ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 6 –12 ม.ค. 2556
สวัสดีวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม หรือ “วันเด็กแห่งชาติ” พร้อมคำขวัญที่สำคัญสำหรับเยาวชนประจำปีนี้ “รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน” ที่นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มอบให้เด็กๆ ในปี 2556 นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังเตรียมตัวเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 และสำหรับข่าว ฮอตในโซเชียลมีเดีย ประจำสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคมนี้ ก็ยังร้อนระอุไปด้วยเรื่องของการเมืองไทย ทั้งเรื่องเก่า เรื่องใหม่ ยิ่งเข้าใกล้ช่วงของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ด้วยแล้วยิ่งเข้มข้นมากขึ้น
เรื่องแรก ยังคงเป็นกระแสแรงต่อเนื่อง เพราะถึงแม้จะยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อประชาชนและแฟนละคร แต่ก็มีเสียงสะท้อนคำวิจารณ์จากประชาชนและการวิเคราะห์จากนักวิชาการและผู้ที่เกี่ยวข้องแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อยู่ตลอด ต่อละครดังทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เรื่อง “เหนือเมฆ 2 ตอนมือปราบจอมขมังเวทย์” ที่ถูกระงับการออกอากาศอย่างกะทันหันในคืนวันศุกร์ที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา
กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มีอย่างมากในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นเช่นสิ่งที่กำลังกดดันให้ผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาอธิบายความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้แฟนละครและคอการเมืองได้หายคับข้องใจ เพราะไม่มีความเคลื่อนไหวใดของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เลย ตลอดทั้งวันเสาร์–อาทิตย์ หลังละครถูกระงับไป ซึ่งแม้จะมีผู้ชมโทรทัศน์จำนวนมากส่งเอสเอ็มเอสไปสอบถามในรายการเรื่องเล่าเสาร์–อาทิตย์ ที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ดำเนินรายการ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าในรายการจะนำเสนอข่าวดังกล่าวเลย หรือแม้แต่ข้อความเอสเอ็มเอส ที่ส่งไปสอบถามก็ไม่ปรากฏขึ้นแต่อย่างใด หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็พูดถึงเรื่องนี้ได้แต่เพียงว่า “ไม่รู้เรื่อง” และ “พอแล้วนะคะ พอแล้วนะคะพอแล้วเนอะ เดี๋ยวต้องไปรับแขกต่อ”
ด้านนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ก็ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีเนื้อความว่า
“ผมอยากให้ช่อง3 อนุญาตให้ละคร เหนือเมฆ ออกอากาศตอนที่เหลือจนจบ ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนครับว่าไม่เคยดูละครเรื่องนี้ และไม่เคยคิดที่จะเอาเนื้อหาของละคร ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองมาวิจารณ์เลย เพราะในชีวิตจริงแค่ดูละครการเมืองเรื่อง “ประชาธิปัตย์” เพียงอย่างเดียวก็ไม่ไหวจะเคลียร์แล้วครับ แต่แฟนเพจหลายท่านหลังไมค์หน้าไมค์มาว่า อยากฟังความเห็นส่วนตัวว่ามองอย่างไรกับเรื่องนี้
