พระองค์ภา ทรงพระสิริโฉม บนรันเวย์ เวียนนา แฟชั่นวีก
อัพเดทสถานการณ์น้ำท่วม เฝ้าระวัง น้ำทะเลหนุน 15-17 ต.ค. 56
ชาวเน็ตติง เจ้าหน้าที่กรมทางหลวงผูกขาหมาตาย แล้วลากกับรถ
สื่อนอกปล่อยข่าวผิด หนุ่มลาวยิงคนตายบนรถไฟใต้ดิน สหรัฐฯ
ฉาวรอบ 2 อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก ควงภรรยาออกสื่อ พร้อมเปิดตัวหนังสือ
อ่านรายละเอียด ………….
ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 29 ก.ย. – 5 ต.ค. 2556
เรื่องแรก เมื่อทั่วโลกได้ชมพระสิริโฉมอันงดงาม ของพระองค์หญิงของไทย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา บนรันเวย์ระดับโลก ในงาน “MQ Vienna Fashion Week 2013” ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ด้วยฉลองพระองค์ชุดไทยผ้าไหมสไบกับผ้าถุงนุ่งสดลายไทยพุ่มข้าวบิณฑ์สีกลีบบัว ของห้องเสื้อ Arada Couture ซึ่งเป็นภาพที่มีผู้แชร์กันหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวกันอย่างแพร่หลาย
ในครั้งนี้ พระองค์ภาทรงเลือกชุดดังกล่าวเพื่อเป็นการแสดงผลงานผ้าไทยให้ชาวต่างชาติได้เห็นถึงความงดงามของผ้าไทย โดยคุณณภาดา สุทธิบุญญาเกษม ดีไซเนอร์ห้องเสื้อ Arada Couture กล่าวกับสื่อว่า พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเลือกฉลองพระองค์ด้วยพระองค์เอง ชุดในลักษณะนี้เป็นชุดที่ใส่ในงานหมั้นหรือรดน้ำสังข์ในพิธีมงคลสมรสของผู้หญิงไทย ออกแบบโดยผสมผสานจากรูปแบบสมัยโบราณ ส่วนใหญ่จะใส่เป็นผ้าสไบกับผ้าถุงหน้านางนุ่งสด แต่เราประยุกต์ให้ใส่สำเร็จรูป แต่เสมือนนุ่งเองเพื่อให้การสวมใส่ดูเป็นธรรมชาติที่สุด ลวดลายของผ้าท่อนบนเป็นผ้าไหมลายดอกไม้เล็กๆ ที่มีดิ้นสีเงินปักรอบๆ ลายสีชมพูอมเทานำมาจับเดรปที่ดูแล้วธรรมชาติที่สุด เพิ่มความอ่อนหวาน ความพลิ้วไหว ด้วยผ้าสไบที่ใช้เป็นผ้าชีฟองไหม ผ้าถุงเป็นผ้าไหมปักดิ้นสีทองอ่อนผสมเงินลายไทยพุ่มข้าวบิณฑ์สีชมพูไล่ลงมาเป็นโทนสีเทาที่ชายผ้าถุงจับเป็นผ้าถุงหน้านางที่มีการจับให้หน้านางทิ้งชายลงมาให้ชายยาวกว่าผ้าถุงเพื่อเพิ่มความอ่อนหวานพลิ้วไหวของชุด (ชมคลิป)
“นี่แหละ ชุดประจำชาติไทย ของจริง สวยงามากคะ”
“ทรงพระสิริโฉมสง่างามในชุดไทยมากคะ”
“สง่างามสมเป็นพระองค์หญิงของแผ่นดินโดยแท้ครับ”
“ทรงเป็นเจ้าหญิงไทยที่มีพระ จริยวัตรงดงาม และชุดไทยสวยที่สุดในโลก”
“ทรงพระอัจฉริยะให้นานาประเทศได้เห็นว่าพระบรมวงศานุวงค์ทุกพระองค์มีความสามารถทุกพระองค์ภูมิใจที่ได้เกิดมาภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระองค์ท่านและจะขอเป็นข้ารองบาททุกๆ ชาติไป”
“ทรงแสดงศักยภาพให้นานาอารยประเทศได้เห็นว่า ประเทศของเรามีองค์หญิงที่ ทรงพระสิริโฉมที่งดงามทั้งยังทรงมีความสามารถที่หลากหลาย พระองค์คือความภาคภูมิใจของชาวไทยทุกคน ทรงพระเจริญ องค์หญิงของคนไทย”
