย ก่อนเข้าเรียนศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่าง ด้วยทุนการศึกษาของจังหวัดเชียงรายและเป็นนักเรียนเพาะช่างดีเด่น ด้วยฝีมือการวาดรูปเหมือนจริงที่แม่นยำฉับไว โดยภาพวัดเบญจมบพิตรได้รับเลือกให้แสดงในหอศิลปแห่งชาติ นครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และแสดงในนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยแห่งชาติ ประเทศไทย
เมื่อจบจากโรงเรียนเพาะช่างในปี 2500 ได้เดินตามแนวทางของดำรง วงศ์อุปราช จิตรกรรุ่นพี่ นักเรียนทุนจากลำปาง ซึ่งเป็นผู้จุดประกายให้เขาสอบเข้าเรียนที่คณะจิตรกรรม ประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ภายใต้การอำนวยการสอนของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี และสถาบันแห่งนี้ได้หล่อหลอมให้เขาได้พัฒนางานจากภาพวาดเหมือนจริง ไปเป็นภาพวาดที่ให้ความรู้สึกประทับใจ (Impressionism) แบบไทย แล้วยังเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเป็นแบบอย่างการใช้ชีวิตและวิธีคิดที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของเขาเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ยังเป็นบัณฑิตคนหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนของมหาวิทยาลัยศิลปากรในขณะนั้น ที่สามารถเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าถ้าไม่มีความรู้ความสามารถโดดเด่นแท้จริงแล้วจะได้เพียงอนุปริญญา และหลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากรแล้ว ด้วยการสนับสนุนของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี คณบดีในเวลานั้น ยังได้รับทุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรมและการศึกษา ของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ไปศึกษาต่อ ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เป็นเวลา 5 ปี ที่ราชวิทยาลัยศิลปแห่งชาติ อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์
ระหว่างที่ศึกษาศิลปะที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ผลงานการสร้างสรรค์ของเขาโดดเด่นเป็นที่นิยมชมชอบของวงการศิลปะสากลอย่างกว้างขวาง จึงได้รับเชิญเป็นผู้บรรยายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการประชุมสัมมนาทางศิลปะระดับนานาชาติอยู่เสมอ ทั้งจากสถาบันการศึกษา สถาบันทางศิลปะ ให้จัดแสดงผลงานที่เรียกว่า One Man Show และแสดงกลุ่มมากมายหลายครั้งทั้งในประเทศ และต่างประเทศ นับตั้งแต่เข้ามามีบทบาทในวงการศิลปะร่วมสมัยของไทย ซึ่งได้สร้างคุณูปการต่อวงการศิลปะเป็นอย่างมาก
มหากาพย์ทีวีดิจิทัล กสท. จี้เคเบิล/ดาวเทียมหยุดให้ช่อง 3 ออกอากาศ - ช่อง 3 เมินเส้นตาย

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/nbtc.rights?fref=ts
เมื่อ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา ผู้จัดการออนไลน์รายงานน.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เปิดเผยว่า ภายหลังหารือร่วมกับช่อง 3 และผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล 24 ช่อง กสท. เตรียมส่งหนังสือแจ้งผู้ประกอบการโครงข่ายเคเบิลและดาวเทียม ห้ามออกอากาศช่อง 3 ในระบบอนาล็อกอีก โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15 วันต่อจากนี้
เนื่องจากขณะนี้ กสท. มีอำนาจเต็มในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว จากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งชัดเจนแล้วว่า ประกาศ คสช. ฉบับที่ 27 ไม่เคยก้าวล่วงการจัดระเบียบการออกอากาศของระบบอนาล็อกใดๆ ดังนั้น ให้ กสท. ไปดำเนินการในเรื่องนี้เอง