ถ้าจะให้พูดถึง ผมต้องขอยกเอาคำพูดของ Voltaire นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ที่ได้พูดไว้เมื่อ 3 ร้อยปีที่แล้ว มาเป็นกรอบในการวิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นดังนี้…“Though I disagree with everything you say, I will defend to the death your right to say it.” แปลเป็นไทยว่า “ถึงแม้ฉันจะไม่เห็นด้วยกับทุกสิ่งที่คุณพูด, แต่ฉันก็จะปกป้องด้วยชีวิต นสิทธิของคุณที่จะพูดถึงมัน”
ทางด้านพิธีกรรายการข่าวคนดัง นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ก็ได้โพสต์ข้อความโจมตีรัฐบาลลงในเฟสบุ๊กส่วนตัว อีกทั้งโพสต์ข้อความเชิญชวนให้คนในโลกออนไลน์เลิกสนับสนุน และติดตามรายการต่างๆ ของช่อง 3
โดยมีข้อความที่ ระบุไว้ว่า “อุตุฯ ตามล่าหาแม่คะนิ้งที่พิมาย โคราช, ตำรวจแม่กลองตามล่าไอ้ข่มขืนผู้สูงอายุ , พี่น้องคนทำงานนับแสนตามหางานใหม่ทำหลังโรงงานปิด ส่วนแฟนละครตามล่า “จอมขมังเวทย์” ที่มีอำนาจเหนือนายกฯ ซึ่งคงไม่มีวันหาพบ ไม่ใช่เพราะมันอยู่ไกล แต่เพราะมันไม่มีทางยอมรับ และจะไม่มีคำชี้แจงอะไรออกมามากกว่านี้จากทางสถานี
พวกเรา พลัง “สังคมออนไลน์” ต้องอย่าปล่อยให้กรณีนี้เงียบหายไปเหมือนไร่ส้มหรือเต้านมทาสี! มิฉะนั้นเขาจะดูแคลนได้ว่า เรามันก็แค่วูบวาบ คุยกันมันปากไปตามกระแส ทุกคนทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ เหมือนคุณหมอกัมปนาทถอนตัวจากรายการทางสถานี
แม้เราไม่ได้จัดรายการ “เราก็อย่าชมรายการที่มัวหมอง อย่าสนับสนุนสินค้าหรือบริการที่ยังลงโฆษณา” ช่วยกันส่งข่าว เริ่มจากครอบครัวตัวเอง อย่าอุดหนุนสินค้าที่ยังเป็นสปอนเซอร์รายการนั้นๆ แสดงให้นายทุนเห็นว่า พลังโซเชีย ไม่ใช่พลังวูบวาบไปตามกระแส”
หรือแม้แต่ นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล วิทยากรรายการชูรักชูรส ที่ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 ยังได้ออกมาประกาศผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ขอยุติบทบาทการเป็นวิทยากรของรายการชูรักชูรส ตราบใดที่ยังออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 โดยมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ไม่สามารถยอมรับได้ที่ต้องทำงานภายใต้องค์กรที่ไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อมวลชน และในฐานะที่เป็นจิตแพทย์ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ทางด้านจิตเวชศาสตร์ เพื่อให้ดำรงตนเพื่อคุณงามความดีของบ้านเมือง ดังนั้นจึงถือว่า ไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานีไทยทีวีสีช่อง 3 อีกต่อไป”
ขณะที่ทางด้าน อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูต รณะนันทน์ มีการทวีตข้อความใน @Pirongrong Ramasoota ไว้ถึงความสงสัยว่า เหตุใดละครเรื่อง “เหนือเมฆ 2” ถึงโดนแบน และยังมองไม่เห็นว่าผิดตาม กฎหมายมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ตรงไหน เพราะตามเนื้อหาที่ห้ามตามมาตรานี้ ได้แก่