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องราวของสถานการณ์น้ำท่วม ที่หลายคนกังวล และไม่อยากให้เกิดเหตุซ้ำรอยกับปี 2554 ซึ่งในปี 2556 นี้ก็เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน เนื่องจากมีพายุฝนกระหน่ำตกติดต่อกันหลายวัน จนทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นในหลายพื้นที่ เริ่มตั้งแต่ ที่ประตูระบายน้ำตะกุดอ้อมใน ตำบลวังดาล อำเภอกบินทร์บุรี แตก จนเป็นเหตุให้มวลน้ำไหลทะลักเข้าสู่ อำเภอประจันตคาม และอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี น้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร ทั้งยังส่งผลให้ ถนนสายสุวินทวงศ์ หรือสาย 304 (ศรีมหาโพธิ – กบินทร์บุรี) ที่เป็นถนนสายหลัก รถเล็กไม่สามารถวิ่งผ่านได้
อีกทั้งพื้นที่ในจังหวัดอยุธยา ใน 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางบาล อำเภอเสนา อำเภอผักไห่ อำเภอบางไทร อำเภอพระนครศรีอยุธยา อำเภอบางปะอิน อำเภอท่าเรือ และอำเภอนครหลวง, จังหวัดชลบุรี อำเภอพนัสนิคม อำเภอพานทอง รวมทั้งในส่วนของนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ช่วง เฟส 7-9 ที่น้ำเข้าท่วม แต่โรงงานต่างๆ ยังคงทำงานได้ตามปกติ, จังหวัดระยอง ในอำเภอแกลง อำเภอเมือง อำเภอบ้านค่าย โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมืองและอำเภอบ้านค่าย ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำในอ่างเก็บน้ำทั้ง 4 แห่งของจังหวัดล้นสปริงเวย์ ไหลเข้าท่วมถนนในหมู่บ้าน ระดับน้ำอยู่ประมาณ 30 เซนติเมตร, จังหวัดชัยภูมิ ในเขตเทศบาล สถานที่ราชการ และโรงเรียนหลายแห่ง อาทิ ถนนนนทนาคร ท่วมตลอดสาย ถนนหฤทัย หน้าสถานีตำรวจภูธร จังหวัดชัยภูมิ ศาลากลางจังหวัด โดยเฉพาะอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพญาแล รถเล็กไม่สามารถผ่านได้ ถนนบรรณาการ หน้าโรงพยาบาลจังหวัดชัยภูมิ ถนนโนนม่วง หน้าโรงเรียนสตรีชัยภูมิ และโรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล, จังหวัดนครราชสีมา ในอำเภอปักธงชัย, จังหวัดศรีสะเกษ ที่น้ำจากลำห้วยสำราญ ไหลมาจากเทือกเขาพนมดงรัก เอ่อล้นทะลักเข้าท่วมถึงหลังคาบ้านเรือนประชาชน ที่อาศัยอยู่ติดกับลำห้วยสำราญ หรือแม้แต่จังหวัดสุรินทร์ ที่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมมานานกว่า 40 ปี ก็มีระดับน้ำสูง จนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนในหลายอำเภอ รวมทั้งเขื่อนขนาดใหญ่กว่า 10 แห่ง ระดับน้ำก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
– อ่างเก็บน้ำศรีนครินทร์ ปริมาณน้ำ 84% ของความจุอ่าง
– อ่างเก็บน้ำวชิราลงกรณ ปริมาณน้ำ 82% ของความจุอ่าง
– อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ปริมาณน้ำ 85% ของความจุอ่าง
– อ่างเก็บน้ำกิ่วลม ปริมาณน้ำ 81% ของความจุอ่าง
– อ่างเก็บน้ำลำนางรอง ปริมาณน้ำ 87% ของความจุอ่าง
– อ่างเก็บน้ำสิรินธร ปริมาณน้ำ 89% ของความจุอ่าง
