ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 4-11 พฤษภาคม 2556
เรื่องแรกของสัปดาห์นี้ สืบเนื่องจากปาฐกถาของนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ณ ประเทศมองโกเลีย ซึ่งมีผู้วิพากษ์วิจารณ์ตามโซเชียลเน็ตเวิร์กจำนวนมาก จนกระทรวงไอซีที ต้องออกมาประกาศห้ามผู้ใดโพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ในเชิงด่าทอ ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำประเทศ ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้ใดมีพฤติกรรมดังกล่าว จะมีความผิดข้อหาหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตราที่ 326 มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ได้ออกประกาศห้ามโพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ในเชิงด่าทอ ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำประเทศ ให้ได้รับความเสียหาย ซึ่งนอกจากจะส่งผลให้ยิ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์และโพสต์ข้อความล้อเลียนแล้ว ยังมีการท้าทายด้วยการแฮคข้อมูลของเว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรี www.opm.go.th อีกด้วย
แต่หลังจากมีการประกาศดังกล่าว ยิ่งเหมือนเป็นการจุดฉนวนให้ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กยิ่งโพสต์ข้อความรวมทั้งรูปภาพล้อเลียน พร้อมกระแสวิพากษ์วิจารณ์การประกาศดังกล่าวโดยไม่สนใจสิ่งที่กระทรวงไอซีทีประกาศ จนมีการรายงานข่าวว่า บนหน้าเว็บไซต์ Google ถ้ามีการค้นหา “คำคำหนึ่ง” จะปรากฏเป็นภาพนายกฯ ขึ้นมาเต็มไปหมด
ขณะที่ “โฟล์คเหน่อ” นักร้องนักดนตรีในแนวใต้ดินชาวเมืองสุพรรณ จากค่ายพร้อมเผ่นมิวสิค ที่มักจะจับกระแสคนไทยมาแต่งเพลงหลายต่อหลายเพลง อาทิ เพลงรถไฟความเร็วสูง, เพลงบ่องไม่ตง และเพลงฉ่อย!! จำนำข้าวถังแตก! ฯ และล่าสุดแต่งเพลงชื่อว่า “อีโง่”
“สุดยอดเลยกูเกิ้ลยังรู้ แต่เจ้าตัว ไม่รู้ตัว”
“ยังไม่มีเวลาฟังเพลงนี้เลยจ้ะ คงยังไม่ถูกแบน มีเวลา จะเปิดให้ลั่นที่ทำงานเลยนะ”
“โอ๊ย มีเพลงประกอบด้วยเหรอ เข้าใจแต่งเน้อ กดให้ 1000 like เลย ”
“เนื้อหาดี ดนตรีเพราะ กินความเข้าใจง่าย ไม่ต้องแปลความ ชื่นชมมาก”
“สรุปงานนี้ “ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” สุภาษิตไทยใช้ได้ตลอดกาล”
“น่าจะแฮ้กพวกที่โกงบ้าน โกงเมืองแล้ว แชร์แยอะๆ”
“ทำไมคนมอบตัว ต้องใส่เสื้อสีเหลือง เจตนาอะไรเนี่ย”