1) เนื้อหาที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2) เนื้อหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
3) เนื้อหาที่เข้าลักษณะลามกอนาจารหรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง
“แล้วตอนจบที่คนชั่วถูกธรณีสูบนี่มันผิดข้อไหนอะ? ช่วยให้ความกระจ่างด้วยค่ะ”
ไม่เพียงแต่เป็นกระแสคึกโครมในประเทศเท่านั้น แต่เรื่อง “เหนือเมฆ 2” ยังเป็นข่าวดังไกลในต่างแดน เมื่อสำนักข่าวเอพี รายงานว่า สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ของประเทศไทย ตัดสินใจถอดละครทีวีเรื่องเหนือเมฆ 2 ที่ฉายในช่วงไพรม์ไทม์ 3 วัน ออกจากผังรายการโดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน สร้างความไม่พอใจในหมู่ผู้ชมและผู้วิจารณ์ที่ต้องการให้ละครเรื่องนี้ฉายจนจบ บางกลุ่มถึงขั้นเรียกร้องให้คว่ำบาตรช่อง 3 เลยทีเดียวซึ่งก็ได้แจ้งความประสงค์ จากชาวเน็ตที่จะนัดรวมตัวกันใช้ชื่อว่า “กลุ่มพลังส่งเสริมคนดี” ที่จะใส่เสื้อสีขาว และสวมหน้ากาก มาประท้วงกันที่ช่อง 3 หน้าอาคารมาลีนนท์ ในวันอาทิตย์ที่ 13 มกราคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้น
ในส่วนของทางช่อง 3 ได้ส่งผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ นายบริสุทธิ์ บูรณะสัมฤทธิ์ ออกมาแจ้งเรื่องราวการถอดละครเรื่องเหนือเมฆ 2 กลางอากาศว่าเป็นเพราะฃหาของละครไม่เหมาะสม อีกทั้งยังบอกอีกว่าคงไม่มีการแถลงหรือลงรายละเอียดใดอะไรเพิ่มเติม เพราะทางช่อง มองแล้วว่าเป็นเรื่องที่เห็นว่า “ไม่เหมาะสม” เป็นคำเดียวที่ลงตัวที่สุด อีกทั้งยังมีการยืนยันว่า จะไม่มีการนำมาออกอากาศอีกครั้ง หรือแม้ลงไว้ในเว็บไซด์ยูทูป และแม้จะมีม็อบการชุมนุมประท้วง ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะพิจารณาแล้ว และลิขสิทธิ์ละครเรื่องนี้เป็นของทางช่อง
เรื่องนี้ชาว เน็ตและสื่อมวลชนให้ความสนใจมาก ต่างก็พยายามหาคำตอบที่สมเหตุสมผล กับเรื่องนี้ออกมา โดยมีการแชร์ เทปละครที่อยู่ในเว็บไซต์ยูทูบ ต่อกันเพื่อให้ได้ เนื้อหาในบทละคร และเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดของเรื่องที่เกิดขึ้น ตาม 2 ลิงค์ที่แชร์กันมาก ได้แก่http://www.youtube.com/watch?v=79IWMEEA6BY&feature=player_embedded และhttp://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ONevt2EqStU
ในส่วนการทำงานของคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน มีการรายงานว่า ในวันพุธที่ 16 มกราคม 2556 จะมีการพิจารณาเรื่องที่ละครเหนือเมฆ 2 ถูกระงับการออกอากาศ โดยจะเชิญผู้บริหารช่อง 3, คณะกรรมการเซ็นเซอร์ของช่อง 3, ผู้อำนวยการสร้างละครเหนือเมฆ 2, พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มาประชุมร่วมกัน เพื่อชี้แจงรายละเอียด และจะมีการขอเทปการออกอากาศทั้งหมด รวมทั้งส่วนที่ระงับการออกอากาศ เพื่อมาตรวจสอบ
“อย่าโทษช่องเลยใครจะใหญ่คับฟ้าเท่ารัฐบาล!!”
“จะไม่มีวันลืมสิ่งที่ช่อง3 ทำในครั้งนี้แน่นอน ไม่มีความเป็นสื่อกลางที่ดีเลย”
“ผมว่าการแบนก็ไม่ถูกต้อง ละครยังไม่จบ ถ้ายังไม่ฉายก็ว่าไป แต่แปลกใจแต่ละครตบตีแยกสามี ไม่ยักกะโวยวายกัน เพราะแบบนี้ ถึงมีคนเคยให้คำนิยามว่า ประเทศไทยเป็นประเทศดราม่า”