– อ่างเก็บน้ำกิ่วคอหมา ปริมาณน้ำ 81% ของความจุอ่าง
– อ่างเก็บน้ำป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาณน้ำ 107% ของความจุอ่าง
– อ่างเก็บน้ำขุนด่านปราการชล ปริมาณน้ำ 91% ของความจุอ่าง
– อ่างเก็บน้ำแควน้อยบำรุงแดน ปริมาณน้ำ 83% ของความจุอ่าง
ที่มาข้อมูล: ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำกรมชลประทาน
นอกจากจังหวัดที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังมีการประกาศเตือนล่าสุดสำหรับในพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมหนักในปี 2554 ซึ่งก็เข้าใกล้เขตกรุงเทพมหานครแล้ว อย่างเช่น อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี บางจุด ที่น้ำเริ่มเอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ท่วมโรงพยาบาลบางบัวทอง, โรงเรียนสัณฐิติศึกษา ตำบลละหาร หรือบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ริมเขตแม่น้ำเจ้าพระยาย่านอำเภอปากเกร็ด, วัดไทรม้า อำเภอเมือง และ ในเขตกรุงเทพมหานคร สะพานกรุงธน (ซังฮี้) ใต้สะพานอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย ซึ่งเป็นพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ
อย่างไรก็ตาม ทางการได้มีการประกาศให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือในช่วงน้ำทะเลหนุนระหว่างวันที่ 15 ถึง 17 ตุลาคม 2556 ไว้อีกด้วย
“ใครบอกว่าปีนี้ไม่ท่วม เพิ่งออกข่าวไป ผมมั่นใจ (มั่นใจทุกครั้ง ก็ท่วมทุกครั้ง ออกไปเถอะครับ ให้คนที่มีความสามารถมาทำงานแทน) สงสัยเอาไม่อยู่แล้วมั้ง”
“ภัยภาวะโลกร้อนเริ่มมาเยือนแล้วครับงานนี้โดนกันเกือบทั่วโลกครับ”
“บทเรียนเมื่อปีที่ผ่านมา ก็มีแล้ว ทำไมไม่เตรียม หรือหาทางรับมือไว้บาง คนที่เดือนร้อนคือประชาชนที่ต้องทำงานหาเช้ากินค่ำ ไม่ใช่คนที่ออกมาพูดนู้น พูดนี้ แต่ไม่ทำอะไร เพราะว่าตัวเองไม่ได้เดือนร้อน คิดถึงใจเค้าใจเราบ้าง”
“ตกลงเขื่อนมันมีไว้เพื่อไร ฝนตกกักน้ำไว้ไม่ได้ ฝนแล้งก็ปล่อยน้ำมากไม่ได้”
“ธรรมชาติของน้ำใหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำอย่ากั้นปล่อยให้ใหลไปตามปกติ ถ้าเรากั้นเมื่อมันเต็มที่น้ำมันก็แตกเดือดร้อนกันไปหมด ส่วนที่ใหลไปแล้วก็ไปออกทะเลและส่วนที่กำลังใหลมาก็จะมาเติมเต็ม กักเก็บไว้ใช้หน้าแล้ง”
“นี่ละตัวอย่างของการมีเขื่อน แต่ไม่มีป่า ในอดีตป่ามากมาย การมีเขื่อนจึงเหมือนการนำพลังธรรมชาติมาใช้มีสมดุลของมัน เมื่อป่าหมดสมดุลระบบนิเวศก็เสีย ไม่มีป่าซับน้ำสร้างฝน จึงมีท่วมกับแล้ง มีเขื่อนไปก็ไม่ช่วยอะไร ทำไมคนในพื้นที่ที่ตัดไม้ทำลายป่าไม่โทษตัวเอง แต่ชอบแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ”