น.ส.สุภิญญา กล่าวว่า ช่อง 3 ควรหยุดอ้างประกาศ คสช. ได้แล้ว และหันเข้าสู่การแข่งขันในอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลปกติ ซึ่ง กสท. พร้อมเคลียร์ปัญหาข้อกฎหมายทั้งหมดที่จะทำให้ช่อง 3 ออกอากาศคู่ขนานได้ โดย กสท. พร้อมช่วยเหลือทุกอย่าง
อย่างไรก็ตาม การหารือในวันที่ 3 ก.ย. นั้น ผู้บริหารระดับสูงของช่อง 3 ไม่ได้เข้าร่วม เพียงแต่ส่งทนายความมาเท่านั้น ทำให้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนจากทางช่อง 3 เพราะตัวแทนที่เข้าร่วมการหารือไม่มีอำนาจในการตัดสินใจใดๆ
ด้าน นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ให้สัมภาษณ์กับ ผู้จัดการออนไลน์ ระบุทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง และเป็นเรื่องของธุรกิจ โดยตนหวังว่าทุกฝ่ายจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน เคเบิล-ดาวเทียม ไม่มีช่อง 3 อนาล็อกไม่ได้ เพราะฐานคนดูแน่นมานานแล้ว การออกอากาศคู่ขนานไม่ได้อยู่ในแผนของการประมูลทีวีดิจิทัลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
นอกจากนี้สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ออกแถลงการณ์ชี้แจงเกี่ยวกับการอากาศช่อง 3 ใน ระบบอนาล็อก ระบุ
1. ปัจจุบันสามารถรับชมไทยทีวีสีช่อง 3 original ผ่านเสาก้างปลา เสาหนวดกุ้ง โครงข่ายโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และระบบเคเบิ้ลทีวี
2. ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557 ประชาชนยังรับชมช่อง 3 original ผ่านเสาอากาศก้างปลา และหนวดกุ้งได้ตามปกติไปจนหมดอายุสัมปทานถึงปี 2563 โดยไม่มีปัญหา ประเด็นที่กำลังถกเถียง คือ กสทช. ยังจะอนุญาตให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิ้ลทีวี นำสัญญาณช่อง 3 ไปออกอากาศหรือไม่
3. กสทช. และผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลบางราย มีความต้องการให้ช่อง 3 original ขึ้นไปออกอากาศคู่ขนานบนช่องทีวีดิจิทัลที่บริษัทในเครือประมูลมาได้ทันที โดยมีความเข้าใจว่าต้องการให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีดิจิทัลเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด
4. ช่อง 3 เราเห็นว่า ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 27 มีผลเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนโดยทั่วไป เพื่อให้ผู้ชมในระบบดาวเทียมและเคเบิ้ลทีวีซึ่งมีอยู่ 70% ของประเทศหรือประมาณ 15 ล้านครัวเรือนยังสามารถรับชมช่อง 3 ได้ตามปกติ
5. ช่อง 3 สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบทีวีดิจิทัลอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน บริษัทในเครือช่อง 3 มีความเชื่อมั่นในทีวีดิจิทัล จึงเข้าร่วมประมูลมาถึง 3 ช่องซึ่งมากที่สุดในผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล
6. ช่อง 3 ขอชี้แจงว่าบริษัทในเครือที่ประมูลทีวีดิจิทัลมา เป็นคนละนิติบุคคลกับช่อง 3 และมีแผนธุรกิจชัดเจน ดังนี้ ช่อง 13 Family เพื่อเป็นการคืนกำไรให้ประชาชนโดยเสนอรายการเพื่อเด็กและเยาวชนและครอบครัวที่มีสาระประโยชน์เต็มที่ช่อง 28 SD ไว้รองรับการเติบโตของธุรกิจ ช่อง 33 HD เตรียมไว้รองรับช่อง 3 original ในอีก 6 ปีข้างหน้าเมื่อสิ้นสุดสัญญาเดิม โดยในระหว่างนี้กำลังพัฒนาให้เป็นช่องรายการคุณภาพสูง เป็นต้นว่าการถ่ายทอดกีฬานัดสำคัญระดับโลก
7. หาก กสทช. ต้องการให้ช่อง 3 original ออกอากาศคู่ขนานทีวีดิจิทัลเร็วกว่าแผนงานที่เราวางไว้ ช่อง 3 ยินดีที่จะหารือกับ กสทช. ซึ่งจำเป็นต้องมีขั้นตอนการดำเนินการอย่างรอบคอบ เนื่องจากเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ และต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม และต้องเคารพสิทธิของช่อง 3 ด้วย