“อยากจะเตือนให้พี่น้องรับทราบ ความผิดโดยการกระทำจากการใช้สื่ออินเตอร์เนท เป็นความผิดเช่นเดียวกับความอาญาไม่อาจยอมความได้ เมื่อเข้ากระบวนการแล้วเห็นปลายทางกรงขังเป็นเป้าหมาย และจะพิจารณาไปตามความหนักเบาของการกระทำ แต่งานนี้กลายเป็นมิได้จบแต่เพียงกับน้องคนนี้ เพราะน้องเขาบอกว่ามิได้กระทำ จึงพาดพิงไปยังกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งจำนวน 20 กว่าคน ซึ่งเป็นนักแฮกเกอร์ สิ่งที่ตามมาคือเจ้าหน้าที่จะดำเนินการติดตามตัวคนเหล่านี้มาทั้งหมด เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ซึ่งกระบวนการตรวจสอบอาจนำผลไปสู่การกระทำที่ผ่าน ๆ มาด้วย เพื่อใช้ประกอบในการพิจารณาคดี คราวนี้บุคคลในกลุ่มใครเคยกระทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายก็อาจได้รับผลตามมาหากผู้เสียหายมาแจ้งความเอาผิด งานนี้ทำไปทำมาอาจกลายเป็นจับยกเข่ง ดังนั้นวันนี้จึงเตือนไปยังพี่น้องCyberทำอะไรผิดวันนี้อาจไม่โดน แต่วันหน้าหากมีการตรวจสอบพาดพิงไม่แน่อาจต้องไปนอนในกรงโดยไม่รู้ตัว”
เรื่องที่สอง ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างแชร์ภาพเพื่อชื่นชมความน่ารัก จิตใจดีของดารา นักร้องหนุ่ม ขวัญใจวัยรุ่น ไมค์ พิรัชต์ ที่มีผู้ถ่ายรูปนักร้องหนุ่มกำลังนั่งคุยอยู่กับยายแก่คนหนึ่งที่นั่งตรงใต้สะพานตรงบีทีเอส สยามสแควร์ อย่างไม่ถือตัว ซึ่งตรงกันกับทางด้านนักร้องหนุ่ม ไมค์ พิรัชต์ ที่ก็ได้มีการโพสต์ข้อความและรูปภาพของคุณยายคนดังกล่าวในอินสตาแกรมส่วนตัวของตัวเอง พร้อมข้อความว่า
“คุณยายเป็นโรคเรื้อรังทุกอย่าง ตั้งแต่กระดูก เบาหวาน โรคกระเพาะ และอีกมากมาย ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณยายที่ต้องมานั่ง ลูกหลานก็มีการงานแต่หายไป” ทั้งยังเป็นกระบอกเสียงในการ ขอความช่วยเหลือคุณยาย ทวิตขอเบอร์ติดต่อบ้านพักคนชรา “วอนใครก็ได้หาเบอร์โทร เกี่ยวกับที่พักคนชราที่จะดูแลได้ให้หน่อยครับ ปล่อยไว้ไม่ได้ อาการยายทรุดเร็วกว่าแต่ก่อนมาก ค่าเช่าร้านก็ตั้ง 3,000 บาท”

และข้อความ “Please help คุณยายมงกุฏมารอบนี้ยายจำไมค์ได้แล้ว สภาพยายแย่กว่าเดือนก่อนๆ มาก ไม่ควรมาอยู่แบบนี้เลยจริงๆ ยายอยู่ตรงบันได BTS สยาม ป่วยเรื้อรังเป็นโรคกระเพาะ, กระดูก, เบาหวาน และอื่นๆ ใครที่คิดว่าชีวิตตัวเองโชคร้ายดูยายมงกุฏไว้เป็นตัวอย่างจะได้มีกำลังใจ”
การกระทำของหนุ่มไมค์ได้รับทั้งเสียงชื่นชมและถูกมองว่าเป็นการสร้างภาพ แต่หนุ่มไมค์ก็ไม่สนใจ เพราะเชื่อว่าตนตั้งใจทำ และเป็นความรู้สึกที่อยากช่วยเหลือผู้อื่นจริงๆ
“การโพสต์ของแต่ละคน แสดงให้เห็นเลยว่าคนที่จิตใจดี มีความคิดดี เป็นยังไง และคนที่คิดแต่สิ่งไม่ไดี ว่าคนอื่น หรือที่เรียกว่าไร้สมองคิดเป็นยังไง นี่แหละมนุษย์มีปะปนกันไป ดิฉันรู้สึกสงสารคนที่ว่าคนอื่นว่าสร้างภาพหรืออะไรก็แล้วแต่มากๆ เลย อนาคตของเขาคงจะแย่แน่นอนเลย”
