ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > เปิดรายชื่อห้าง-ตลาดสด ประเภทผัก-ผลไม้ ที่มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างมากสุด

เปิดรายชื่อห้าง-ตลาดสด ประเภทผัก-ผลไม้ ที่มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างมากสุด

18 สิงหาคม 2014


เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2557 ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค  ร่วมกันแถลงข่าวเฝ้าระวังสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผักผลไม้
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2557 ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกันแถลงข่าวเฝ้าระวังสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผักผลไม้

หลังจากสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าได้นำเสนอข่าว เปิดผลสำรวจ “เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช” พบสารพิษตกค้างกว่า 50% ในผักผลไม้กว่าทั้งในห้างค้าปลีก-ตลาดทั่วไป ระบุเครื่องหมาย “Q”เยอะสุด เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2557 ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกันแถลงข่าวเฝ้าระวังสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผักผลไม้

นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน กล่าวว่า ในปีนี้ทางหน่วยงานได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างมาแล้ว 2 ครั้ง คือในเดือนมีนาคมและเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นได้เชิญกลุ่มผู้ประกอบการ ห้างสรรพสินค้า ตัวแทนจำหน่าย มาพูดคุยถึงมาตรการในการตรวจสอบให้รัดกุมและเข้มงวดขึ้น ขณะเดียวกันได้มีพูดคุยกับหน่วยงานภาครัฐเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 ในการพยายผลักดันให้มีการเปิดเผยข้อมูลตรวจคุณภาพผักผลไม้ของทางหน่วยงานภาครัฐ หารือเกี่ยวกับข้อกำหนด MRL (Maximum Residue Limit) หรือปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดที่กำหนดให้มีได้ในสินค้าเกษตร ที่ค่า MRL ของหน่วยงานภาครัฐระหว่างสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีค่าไม่ตรงกัน รวมไปถึงปัญหาเรื่องมาตรฐาน Q

ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2557 ภายหลังผลตรวจผักและผลไม้ได้รับการเผยแพร่ ตัวแทนจากกรมวิชาการเกษตร มกอช. และองค์การ อย. ได้เขามาพูดคุยและชี้แจงกับทางมูลนิธิอีกครั้ง แต่ยังไม่มีข้อสรุปถึงมาตรการแก้ปัญหาแต่อย่างใด

ด้านนางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ได้เปิดเผยเพิ่มเติมถึงการทดสอบสารตกค้าง ซึ่งเป็น “สารดูดซึม” ในส้ม โดยแยกให้เห็นระหว่างส้มแกะเปลือกและไม่แกะเปลือก พบว่าส้ม 1 ผลมีสารตกค้างมากกว่า 1 ชนิด และสำหรับสารดูดซึมคาร์เบนดาซิม พบว่ามีปริมาณตกค้างที่เปลือกและเนื้อส้มเท่าๆ กัน โดยเฉพาะส้มยี่ห้อดัง

อย่างไรก็ตาม นางสาวกิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถีได้กล่าวถึงปัญหาที่พบนอกเหนือไปจากเรื่องสารเคมีตกค้าง คือปัญหาของฉลากผลิตภัณฑ์ ซึ่งพบว่าเลขรหัสใต้เครื่องหมาย Q เป็นเลขที่ไม่ถูกต้อง ข้อมูลขาดการอัพเดต ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับ ถือเป็นปัญหาในเรื่องของกระบวนการรับรองมาตรฐานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3 องค์กรหลัก คือ มกอช. ซึ่งเป็นผู้ออกมาตรฐาน กรมวิชาการเกษตร ผู้ตรวจสอบรับรอง ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการสารเคมีที่ใช้ในระบบเกษตร เนื่องจากนั่งอยู่ในคณะกรรมการวัตถุอันตราย และ อย. ที่เป็นหน่วยงานในกลุ่มกระทรวงสาธารณสุข ต้องเร่งจัดการ