“ไหนบอกประชาธิปไตย แต่การกระทำเผด็จการ สมัยนี้ยังมีอีกเหรอ แบนหนังแบบไม่มีเหตุผล”
“ถ้าเนื้อหาไม่ดีจริงๆ ควรแบนก่อนที่จะฉายนะ ไม่ใช่แบนตอนที่กำลังเข้มข้น และใกล้เห็นจุดจบของคนโกง เหมือนยอมรับความจริง ของผลของการกระทำของตัวเองไม่ได้อย่างนั้นแหละ”
“แบนกลางอากาศแบบนี้ ช็อคมาก ตอนรู้ข่าวว่างดฉาย ความรู้สึกคือรอมาทั้งอาทิตย์ อีกแค่3ตอนก็จบแล้ว ฉายต่ออีกหน่อยจะเป็นอะไรมากมั้ย ถึงกับติดคุกเลยเหรอ มันเสียความรู้สึก ต่อไปถ้าเรื่องไหนจะแบนบอกก่อนนะ จะได้ไม่ดูตั้งแต่ต้น”
เรื่องที่สอง ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ข่าวการเมืองยิ่งเข้มข้น เพราะหลังจากที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) คนล่าสุด ได้ลงนามและยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ก่อนครบวาระเพียง 1 วัน ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 10 มกราคม 2556
หลายสำนักมีการทำโพลเกี่ยวกับ ผู้ว่าฯ กทม. ในดวงใจคนต่อไปว่าควรจะมาจากพรรคใด ซึ่งผลสำรวจมองว่าเป็นพรรคใดก็ได้ ที่สามารถมาพัฒนาบ้านเมืองให้ดีได้ แม้ประชาชนจะพิจารณาเลือกผู้ว่าในดวงใจเป็นของตนเอง แต่การแข่งขันระหว่างทั้งสองพรรคการเมือง ก็เข้มข้น เมื่อกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชายของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ มีการสไกป์เพื่อพูดคุยกับกลุ่ม ส.ส. กทม. ของพรรคเพื่อไทยกว่า 40 คน โดยมีข้อความ ที่อ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดว่า พรรคเพื่อไทยส่งเสาไฟฟ้าลงเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. ก็ยังชนะ
จึงเป็นประเด็นว่า การพูดดังกล่าวคล้ายเป็นการดูถูกคนไทยและชาวบ้าน ซึ่งดูไม่มีความเหมาะสม ทางด้านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้มีการเรียกร้อง และทวงติงถึงคำพูดที่ถูกอ้างว่า มาจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ แม้จะมีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายออกมาปฏิเสธแทนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้พูดอย่างนั้นแน่นอน
อีกทั้งยังมีกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องการให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ในครั้งนี้ แต่ก็ได้รับการยืนยันจากพรรคเพื่อไทยแล้วว่าไม่เป็นความจริง อย่างแน่นอน
“อ่านแล้ว สำนวนแปลกๆนะ ไม่แน่ใจว่าเป็น ข่าว หรือเปล่า ดูแล้วเพื่อไทยมีแต่เสียกับเสีย น่าจะเป็น เต้าข่าวหรือบิดเบือนข่าวมากกว่า”
“จะเป็นใครพูดก็ตาม กับข้อความที่ว่า “ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งใคร หรือเสาไฟฟ้าลงสมัคร ก็ชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ แน่นอน” ผมคิดว่า ไม่ฉลาด และจะถูกโจมตี คอยดูเถอะ ไม่แน่ใจว่า เป็นความคึกของผู้ให้ข่าวเอง คือคุณจิรายุ ห่วงทรัพย์ หรือเปล่า แต่ ข่าวออกมาอย่างนี้ “เป็นลบ ” ต่อทีมงาน หาเสียงพรรคเพื่อไทย แน่นอน ผมเองแม้จะเชียร์ ก็ยังรู้สึกแปลกๆ เลย ครับ”