เรื่องที่สาม กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันมาก ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กอีกแล้ว กับกรณีที่มีผู้โพสต์ภาพถ่ายสุนัขตัวหนึ่งถูกจับล่ามเชือกที่ขาหลัง ผูกเข้าท้ายรถกระบะ คันสีเหลือง และขับลากไปตามถนน โดยที่เรื่องนี้ ทางเจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวงได้ออกมาชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ยอมรับว่ารถคันสีเหลืองดังกล่าวเป็นรถของกรมทางหลวง พร้อมทั้งได้อธิบายว่าสาเหตุที่ต้องใช้เชือกลากก็เพราะสุนัขตัวดังกล่าวตายอยู่บนถนน และเจ้าหน้าที่จะเก็บไปฝัง แต่กลัวรถเปื้อนเลือด เลยลากไปฝัง ซึ่งเป็นระยะทางที่ไม่ไกล พร้อมทั้งแจกแจงขอความเห็นใจ บางทีก็ไม่กล้าจับ
“ใช่ครับ สุนัขตายบนทางหลวงเรามีหน้าที่เก็บไปฝัง กรณีนี้เจ้าหน้าที่กลัวรถเปื้อนเลือดเลยลากไปฝังซึ่งไม่ไกล บางทีเห็นใจเจ้าหน้าที่ครับ เพราะเหม็นมากไม่มีใครอยากทำ ขับรถไปเจอก็ลากไปทิ้ง บางทีต้องเห็นใจคนทำงาน ต่อไปจะกำชับใส่ถุงดำครับ แต่ไม่มีคนกล้าจับใส่”
แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการแจกแจ้งแล้ว แต่ชาวเน็ตและผู้ที่มีใจรักสุนัข ก็ยังมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม อย่างไรก็ควรทำกับร่างของสิ่งที่เคยมีชีวิตดีๆ เพราะภาพที่ปรากฏดูโหดร้ายและทารุณจิตใจคนรักสัตว์จนเกินไป
“บอกไม่มีใครกล้าจับสุนัขใส่ถุงดำ แล้วใครเป็นคนเอาเชือกรัดขาหมาอ่ะ ถ้าคุณมาทำงานในจุดนี้คุณก็ต้องรับกับงานที่ทำได้ไม่ใช้แถไปเรื่อย”
“เอาไว้เวลาคุณโดนรถชน แล้วปอเต็กตึ่งเอาเชือกมาผูกขาแล้วลากแบบหมาที่คุณทำนะคะ เพราะรถจะได้ไม่เปื้อนเลือดมั่งนะคะ ก็ในเมื่อเป็นหน้าที่คุณแล้วทำไมคุณทำแบบนี้”
“หมามันก็ยังไม่น่าจะเน่านะเหมือนพึ่งตายใหม่ๆ ถ้าคุณกลัวรถคุณเปรอะเลือดหมาคุณหาถุงหาผ้ารองไม่ได้หรอ? ทำงานแบบนี้น่าจะมีถุงมือนะ แต่ว่าจับเอาเชือกผูกขาได้แต่จับมาเอาขึ้นรถไม่ได้นี่มันสุดๆ เหมือนกัน ถ้ารังเกียจมันจริงๆ จับขาลากไว้ข้างถนนข้างป่าริมทางไม่ดีกว่าหรอ? ไม่เห็นต้องลากมันเลยถ้าคุณคิดว่าจะใช้วิธีผูกขาหมาลากไปทิ้งแบบนี้ คุณขับรถผ่านมันไปเลยไม่ต้องเก็บมันดีกว่า”
“สรุป ทำไม่ได้อย่าทำ แจ้งหน่วยงานอื่นที่มีศักยภาพดีกว่ามาทำ ขอร้อง อย่าแก้ตัว เบื่อ”
“มันยากเหรอกับการใส่ถุงมือแล้วก็กลั้นหายใจประเดี๋ยวเดียว เพื่อจับมันเข้าถุงดำครับ แล้วมัดให้เรียบร้อย ผมเห็นแล้วสงสารหมาครับ ทั้ง ๆ ที่มันตายไปแล้ว”
“ลากไปแบบนี้ ถนนก็เปื้อนเลือดนะสิ คิดได้ไง น่าจะจับขึ้นรถแล้วเอาไปล้างก็ได้นิครับ”
เรื่องที่สี่ จากการที่มีข่าวหนุ่มเอเชียก่อเหตุสะเทือนขวัญ ยิงนักศึกษาชาวอเมริกัน ชื่อ นายจัสติน วาลเดซ วัย 20 ปี เสียชีวิต ขณะเดินออกจากขบวนรถไฟฟ้าใต้ดินที่เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา จนเสียชีวิต ซึ่งมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดของสถานี เผยให้เห็นหน้าตาคนร้าย เป็นหนุ่มชาวเอเชีย ทราบชื่อนายนิคม เทพไกรสร สัญชาติลาว โดยที่ก่อนหน้านี้ มีการรายงานข่าวว่าเป็นชาวไทย