8. ช่อง 3 จะพยายามอย่างที่สุด เพื่อให้ผู้ชมในปัจจุบันทุกระบบออกอากาศไม่ได้รับผลกระทบ
ขณะที่ ในช่วงบ่ายวันนี้ พ.อ. ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) จะเชิญตัวแทนสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัลทุกช่องร่วมหารือร่วมกัน
ดรามามหา’ลัยอีกระลอก เมื่ออาจารย์กล่าว “ฉันไม่สอนเด็กวัด”

เมื่อ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กของนักศึกษารายหนึ่งได้อัปโหลดคลิปบรรยากาศการเรียนวิชา TU130 ในห้องประชุมใหญ่ นักศึกษาบางคนไม่มีที่นั่งเลยต้องนั่งเรียนกับพื้น แต่อาจารย์ก็ได้พูดใส่ไมค์ว่า “นั่งพื้นฉันไม่สอน ฉันไม่สอนเด็กวัด” สร้างความไม่พอใจให้กับนักศึกษาที่เข้าเรียนในกลุ่มนั้นเป็นอย่างมาก จึงมีการเผยแพร่คลิปนี้ออกไปอย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งมีนักศึกษาติดป้ายประท้วงภายในมหาวิทยาลัยอีกด้วย
เว็บไซต์มติชนรายงาน ถึงรายละเอียดของความขัดแย้งนี้กลุ่มสภาหน้าโดม เล่าว่า สืบเนื่องจากเมื่อปีการศึกษา 2556 นักศึกษาได้ประท้วงการบังคับใส่ชุดนักศึกษาในวิชา TU130 ซึ่งเป็นวิชาบังคับ แต่การบังคับเกิดขึ้นเมื่อเรียนกับอาจารย์ท่านหนึ่ง เพราะเนื่องจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่มีกฎข้อบังคับให้ใส่ชุดนักศึกษาเข้าห้องเรียน ต่อมารองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มีคำสั่งให้ยกเลิกการบังคับใส่ชุดนักศึกษาเข้าห้องเรียนในวิชาดังกล่าว เพราะขัดกับกฎข้อบังคับมหาวิทยาลัย
ขณะที่ล่าสุดในปีการศึกษา 2557 นักศึกษาเปิดเผยว่าอาจารย์ท่านเดิม ท่านเดียวกับที่บังคับใส่ชุดนักศึกษาเมื่อปี 2556 ได้ฝ่าฝืนกฎมหาวิทยาลัย และใช้มาตรการบังคับนักศึกษาให้ชุดนักศึกษา มิเช่นนั้นจะไม่แจกกระดาษคำตอบเก็บคะแนนย่อย รวมถึงจะตำหนิว่ากล่าวนักศึกษาที่ไม่ใส่ชุดนักศึกษามาด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
ซึ่งในวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา อาจารย์ท่านดังกล่าวได้มาสอนตามปกติในวิชา TU130 คาบบ่ายซึ่งผู้เรียน 1,000 คน และเมื่อถึงเวลาเก้าอี้เต็ม จึงมีนักศึกษาจำนวนหนึ่งนั่งที่พื้น แต่อาจารย์กลับตำหนิด้วยถ้อยคำว่า “นั่งพื้นฉันไม่สอน เพราะเหมือนเด็กวัด ทำตัวเป็นเด็กวัด” ทำให้นักศึกษาในห้องกว่า 1,000 คน ได้ส่งเสียงโห่แสดงความไม่พอใจที่อาจารย์ได้ใช้คำพูดเช่นนั้น เพราะแสดงถึงการดูถูกเด็กวัด ซึ่งถือเป็นการเหยียดสถานะทางสังคมของเด็กวัด ว่ามีสถานะที่ต่ำกว่านักศึกษา
และในเวลา 23.00 น. กลุ่มสภาหน้าโดม ได้นำป้ายประท้วงไปติดทั่วมหาวิทยาลัย โดยมีเนื้อความ เช่น “เด็กวัดแล้วยังไง?” “ฉันไม่สอนเด็กวัด เพราะเด็กวัดนั่งพื้น” ทั้งนี้ในประเด็นดังกล่าว สมาชิกกลุ่มสภาหน้าโดม เปิดเผยว่าเป็นกระแสที่พูดคุยถกเถียงกันของนักศึกษา และอาจารย์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นอย่างมาก
เปิดตัวทำเนียบใหม่กับไมโครโฟนสุดหรูตัวละ 1.45 แสนบาท

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นกระแสในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง เมื่อมีการเปิดตัวทำเนียบรัฐบาลโฉมใหม่เมื่อ 4 ก.ย. เว็บไซต์มติชนรายงาน ม.ล.ปนัดดา เปิดเผยว่า ห้องประชุม ครม. หรือห้อง 501 ใช้เทคโนโลยีเดียวกับ "ทำเนียบขาว" ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่ใช้เทคโนโลยีนี้