“ไม่น่าเหนือเมฆ 2 ถึงโดนแบน ผมดูตลอดคุ้นๆ น่ะที่เห็นมารตัวนึงอยู่เบื่องหลังนายกฯ ชัดเลย ทำไมสร้างออกมาได้เหมือนจริงมากๆ ยังจำวลีได้ เขตไหน จังหวัดไหนเลือกผม จะได้เงิน ได้รับความช่วยเหลือ”
“กทม คนเค้ามีสมองนะครับเงิน 500 ซื้อสิทธิ์ ไม่ได้หรอกนะครับ คนเค้ามีความคิดใครทำงานลงพื้นที่เค้าเค้าเห็น ”
“เอาเสียงเจ้าตัวจริงๆ ( พ.ต.ท.ทักษิณ ) ที่พูดมาลงดีกว่า ครับ เเบบนั้นค่อยน่าสนใจหน่อย ทุกวันนี่ก็มีเเต่ ” เค้าว่า , คนนั้นพูด, ได้ยินคนนี่บอก , ส่งสัยน่าจะเป็นรัฐบาลสั่งเเบน ” พอดีว่าเเค่อยากเห็นอะไรมันตื่นตามากว่านี่เท่านั้นเอง”
เรื่องที่สาม เป็นอีกเรื่องที่โลกไซเบอร์กำลังวิจารณ์อย่างหนัก เมื่อมีการแชร์ภาพถ่าย ของรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พร้อมข้อความที่ระบุไว้ว่า “ไปเจรจา แก้ปัญหาไฟใต้ที่มาเลเซีย ดูสภาพสิ” โดยภายในภาพ ร.ต.อ.เฉลิมกำลังยืนอยู่ท่ามกลางคณะทำงาน และใช้มือขวาเท้าไหล่ของผู้ติดตามคนหนึ่งไว้ ดูแล้วคล้ายว่ายืนทรงตัวไม่อยู่ อีกทั้งดวงตาก็ปรือ ซึ่งเป็นภาพที่อ้างว่าถูกถ่ายขึ้นที่โรงแรมแมริออท กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จากการเดินทางเยือนประเทศมาเลเซีย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความมั่นคงและความไม่สงบในภาคใต้ รวมถึงการแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ แรงงานไทยในประเทศมาเลเซียด้วย
โดย ร.ต.อ.เฉลิมเดินทางไปประเทศมาเลเซีย พร้อมคณะทำงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ (ศปก.กปต.) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความมั่นคงและความไม่สงบในภาคใต้ ระหว่างวันที่ 8-10 มกราคม 2556
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิมเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ได้มีการยอมรับว่าตนเองเมาจริง เพราะดื่มไวน์กัน 5 คน 8 ขวด แต่เป็นการดื่มนอกเวลาราชการร่วมกับเพื่อนต่างประเทศที่ไม่ได้เจอกันมานานกว่า 2 ปี และขณะที่ดื่มก็ไม่มีข้าราชการหรือคณะทำงานร่วมด้วย ดื่มกันเฉพาะเพื่อนที่รู้จักกันจากมาเลเซียและสิงคโปร์ โดยเล่าว่า ครั้งหนึ่งที่เคยเป็น 5 ทหารเสือ และลี้ภัยก็ได้เพื่อนกลุ่มนี้ช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นคงไม่รอดตาย ถือเป็นเรื่องปกติในกลุ่มเพื่อนฝูง ไม่ได้ไปเมากับใคร อีกทั้งยังกล่าวอีกว่า ภาพที่ปรากฏออกมาเป็นช่วงที่กำลังเลิกงานและจะขึ้นนอน พร้อมกับต่อว่าผู้นำภาพมาเผยแพร่ว่า ไม่มีน้ำใจ นิสัยคับแคบ เป็นคนไม่มีพวก แยกแยะเวลาไม่เป็น อีกด้วย
และภาพนี้ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด เพราะบ้างก็ว่าการมีอาการมึนเมานี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะถือว่าไปในฐานะตัวแทนประเทศไทย และยังต้องเจรจาเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญระดับชาติ แต่กลับให้ตนเองมีพฤติกรรมเช่นนี้ออกมา แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ต่อไปว่าเป็นเช่นไร
“งานแถวหน้า ระดับผู้บริหารประเทศ ออกอาการเมาขนาดนี้ ก็ไม่จะพูดอย่างไรดี”