ทั้งนี้ วอชิงตันโพสต์ ได้มีการรายงานข่าวว่า คนร้าย ซึ่งก็คือ นายนิคม เทพไกรสร สัญชาติลาว พยายามยกปืนจ่อผู้โดยสารในขบวนอย่างชัดเจน แต่ไม่มีผู้โดยสารภายในรถใต้ดินสังเกตเห็น เนื่องจากกำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต จนคนร้ายก่อเหตุยิงนายจัสตินเสียชีวิตขณะกำลังเดินออกจากขบวนรถ
ขณะที่ญาติของนายนิคม ได้มีการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ต่อสื่อ ocregister ว่า นายนิคมเป็นผู้ชายที่ดี แต่ก่อนหน้านี้ประมาณสองสัปดาห์ ได้มีอาการอารมณ์เสียเนื่องจากรถยนต์และสิ่งของจำนวนมากภายในรถถูกขโมยไป
แต่อย่างไรก็ตาม นายนิคมยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อันได้แก่ ข้อหาฆาตกรรมนายจัสติน ข้อหาใช้ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ และครอบครองอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย เพราะตำรวจสามารถยึดปืนไรเฟิล มีด และมีดโกนได้ภายในบ้านพัก และยังมีเงินสดติดตัวอีก 20,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 620,000 บาท
เรื่องนี้เป็นข้อถกเถียงให้เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ เพราะความผิดพลาดของข่าวที่ถูกเผยแพร่สร้างความเข้าใจผิดให้กับประเทศไทย ทั้งยังมีการถกเถียงในเรื่องเชื้อชาติ หรือชื่อที่คล้ายคลึงกันของชาวไทยและชาวลาวอีกด้วย
“ชื่อเหมือนคนไทยไง คนเลยเข้าใจผิด”
“ข่าวผิด สร้างชื่อเสีย ให้คนไทย”
“ตั้งแต่มีไอโฟนไอแพด มีคนโง่เกิดขึ้นมากในสังคม ใครหมกมุ่นสิ่งไหนก็จดจ่อสิ่งนั้น ไม่สนใจสิ่งรอบตัว คิดอย่างเดียวว่า นี่ฉันอยู่ในโลกของฉัน อีกหน่อย จะต้องมีเหตุการณ์เลวร้ายกว่านี้แน่เลย”
“นี่เป็นโทษของเทคโนโลยี่ อยู่แบบตัวใครตัวมัน มีโลกส่วนตัวของตัวเอง ไม่ได้สนใจคนรอบข้าง อาชญากรรมจึงเกิดขึ้นง่าย เพราะมัวแต่สนใจเรื่องส่วนตัวกันเกินไป ทุกวันนี้ หากขาดเครื่องมือเหล่านี้ คนเหล่านี้จะทุกข์ใจ เพราะติดอยู่แต่ในเรื่องวัตถุนิยม ทุกวันนี้ลุงไม่จำเป็นไม่ใช่โทรศัพท์เลย แม้ข้อความก็แทบจะไม่ได้อ่าน เพราะเป็นเรื่องของโลก เหมือนกับหนังสือพิมพ์ที่รับประจำ เดี๋ยวนี้อ่านแต่ข่าวที่น่าสนใจ ไม่ไปอ่านทุกเรื่องให้เปลืองสมอง การศึกษาหากขาดคุณธรรม โดยเฉพาะสหรัฐฯปัญหาเด็กนักเรียนยิงกันในห้องเป็นข่าวบ่อยๆ พวกเราอย่าได้หลงตามก้นฝรั่งจนลืมความเป็นไทยนะ”
“สื่อควรตรวจสอบให้ดีกว่านี้ก่อนเผยแพร่ข่าวสารที่ผิด ๆ ออกไป ความเสียหายมันอาจเกิดขึ้นกับส่วนรวม กับคนไทยทั้งในและต่างประเทศได้”
“เข้าใจว่า ทางต่างประเทศพยายามที่จะไม่เผยแพร่ภาพขณะลงมือ กลัวพฤติกรรมเลียนแบบอะไรทำนองนี้ ก็เลยไม่มีภาพหรือเปล่า”
เรื่องที่ห้า อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก (นายมิตซูโอะ ชิบาฮาชิ) กลับมาเป็นกระแสสังคมอีกครั้ง เมื่อได้ควงคู่นางสุทธิรัตน์ มุตตามระ ภรรยา ไปออกรายการ พร้อมทั้งออกหนังสือเปิดใจถึงสาเหตุการลาสิกขา และเปิดเผยเรื่องราวความรัก ในชื่อ “ความในใจอาจารย์มิตซูโอะ” และอีกเล่มชื่อ “บทเทศน์ครั้งสุดท้ายในเพศบรรพชิต”