มาตรฐาน Q

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงข้อมูลอธิบายเครื่องหมายและตัวย่อต่างๆ ควรจะระบุในฉลากให้ชัดเจน เนื่องจากผู้บริโภคควรจะได้รับข้อมูลที่เพียงพอในการเลือกซื้อสินค้า ตราบที่ยังไม่สามารถควบคุม และจัดการกับปัญหาสารพิษตกค้างเกิดมาตรฐานได้

ในขั้นตอนต่อไป หากยังตรวจพบว่ามีการใช้ตรามาตรฐานแบบผิดๆ อีก ก็สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ในเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ที่ไม่ถูกต้อง และเรื่องของฉลากลวง หรืออาหารปลอม ตามพระราชบัญญัติอาหาร 2522

ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคอาหาร นางสาวกิ่งกรแนะนำให้ผู้บริโภคเลือกบริโภคอาหารที่หลากหลาย เพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษตกค้าง โดยสังเกตง่ายๆ ว่าอาหารที่ไม่มีตามฤดูกาลอาจอนุมานว่ามีความเสี่ยงต่อการตกค้างของสารพิษไว้ก่อน นอกจากนี้ ทางหน่วยงานจะพยายามสร้างระบบเตือนภัยด้วยการเผยแพร่ข้อมูลการตรวจผักผลไม้ให้ทราบเป็นระยะ

นายพชรกล่าวต่อว่า การสุ่มตรวจสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรเริ่มตั้งแต่ปี 2555 ในปีนี้เป็นการสุ่มตรวจในผักผลไม้เพื่อเฝ้าระวัง 2 รอบ และมีการสุ่มตรวจหาสารตกค้างในเนื้อส้มโดยเฉพาะอีกหนึ่งรอบ

สำหรับการเฝ้าระวังในรอบแรก เป็นการสุ่มตรวจผักผลไม้ที่จำหน่ายในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2557 จากแหล่งซื้อ 2 แหล่งหลัก คือ 1) ห้างค้าปลีก (บิ๊กซี เทสโก้โลตัส ท็อปส์ และโฮมเฟรชมาร์ท) แบ่งเป็นผักทั่วไปและผักที่ได้รับรองมาตรฐาน Q 2) ตลาดแบ่งเป็นตลาดสด (ตลาดห้วยขวาง) และตลาดค้าส่ง (ตลาดสี่มุมเมือง) รวมทั้งเพิ่มตลาดศรีเมืองทองในจังหวัดขอนแก่นเพื่อเป็นการขยายงานเฝ้าระวังไปยังภูมิภาคด้วย และได้มีการสุ่มตรวจรอบสองที่จังหวัดเชียงใหม่ ยโสธร และสงขลา

สารตกค้าง-2

สำหรับชนิดผักและผลไม้ที่สุ่มตรวจ ได้แก่ คะน้า ถั่วฝักยาว พริก ผักชี กะเพรา ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ แอปเปิ้ล ฝรั่ง และแตงโม นำตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการ SGS ซึ่งได้รับ ISO 17025 เพื่อวิเคราะห์หาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มคาร์บาเมต ออร์แกโนฟอสเฟต ออร์แกโนคลอรีน และไพรีทรอยด์ และเพิ่มการวิเคราะห์สารกำจัดโรคพืชคาร์เบนดาซิมในส้ม แอปเปิ้ล และสตรอว์เบอร์รี่

นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ กล่าวว่า ผลการวิเคราะห์พบว่า โดยภาพรวม ผักผลไม้เกินครึ่งที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปมีการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือคิดเป็น 55.9% แต่เฉพาะที่มีการตกค้างเกินค่ามาตรฐาน MRL ของไทยมีมากถึง 46.6% เมื่อจำแนกตามประเภทของแหล่งจำหน่าย จะเห็นได้ชัดเจนว่า ผักที่พบการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากที่สุดคือผักผลไม้ที่ได้รับตรารับรองมาตรฐาน Q โดยภาพรวมของผัก Q 87.5% พบการตกค้างของสารเคมี และมีที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน MRL มากถึง 62.5% และผักผลไม้ที่จำหน่ายในห้างค้าปลีกตกเกณฑ์รองลงมาอยู่ที่ 53.3% และแหล่งจำหน่ายที่ตกมาตรฐาน MRL น้อยที่สุดคือ ตลาด อยู่ที่ 40%