“ที่ยอมรับ เพราะจำนนหลักฐานตั้งหาก ลองบอกว่าไม่จริงดู กล้องตามโรงแรมเพียบ ถ้ามีคนเอามาเปิดเผยที่หลังจะแย่กว่าเก่า แต่สงสัยว่ากินกัน 5 คน แต่ดูเหมือนจะเมาคนเดียวนะท่าน”
“ท่านอาจจะเมาเครื่องบินก็ได้ครับ อย่าว่าท่านเลยรู้ทั้งรู้ พวกคุณรู้อะไร กันอยู่แล้ว แต่ก็เลือกมานี้ครับ”
“ใจเย็นๆ นะครับ เพราะภาพแค่ภาพเดียวนี่ มันอาจเป็นมหากาพย์ได้เลย ต่อให้คนในภาพเป็นท่านเป็นอภิสิทธิ์ ผมก็ไม่กล้าด่วนสรุปว่าท่านไปทำอะไรผิด ต้องใจเย็นๆ รอดูให้กระจ่างก่อนนะครับ”
“ท่านอาจไม่ได้เมาเหล้า แต่ท่านอาจเมารัก เหมือนที่ท่านเคยบอกในสภาก็ได้”
“ภาพลักษณ์ระดับรัฐมนตรีไทย นี่หรือรองนายกฝ่ายความมั่นคง ไปมาเลย์ เพื่อพบปะรัฐบาลมาเลย์เรื่องชายแดนใต้ ในขณะที่ทูตไทย รัฐมนตรีมาเลย์ ใส่สูทผูกไท แต่สภาพตัวแทนประเทศไทยไทไม่ผูก หน้าตาก็เหมือนเมาขนาดนี้”
“ภาพฟ้องได้ชัดเจน เกินคำบรรยาย ”
เรื่องที่สี่ สร้างความฮือฮาให้มนุษย์เงินเดือนเป็นอย่างมาก เมื่อสำนักพระราชวังอังกฤษประกาศรับสมัครคนล้างจานและจัดเตรียมอาหาร หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ผู้ช่วยงานครัวทั่วไป” ประจำ ณ ห้องครัวที่พระราชวังบักกิงแฮมเป็นหลัก แต่อาจจะต้องมีการตามเสด็จฯ ไปยังพระตำหนักต่างๆ บ้างเป็นครั้งคราว
ที่ฮือฮาไม่ใช่เพราะการเป็นคนล้างจานหรือเพราะการได้ทำงานในสำนักพระราชวังอังกฤษเท่านั้น แต่ด้วยค่าตอบแทนที่สูงลิบ จนมนุษย์เงินเดือนไม่ถึงหมื่นห้าหรือผู้ใช้แรงงานขั้นต่ำ 300 บาท ในเมืองไทยรู้สึกตาร้อนผ่าว เพราะค่าตอบแทนที่ “คนล้างจาน” ในสำนักพระราชวังอังกฤษจะได้รับสูงถึงปีละ 14,200 ปอนด์ หรือประมาณ 700,000 บาท บวกลบคูณหารแล้วตกเดือนละประมาณ 58,000 บาท และทำงานเพียงสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงเท่านั้น อีกทั้งยังมีที่พักให้อีกด้วย
ตามรายงานข่าวระบุไว้ด้วยว่า ผู้สมัครต้องยินดีเดินทางออกจากกรุงลอนดอนปีประมาณละ 3 เดือน และต้องเป็นคนตรงต่อเวลา เป็นที่ไว้วางใจได้ และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นทีมได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งถ้ามีประสบการณ์ก็จะรับพิจารณาเป็นพิเศษ
“อยากลาออกราชการไปเป็นคนล้างจานหรือผู้ช่วยคนทำครัวจังเลยเ ขาจะรับไหมนะมีประสบการณ์มา 53 ปี”
“ถ้าเงินเดือนเท่านี้ มีที่พักฟรี อาหารฟรี และเสียภาษีให้ ไม่หัก ก็พอรับได้นะ”
“ที่ประเทศอังกฤษค่าครองชีพสูงมาก ขนาดเพื่อนที่เป็นชาวอังกฤษ เงินเดือน 250,000 บาท เค้ายังบอกว่าน้อยเลย แล้วการเก็บภาษีแพงมากๆ ไม่คุ้ม ส่วนใหญ่คนอังกฤษไม่อยากอยู่ อยากออกไปอยู่ประเทศอื่นๆ มากกว่า”
“เรื่องเงินเดือนน้อยจริง แต่บางคนเค้าก็อยากได้ประสบการณ์ทำงานในรั้วในวัง ได้เปิดหูเปิดตาในสิ่งที่คนทั่วไปไม่ได้เห็นในชีวิตประจำวัน ทำงานในวังแบบนี้น่าจะมีสวัสดิการเยอะอยู่ แถมรับเงิน Civil List จากรัฐบาลด้วย เหมือนข้าราชการกลายๆเลยนะ”
“เงินเดือนแค่นี้อยู่ยากมากๆ ค่ะ เพราะลอนดอนค่าครองชีพสูง ยิ่งอยู่โซนหนึ่งด้วยแล้วรายได้ที่ว่านี้ ยังไม่หักภาษีนะคะ อีกอย่าง สัญญาจ้างงาน เป็นสี่สิบชั่วโมงต่อวีคเนี่ย ถ้ารับเป็นเงินเดือน ส่วนมากต้องทำงานเกินโดยได้รายรับเท่าเดิม แต่ถ้าเป็นสัญญาจ้างเป็นรายชั่วโมงก็ค่อยยังชั่วหน่อย ล้างจานที่นี่ส่วนมากมีเครื่องล้างจานทั้งนั้นค่ะ ไม่ค่อยห่วงเรื่องงานหนักเท่าไหร่ แต่เห็นค่าแรงแล้ว ร้านอาหารใหญ่ๆ ยังจ่ายให้คนล้างจานมากกว่านี้อีกค่ะ เพราะบางที่คนล้างจานหายากมากจริงๆ”