โดยที่นายมิตซูโอะ ชิบาฮาชิ เปิดเผยต่อสื่อว่า หลังจากที่เริ่มหลงรักแอน หรือนางสุทธิรัตน์ มุตตามระ แล้วก็ยังทำตัวปกติและพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างสงบและไม่เคยกังวลเรื่องการสึกเลย แต่เมื่อตัดสินใจสึกก็สึกทันทีและคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จึงหลบไปต่างประเทศเพราะกระแสรุนแรงมาก และก่อนที่จะเขียนจดหมายกลับมาอธิบายสาเหตุของการลาสึก กลับกลายเป็นว่ายิ่งก่อให้เกิดกระแสในแง่ลบมากยิ่งขึ้น จึงได้ตัดสินใจออกหนังสือเพื่อชี้แจง
ทั้งยังบอกอีกว่า ที่ลาสิกขาไม่ใช่เพราะแพ้ต่อกิเลส แต่เพราะเป็นเรื่องที่ดีจึงตัดสินใจสึก และคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครทราบ ส่วนเรื่องการจัดงานแต่งงานคงไม่มีอย่างแน่นอน และคาดว่าชาตินี้คงจะไม่มีลูก และรักครั้งนี้เป็นรักครั้งแรกและจะเป็นรักครั้งสุดท้าย อยากวอนขอให้ทุกคนเลิกคิดว่าภรรยาเป็นมารศาสนา เพราะทั้งคู่รักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง และยังยอมรับด้วยว่า ตนเสียความบริสุทธิ์ครั้งแรกตอนอายุ 62 ปี หลังสึกจากความเป็นพระและตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับนางสุทธิรัตน์
ทำให้หลายฝ่ายออกมาพูดถึงเรื่องราวดังกล่าวกันมาก ทางด้านพระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้กล่าวต่อสื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เรื่องของมิตซูโอะควรจะจบได้แล้ว เพราะการที่ออกมาพูดเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องเสียตัวเมื่อไร ไปทำอะไรที่ไหนมาบ้างนั้น ถือว่าไม่เหมาะสม และควรจะหยุดพูด เพราะยิ่งพูดมีแต่ยิ่งเสีย คนก็จะเสื่อมศรัทธายิ่งขึ้นไปอีก และที่สำคัญอยากจะวิงวอนสื่อไม่ควรสัมภาษณ์อะไรอีก เพราะถ้ายังให้ความสนใจก็จะเป็นการส่งเสริมหรือเป็นการโปรโมทหนังสือของเขา ส่วนตนเห็นว่าไม่ควรช่วยกันส่งเสริม และอยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ด้าน พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ เจ้าคณะภาค 12 เผยว่า เรื่องเสียความบริสุทธิ์นั้นไม่ควรจะออกมาพูด แม้แต่ชาวบ้านเขาก็ไม่พูดกัน เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ
สำหรับพระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร) จนฺทสาโร รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) มองว่า มิตซูโอะเป็นคนต่างประเทศที่มาบวชและเป็นลูกศิษย์คนแรกของหลวงพ่อชา เป็นนักบวชที่มีชื่อเสียง ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น สังคมไทยรู้สึกช็อกว่าทำไมพระที่บวชมาถึงขนาดนี้จึงตัดสินใจสึก ซึ่งสาเหตุก็มาจากสตรีเพศ