ระบบเครื่องเสียงที่ใช้ทั้งหมดติดตั้งโดยใช้ระบบทัชสกรีน และมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ มีระบบการป้องกันการดักฟัง เพื่อป้องกันการประชุมรั่วไหล โดยในห้องประชุม ครม. จะใช้ไมโครโฟนทั้งสิ้น 89 ตัว ราคาตัวละ 1.45 แสนบาท มีวิดีโอวอลล์ความละเอียดสูงขนาด 55 นิ้ว (ระบบไฮเดฟ) สามารถใช้เป็นวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้ด้วย ซึ่งห้องประชุมทั้ง 3 ห้อง ที่ตึกบัญชาการ 1 คือห้อ 301-302 และ 501 ใช้งบประมาณปรับปรุงทั้งสิ้น 69 ล้านบาท
ล่าสุดได้มีประชาชนบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า "ไมค์อะไรจะแพงขนาดนั้น" จึงได้พากันขุดคุ้ยตรวจสอบข้อมูลของไมค์ตัวดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งก็พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ราคาไมโครโฟนซึ่งมี "รูปลักษณะใกล้เคียง" กับที่ใช้ติดตั้งภายในห้องประชุม ครม. นั้น คือยี่ห้อ Bosch รุ่น DCN multimedia CN เสนอราคาปกติที่ 99,000 บาท ลดราคาได้ 15-20 % (ยังไม่รวมค่าติดตั้ง) เป็นระบบการประชุมแบบมัลติมีเดียที่สมบูรณ์แบบ ทั้งภาพที่มีความคมชัดให้ความละเอียดสูงเทคโนโลยีเสียงขั้นสูง
อีกทั้งการออกแบบหน้าจอที่หรูหรา สัมผัสได้แค่เพียงปลายนิ้วถูกต้องตามหลักการด้านสรีรศาสตร์ ผู้ร่วมประชุมสามารถแชร์ข้อมูลร่วมกัน ตลอดจนถึงการรองรับการเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ทำได้อย่างรวดเร็วสะดวกสบาย ระบบมัลติมีเดีย DCN เป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีเสียงขั้นสูงที่สมบูรณ์แบบ ทั้งไมโครโฟน และระบบลำโพงสองทิศทาง การตั้งค่าเสียงขั้นสูง มีระบบป้องกันเสียงรบกวน ที่สำคัญยังมีรหัสป้องกันเพื่อความปลอดภัยของข้อมูล ทั้งสัญญาณภาพและเสียงอีกด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ ม.ล.ปนัดดา กล่าวมานั้น เท่ากับว่ามีส่วนต่างของราคาต่อไมค์หนึ่งตัวอยู่ถึง 46,000 บาท หรือ กว่า 4,000,000 บาท ต่อไมค์ 89 ตัว
นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่แสดงความเห็นว่า "หากซื้อในจำนวนที่มากขนาดนี้ น่าจะได้ราคาที่ถูกกว่าราคาขายปลีกทั่วไปมิใช่หรือ?" หรือ ราคาที่ ม.ล.ปนัดดาชี้แจงมานั้น อาจจะเป็นราคาที่ไม่รวมค่าติดตั้ง หรือภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้
ทั้งนี้ ราคาที่นำมาเปรียบเทียบนั้น เป็นเพียง "ข้อสังเกต" ของประชาชนที่ต้องการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลเท่านั้น ต้องรอการชี้แจงจากทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ว่าแท้จริงแล้วข้อสรุปนั้นเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่มีกระแส "ไมค์ขั้นเทพ" นี้ออกไปไม่เกิน 1 วัน เว็บไซต์ตัวแทนจำหน่าย ไมโครโฟนดังกล่าว ก็ได้แก้ไขราคาจากเดิม 99,000 บาท เป็นราคา 199,000 บาทแล้ว
ขณะที่นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีโยธาธิการและผังเมือง ยันไมค์ห้องประชุม ครม. ไม่แพงเกินความจริง
พร้อม ชี้แจงกรณีการปรับปรุงระบบเสียง และระบบควบคุมการประชุมในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกรณีไมโครโฟนราคาตัวละกว่า 145,000 บาท ว่า ยังไม่มีการเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้างระบบดังกล่าว เนื่องจากเป็นการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ โดยให้บริษัทอัศวโสภณ ผู้นำเข้าระบบเสนอราคาเบื้องต้นเข้ามาให้พิจารณา ขณะนี้อยู่ระหว่างการต่อรองราคาไมโครโฟนจำนวน 181 ตัว ซึ่งเมื่อปรับปรุงระบบแล้ว จะต้องเพิ่มไมค์อีก 11 ตัว ยืนยันว่าจะรักษาผลประโยชน์ และระมัดระวังการใช้งบประมาณอย่างดีที่สุด โดยการใช้งบประมาณนี้สามารถตรวจสอบได้อย่างเข้มข้น โดยราคาจะไม่แพงมากเกินความเป็นจริงเหมือนที่ปรากฏเป็นข่าว