“ตื่นเต้นทำไม ประเทศนั้นก็รายได้เท่านี้อยู่แล้ว เอาจริงๆ อยู่ลอนดอน เงินเดือนเท่านั้นไม่พอหรอก ได้เฉลี่ยเดือนละ 1200 ปอนด์ แล้ว Buckingham Palace อยู่ใน London Zone 1 ห้องเท่ารูหนูถูกสุดที่หาได้ไม่ต่ำกว่า 500-600 ปอนด์ นี้ยังไม่รวมค่าเดินทาง ถ้าไม่ได้อยู่ Zone 1 อาจถูกลงเหลือ 200-300 ปอนด์ แต่ค่า tube ไปกลับวันละ 3-4 ปอนด์ x 20 วัน เดือนๆ เกือบ 100 ปอนด์ ข้าวถ้ากินร้านปกติ ถูกสุดมื้อละ 7-8 ปอนด์ junk food 4-5 ปอนด์ (แต่ความจริงถ้าจะกินดีๆก็ 20 ปอนด์ขึ้นไปอยู่แล้ว) อยู่ไหวเหรอ”
เรื่องที่ห้า อีกหนึ่งของขวัญในวันเด็ก ที่กำลังเป็นเรื่องทอล์คออฟเดอะทาวน์อย่างมาก เมื่อกระทรวงศึกษาธิการมีการประกาศยกเลิกการบังคับนักเรียนชายตัดผมเกรียน และนักเรียนหญิงตัดผมบ๊อบสั้นเท่าติ่งหู นักเรียนชายสามารถไว้ทรงยาวแบบรองทรงได้ สำหรับนักเรียนหญิงก็สามารถไว้ผมยาวหรือผมสั้นก็ได้ ทำให้มีกระแสตอบรับที่คึกคัก ทั้งตื่นเต้นและไม่เห็นด้วยกับการประกาศนี้
ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มีกฎกระทรวงอยู่ 2 ฉบับ ที่ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 คือฉบับที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2515 ระบุห้ามไม่ให้นักเรียนชายไว้ผมข้างหน้าและกลางศีรษะยาวเกิน 5 ซม. และชายผมรอบศีรษะต้องตัดเกรียนชิดผิวหนัง และห้ามนักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาใด อนุญาตให้ไว้ยาวเกินกว่านั้น ก็ควรรวบให้เรียบร้อย
จากนั้นมีการแก้ไขกฎนี้เพิ่มเติมจนเป็นกฎกระทรวงฉบับที่ 2 ลงวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2518 ระบุว่า นักเรียนชายให้ตัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้าง และด้านหลังยาวเลยตีนผม และนักเรียนหญิงให้ตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ยาวเกินก็ให้รวบให้เรียบร้อย
กระแสข่าวนี้มีความคิดเห็นที่หลากหลายทั้งเชิงสนับสนุน ที่มองว่าดี เพราะเรื่องสำคัญของการเรียนรู้ ไม่ได้อยู่ที่ทรงผม ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่า อาจทำให้เด็กโตเกินตัว จะไปห่วงและสนใจแต่เรื่องทรงผมมากกว่าการเรียน และขาดระเบียบวินัย ที่ต้องปฏิบัติตามกฎ อีกทั้งยังมองว่า ภาพเด็กหญิงที่ตัดผมบ๊อบสั้น และเด็กชายที่ตัดผมเกรียน ดูน่ารักสดใสสมวัยและสะอาดสะอ้านมากกว่า
รายงานข่าวระบุว่า นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า ทางกระทรวงศึกษาธิการยังไม่ได้ยกเลิกระเบียบทรงผมนักเรียน แต่อยู่ในขั้นตอนของการปรับปรุงกฎกระทรวงเกี่ยวกับเรื่องนี้ และต้องรับฟังความเห็นจากหลายฝ่าย เพราะระเบียบที่ใช้ในปัจจุบันนั้นใช้กฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2518 ซึ่งไม่ได้บังคับให้นักเรียนชายต้องตัดสั้นเกรียน นักเรียนหญิงมีทั้งผมสั้นหรือยาว ทำให้นักเรียนถูกปฏิบัติจากโรงเรียนแตกต่างกัน ไม่เท่าเทียมกัน
เพราะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้ร้องเรียนมายังกระทรวงศึกษาธิการ คณะทำงานเรื่องนี้จึงกำลังซักซ้อมความเข้าใจว่า ตามระเบียบเดิมที่ใช้อยู่ไม่ได้บังคับ แต่โรงเรียนไปใช้ดุลยพินิจในการกำหนดความสั้นยาวของทรงผมกันเอง
แม้ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่เรื่องนี้ก็เป็นกระแสที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคม และเมื่อต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย ไทยพับลิก้าจึงขอรวมรวบความคิดเห็นของชาวโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วย
“คณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชน อย่าให้สิทธิกับเด็กมากเกินไป พวกท่านไม่ได้ใกล้ชิดกับเด็ก ท่านต้องมาทำงานอยู่กับโรงเรียนสักระยะหนึ่งแล้วจะรู้ว่าปัญหามากมาย ให้โรงเรียนเป็นผู้ดำเนินการเอง เรื่องทรงผมให้อยู่ในดุลพินิจของโรงเรียนจะดีกว่า ท่านเอาเวลาไปช่วยเหลือเด็กกำพร้าเด็กด้อยโอกาส สตรีที่ถูกกดขี่จะดีกว่า ขอบคุณคะ”
“เด็กเล็กส่วนมาก ยังไม่รู้จักรักษาความสะอาด ถ้าหากไว้ผมยาวก็จะเกิดเหา บางคนไว้ผมยาวแล้วหน้าแก่พอๆ กับครู ดูไม่สดใส เด็กผู้ชายก็คงจะมีเหาด้วยถ้าไว้ผมรองทรง แค่ให้อาบน้ำมาโรงเรียนตอนเช้าบางคนยังไม่ยอมอาบเลย”
“อยากรู้จัง พวกที่ค้าน พวกนี้ตอนนี้ไว้ทรงอะไรอยู่ กลับไปไว้ทรงนักเรียนกันมั้ย จะได้ไปบอกให้เด็กอยู่ในกฏในระเบียบได้ ถ้ามีเหาจริงๆ ตอนนี้ผู้ชายที่ไว้รองทรงทั้งประเทศ ก็คงเป็นกันหมดหมดละ ส่วนผู้หญิง ถ้าไว้ผมยาวก็ให้รวบผม ก็เรียบร้อยดีนะ”
“การซื้อใจ ต้องเข้าที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ไม่ต้องลงทุนแต่ได้ใจนักเรียน เรื่องผมสั้นยาว ไม่มีเหตุผล ที่ต้องสั้นมากก็ดีแล้ว แต่เรื่องจิตใจเยาวชนไทย ขอให้รัฐบาลเข้ามาใส่ใจมากกว่านี้ เถอะ อย่าให้หมกอยู่กับเว็บ อนาจาร เกมรุนแรง และความขัดแย้ง เอาเปรียบในสังคม”
“การที่โรงเรียนมีกฎระเบียบใด ๆ ออกมาเปรียบเหมือนกุศโลบายที่สอนให้นักเรียนมีระเบียบวินัยตั้งแต่ในโรงเรียน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์กร เพราะเมื่อโตขึ้นเราต้องอยู่ในสังคม และต้องเคารพกฎสังคมเช่นกัน นอกจากนี้ การไว้ผมยาวหรือทำผมทรงอะไรก็ได้ ทำให้นักเรียนต้องมาพะวงเรื่องทรงผมมากกว่าโฟกัสเรื่องการเรียน ”
“แนวคิดนี้เป็นการแก้ปัญหา หรือเป็นการเพิ่มกลุ่มผู้สนับสนุนเพื่อไทย ทำด้วยเหตุผล หรือทำเพื่อเอาใจนักเรียน การที่ไว้ผมสั้นก็มีเหตุผล ข้อดีของมันก็มี เช่น ความสะอาด ความมีระเบียบ การเข้าสู่วัยรุ่น ตลอดจนต้นเหตุของปัญหาสังคมอื่นๆ ที่เด็กที่คิดว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจตัว ซึ่งเขายังมีความรับผิดชอบไม่มากพอ และขอร้องอย่ามองแต่เด็กบางกลุ่มที่พัฒนาการทางความคิดดีมาก แต่เคยเช็คจำนวนนักเรียนประเภทนี้มีร้อยละเท่าไหร่ของเด็กทั้งประเทศ ขอแบบไม่ใช่รายงานกระดาษที่ยกเมฆกันมานะ อยากมีส่วนในการทำลายระบบการศึกษาหรือ อย่าบอกนะว่าเรียนเก่งแล้วไม่ต้องเป็นคนดีก็ได้ กฎระเบียบโรงเรียนทำไม่ได้ คงออกไปคัดค้านกฎหมายบ้านเมืองอีกมากมาย แม้จะเป็นถึงผู้นำประเทศเลยทีเดียว”