ทางด้านพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวถึงการออกมาเปิดตัวเรื่องราวชีวิตรักของอดีตพระมิตซูโอะ อย่างร้อนแรงว่า นายมิตซูโอะทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการเปิดแผลให้บรรดาลูกศิษย์ที่ให้ความเคารพนับถือลงไปอีก ทั้งที่มีทีท่าว่าจะลืมไปได้แล้ว แต่มาเผลอพูดเรื่องตะกายสวรรค์ แทนที่จะทำกันแบบเงียบๆ ถ้าเขียนหนังสือก็ควรเขียนเงียบๆ ไม่ควรเอาภาพหวานแหววมาลงหนังสือธรรมะ ยิ่งเป็นหนังสือธรรมะของผู้แพ้คนจะอ่านสักเท่าไร คนจะอ่านด้วยความสงสัยมากกว่า ไม่ได้อ่านเพราะต้องการปฏิบัติธรรม แล้วโยนทิ้งไป ทั้งยังกล่าวว่า อดีตพระมิตซูโอะรบมา 38 พรรษา แต่มาพ่ายแพ้ให้กับสีกาคนนี้ ภาษาธรรมะเรียกว่า ผู้ตายจากความเป็นพระ เป็นตาลยอดด้วนที่มีแต่วันเฉาตายไป บางทีเหมือนไม่รับความจริง อ้างว่าเคยเจอกันแต่ชาติปางก่อน บุพเพสันนิวาส แล้วอยู่ใกล้ชิดกันจนสึก….ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้น อันดับแรกต้องโทษมิตซูโอะที่ไม่ระวังตัวให้ดี อันดับ 2 ตัวผู้หญิงที่ตาม เรียกว่าเจตนามีความต้องการ เสียดายพระอย่างนี้ควรเอาไว้เป็นส่วนกลาง ไม่ควรเอาเป็นส่วนตัว คนวัยอย่างนี้น่าจะอยู่สืบศาสนามากกว่าไปสืบพันธุ์ ซึ่งภาษาหลวงพ่อปัญญา บอกว่า “ตายซะในการต่อสู้ ดีกว่าอยู่อย่างคนแพ้”
“พระสงฆ์ หมายถึง สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วเลื่อมใส สละเรือนออกบวช ถือวัตร ปฏิบัติ ตาม พระธรรมวินัย ที่พระบรมศาสดา สั่งสอนและกำหนดไว้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ใช่”
“ในความคิดผมนะท่านจะสึกก็สึกไปเพราะมันเป็นสิทธ์ของท่านแต่พวกเราก็อย่าไปสนใจอะไรมากมายกับอดีตพระ ให้หันหน้าไปหาพระที่มุ่งมั่นที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาที่แท้จริงดีกว่ามาเสียเวลากับอดีตพระถ้าคนที่มีการศึกษาผมพูดแค่นี้คงเข้าใจ จบปะ”
“ท่านทำผิดตรงไหนอ่ะ ชีวิตของท่านจะเลือกเดินเส้นทางไหนมันก็ชีวิตเขาหล่ะ ท่านมิตซูโอะ ก็ทำถูกต้องแล้ว เมื่อรู้ว่าจิตไม่นิ่งแล้วก็ควรสึก ทีตอนข่าวทพระที่มั่วสีกา กลับบอกว่า ทำไมไม่สึกออกมาให้รู้แล้วรู้รอดเลยฟ่ะ จะโพสต์ด่านเค้า 2 คนกันไปถึงไหน คนที่คิดลบ ลองกลับไปมองตัวเองและคนรอบข้างดูว่ามีมั้ยที่ไม่เคยทำผิด”
“พระธรรม ก็คือ พระธรรม สิ่งทีคนเราควรจะยึดเหนี่ยวจริงๆ ก็คือพระธรรม ไม่ใช่พระสงฆ์ สงฆ์รู้ตนว่าผิด ก็สึกออกไป ไม่ดีตรงไหน ชอบเสพข่าว สงฆ์แอบพาสีกาเข้ากุฎิ หรือยังไง? พระที่ๆ ออกมา ถ้าท่านดีจริง เดี๋ยวคนก็กลับไปกราบไหว้เองแหล”
“ทั้งคู่ควรอยู่เฉยๆ ไม่ควรแสดงออก เพราะภาพที่ออกมา มันไม่เหมาะสม มีแต่ภาพลบอย่างเดียว คุณบวชมานาน จนเป็นพระผู้ใหญ่ มีลูกศิษฐ์และผู้ใหญ่ให้ความเคารพและนับถือ พอสึกออกมาเพื่อมามีคู่ ความมีศรัธามันก็เลยหมดไป เหมือนกับสีขาวแล้วกลายเป็นสีดำ ที่จริงควรจะทิ้งระยะสัก 1 หรือ 2 ปี แล้วค่อยมีคู่ มันก็จะดูดี เสียดายที่บวชมาหลายพรรษา นี่แหละคือโลกมนุษย์”
“พระพยอมท่านพูดถูกครับ จริงๆแล้วเรื่องนี้มันจบไปแล้วทุกคนลืมไปแล้วด้วย ไม่น่ามาออกสื่อเลย “