เมื่อจำแนกตามชนิดผักผลไม้ พบว่าชนิดผลผลิตที่พบการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเกินค่า MRL มากที่สุดคือส้มสายน้ำผึ้ง ตกเกณฑ์ 100% รองลงมาได้แก่ ฝรั่ง 69.2% แอปเปิ้ล 58.3% คะน้า 53.8% กะเพรา สตรอว์เบอร์รี่ และส้มจีน ชนิดละ 50% ถั่วฝักยาว 42.9% ผักชี 36.4% แตงโม 15.4% และพริกแดง 8.3%

สำหรับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างที่พบในตัวอย่างผักผลไม้ครั้งนี้ มีสารทั้ง 4 กลุ่ม และคาร์เบนดาซิม รวมทั้งสิ้น 20 ชนิด จำแนกชนิดตามกลุ่มสารได้ดังนี้ 1) กลุ่มคาร์บาเมต พบ 5 ชนิด คือ คาร์บาริล โพรพ็อกซัวร์ ฟีโนบูคาร์บ คาร์โบฟูราน และเมโทมิล 2) กลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต พบ 10 ชนิด คือ อะซีเฟต คลอร์ไพริฟอส อีไทออน ไดเมโทเอต ไตรอะโซฟอส ไดอะไซนอน มาลาไทออน พิริมิฟอส-เมทิล โพรฟีโนฟอส และโพรไทโอฟอส 3) กลุ่มออร์แกโนคลอรีน พบ 1 ชนิด คือ เอนโดซัลแฟน ซัลเฟต 4) กลุ่มไพรีทรอยด์ พบ 3 ชนิด คือ ไซเปอร์เมทริน แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน ไบเฟนทริน และ 5) สารป้องกันโรคพืช คาร์เบนดาซิม

โดยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่พบตกค้างในผักผลไม้ทุกชนิด คือ คลอร์ไพริฟอส และไซเปอร์เมทริน ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในรายชื่อสารตกค้างต้องห้ามของ Thai-PAN (Thai-PAN Banned List) ทั้ง 2 ชนิด รวมทั้งคาร์เบนดาซิมที่สุ่มตรวจเฉพาะในผลไม้ (ส้ม แอปเปิ้ล และสตรอว์เบอร์รี่) ก็พบการตกค้างในผลไม้ทั้ง 3 ชนิด ในปริมาณที่สูงกว่าค่า MRL หลายเท่าตัว ซึ่งคาร์เบนดาซิมเป็นสารเคมีกำจัดโรคพืชที่ไม่สามารถตรวจได้จากการสุ่มตรวจโดยทั่วไป จำเป็นต้องมีการระบุเฉพาะสารชนิดนี้โดยตรง ทำให้ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐเองก็อาจไม่ได้เฝ้าระวังสถานการณ์การตกค้างของสารชนิดนี้เท่าที่ควร และจากการสุ่มตรวจในครั้งนี้พบว่า สถานการณ์การตกค้างของคาร์เบนดาซิมค่อนข้างน่ากังวล จำเป็นต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพบตกค้างในปริมาณสูง ประกอบกับคาร์เบนดาซิมเป็นสารชนิดดูดซึม จึงตกค้างเข้าไปในเนื้อเยื่อของผักผลไม้และไม่สามารถขจัดออกด้วยการล้างได้

สำหรับลักษณะการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช พบว่ามักมีการตกค้างมากกว่า 1 ชนิดในตัวอย่างเดียว ซึ่งคิดเป็น 62% ของตัวอย่างที่มีการตกค้างจากการสุ่มตรวจครั้งนี้ พบการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตั้งแต่ 2-11 ชนิด ซึ่งการกำหนดค่า MRL ไม่ได้พิจารณากรณีที่มีสารตกค้างหลายชนิดรวมกัน และตัวอย่างที่พบชนิดสารเคมีตกค้างมากที่สุดคือส้มสายน้ำผึ้ง พบชนิดสารที่ตกค้างรวมทั้งสิ้น 15 ชนิด ได้แก่ ฟีโนบูคาร์บ โพรพ็อกซัวร์ คาร์โบฟูราน เมโทมิล คลอร์ไพริฟอส ไดอะซีนอน อีไทออน มาลาไทออน พิริมิฟอส-เมทิล โพรฟีโนฟอส ไตรอะโซฟอส ไบเฟนทริน ไซเปอร์เมทริน แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน และคาร์เบนดาซิม ในจำนวนนี้มีสารประเภทดูดซึม 4 ชนิด จึงได้มีการสุ่มตรวจเพื่อให้ทราบว่าจะมีสารตกค้างในเนื้อส้มหรือไม่ ผลการทดสอบพบว่าสารดูดซึม เช่น คาร์เบนดาซิม สามารถตกค้างอยู่ในเนื้อส้มได้ในปริมาณความเข้มข้นเท่ากับที่พบตกค้างบนเปลือกส้ม ในกรณีนี้ชัดเจนว่าการล้างหรือปอกเปลือกอาจไม่ใช่ทางออกที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคอีกต่อไป และในตัวอย่างทั้งหมดที่มีการตกค้างเกินค่า MRL พบสารดูดซึมมากถึง 50.9%

เมื่อพิจารณาเฉพาะสาร 4 ชนิดที่ Thai-PAN และเครือข่ายพันธมิตรร่วมกับขับเคลื่อนเพื่อให้มีการปรับระดับการควบคุมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ห้ามมีการนำเข้า ห้ามจำหน่าย และยกเลิกการใช้) ได้แก่ คาร์โบฟูราน เมโทมิล ไดโครโตฟอส และอีพีเอ็น เมื่อเปรียบเทียบการพบสาร 4 ชนิดดังกล่าวตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรจากการสุ่มตรวจของไทยแพนระหว่าง พ.ศ. 2555 และ 2557 พบว่า คาร์โบฟูรานและเมโทมิล ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติให้คงการควบคุมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 แต่กรมวิชาการเกษตรยังไม่อนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียน มีการตกค้างในผักผลไม้ลดลงชัดเจน กล่าวคือ ในปี 2555 พบคาร์โบฟูรานและเมโทมิลในผัก 22.8% และ 17.2% ตามลำดับ ในขณะที่ปี 2557 พบตกค้างของคาร์โบฟูรานเพียง 8.5% และเมโทมิลเหลือ 7.6% ในขณะที่สารอีก 2 ชนิด คือไดโครโตฟอส และอีพีเอ็นที่พบการตกค้างในปี 2555 ไม่พบการตกค้างเลยในปีนี้

จากข้อมูลข้างต้น กล่าวได้ว่าการควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตั้งแต่ต้นทางการขึ้นทะเบียนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาความไม่ปลอดภัยจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผักผลไม้ โดยสามารถลดการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้จริง

ข้อเสนอขององค์กรผู้บริโภคและเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมีดังนี้

1. ให้ มกอช. ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตร ยกเครื่องเครื่องหมาย Q ขจัดความสับสนต่างๆ ใน Q ที่แตกต่างกัน และควบคุมมาตรฐานของผลผลิตให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด

2. ให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายจัดการปัญหา ณ ต้นทาง โดยการยกเลิกการใช้สารเคมีที่มีอันตรายร้ายแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คาร์โบฟูราน และเมโธมิล และให้กรมวิชาการเกษตรควบคุมการนำเข้าและการจำหน่ายสารเคมีทางการเกษตรกลุ่มที่มีอันตรายร้ายแรงและดูดซึมอย่างเข้มงวดโดยเปิดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตรและเพิ่มกลไกการตรวจสอบหลังการขึ้นทะเบียน (Tracking System)

3. ให้ มกอช. อย. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับภาคเอกชนและประชาสังคม เร่งรัดการพัฒนาระบบเตือนภัยความปลอดภัยด้านอาหาร (Rapid Alert System for Food) ภายในปี พ.ศ. 2558

ดูรายละเอียดผลการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผักผลไม้

Thai-PAN Monitor 2557 by thaipublica