“ทำไมบางคนบั้นปลายชีวิตถึงได้ลำบากอย่างนี้นะ ดังนั้นเราควรใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท”
“คนที่ว่าไปว่าเขาสร้างภาพ ถึงแม้เขาจะสร้างภาพแต่เขาก็พยายามจะช่วยเหลือผู้ที่ลำบากกว่า แต่คนที่ไปว่าเขาคุณเคยทำอะไรเพื่อช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่าคุณบ้างค่ะ ถ้าไม่ได้ช่วยก็อย่าว่าคุณไมค์เลยนะ คุณไมค์ค่ะคุณทำดีแล้ว อย่าหมดกำลังใจในการทำดีเพราะคนปากไม่ดีแค่ไม่กี่คนนะค่ะ”
“ใครจะว่าอย่างไรไม่ต้องสนใจ ทำดีมันผิดตรงไหน คนที่คิคว่าสร้างภาพ แสดงว่าจิตใจมันไม่สูง ชอบมองคนแง่ลบ ขอยกย่องน้ำใจที่มีให้แก่คนที่ด้อยกว่า”
“อะไรที่คิดว่าทำแล้วดี ก็ทำต่อไปเถอะ …สู้ๆๆ ถึงจะใช่หรือไม่ใช่ดาราก็ยกย่องเหมือนกันนั่นและว่าเป็น “คนดีของสังคม””
“เป็นกำลงใจให้ไมค์ทำดีต่อไปค่ะ ใครจะว่าอะไรอย่าไปสน เป็นคนมีมนุษยธรรมอ่ะ ดีแล้ว เป็นกำลังใจให้คุณยายด้วยนะค่ะ หน่วยงานสงเคราะห์ทำไมไม่มาดูแลจัดการเลย ทั้งบคนชรา ,เด็กเร่ร่อน รวมถึงพวกชาวต่างชาติที่นั่งอุ้มลูกน้อยขอทาน แถวหน้าห้างสรรพสินค้า เยอะแยะมากนะคะ”
เรื่องที่สาม เป็นภาพที่ถูกแชร์ต่อกันพร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อมีภาพชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ซึ่งตามรายงานข่าวมีการคาดเดาว่าเป็นหนุ่มในวงการบันเทิง เพราะตามภาพคาดตาดำไว้ ถ่ายรูปการรับประทานอาหารในร้านสุกี้ MK พร้อมมีสุนัขหน้าตาน่ารักพันธุ์ปอมเมอเรเนียนร่วมวงรับประทานอาหารอยู่ด้วย และมีการใช้ตะเกียบคีบเป็ดให้สุนัขรับประทาน โดยคนส่วนมากมีความเห็นว่า การนำสุนัขเข้าไปร่วมโต๊ะอาหารในที่สาธารณะจะทำให้เกิดความสกปรก ผิดหลักสุขอนามัยของร้านอาหาร อีกทั้งสุนัขยังอาจไปรบกวนลูกค้าคนอื่น

หลังจากนั้น ในเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Mkrestaurants ของทางร้านสุกี้เอ็มเค ได้โพสต์ข้อความชี้แจงถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมกล่าวขอโทษลูกค้าโดยระบุว่า
“จากกรณีที่มีผู้โพสต์ภาพลูกค้าท่านหนึ่ง ได้นำสุนัขเข้าไปรับประทานอาหารภายในบริเวณร้านเอ็มเค สุกี้ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นความสะอาดและสุขลักษณะในการรับประทานอาหาร รวมทั้งข้อห้ามในการนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในร้านอาหารนั้น บริษัทเอ็มเคฯ ขอชี้แจงว่า ตามกฎระเบียบการดำเนินธุรกิจร้านอาหารของบริษัท ห้ามมิให้มีการนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาภายในร้าน ซึ่งจากภาพข่าวที่เกิดขึ้นดังกล่าว คาดว่าน่าจะเป็นการแอบนำสุนัขเข้าไป”
“อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ลูกค้าท่านดังกล่าวที่โพสต์รูปทางสื่อสังคมออนไลน์ได้ชี้แจงขอโทษผู้ประกอบการทุกรายถึงเรื่องการเผยแพร่ภาพผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์แล้ว และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทเอ็มเคฯ ได้เพิ่มความเข้มงวดของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบการนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาภายในร้านมากขึ้น จากเดิมที่ได้ติดป้ายห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปภายในร้านเพียงอย่างเดียว เพื่อความสะอาดและการถูกสุขลักษณะในการรับประทานอาหารของลูกค้าทุกท่าน นอกจากนี้ทางบริษัทจะเร่งดำเนินการตรวจสอบสาขาร้านเอ็มเค สุกี้ ตามภาพที่ปรากฏบนอินเทอร์เน็ตเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของบริษัทต่อไป”
“สุดท้ายนี้ทาง admin ขอเป็นตัวแทนบริษัท ขออภัยลูกค้าทุกท่านเป็นอย่างสูงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอขอบพระคุณทุกกำลังใจที่ลูกค้าส่งมาให้กับเราทางทุกช่องทางค่ะ ทางบริษัทขอขอบพระคุณจากใจจริง ๆ ค่ะ”
โดยทางด้านชาวโซเชียลเน็ตเวิร์ค ก็ได้มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนี้
“ใครจะเป็นผู้โชคดี กินตะเกียบเดียวกะ น้องมะหมา”
“ทำไปได้ถึงจะรักยังไงแต่มันก็เกินไป ลองคิดดูหมากับคนมันต่างกันคนมีสมองที่คิดวิเคราะห์ได้แค่ควรไม่ควรยังไม่เข้าใจ หมาอึ มันล้างก้นเองได้ไหมยังไงมันก็สกปรกนะ”
“เราก็เป็นคนนึงที่รักน้องหมามากค่ะ แต่ไม่คิดที่จะให้หมาทำอย่างนี้เลย เพราะยังรักตัวเองและความสะอาดค่ะ คนเลี้ยงน้องหมาควรที่จะคิดถึงสิทธิของคนอื่นๆด้วยนะคะเวลาที่เอาน้องหมาไปนอกบ้าน”
“ประเด็นมันอยู่ที่ เจตนา แค่กฎง่าย ๆ เพื่อสุขอนามัยส่วนรวม คุณก็ยังตั้งใจละเมิด โตแล้ว แค่นี้คิดไม่เป็นหรือไง ถ้าไม่โดนสังคมทักท้วง ก็เชื่อได้ว่าคุณก็ยังคงละเมิดต่อไป จะด้วยความรักสุนัขตัวโปรดของคุณ หรือ ความต้องการความตื่นเต้นที่ได้แหกกฎ ก็สุดท้าย แค่ขอโทษ และลบภาพทิ้ง ไม่ได้บอกว่าจะไม่ทำอีก
ปล. เป็นเมืองนอกนี่ เค้าฟ้อง MK อาจถึงล้มละลาย MK ก็ต้องไปฟ้องต่อ หนุ่มรักหมาเอาเอง”
“ปัญหาน่าจะเกิดกับMKแล้วล่ะวันนี้ หากมีคนว่าไปทานอาหารที่MKอาจจะทานจานเดียวกับหมา แค่นี้เจ้าของก็คงจะนอนไม่หลับแล้วเงินไม่ใช้น้อย ส่วนผู้ชายในรูปก็คงเป็นเหมือนคนที่ตามใจความสุขส่วนตัวโดยไม่ได้สนใจคนอื่นในสังคม และคิดว่ามีมากขึ้นทุกวันในสังคมเมืองไทย ผมอยู่เยอรมันมานานไม่มีร้านอาหารไหน หรือซุบเปอร์มาร์เก็ตอนุญาตให้หมาเข้า ทั้งที่คนเยอรมันรักหมามาก รักนะดีผมก็รักหมา แต่ต้องรักให้ถูก และรักตัวเองพร้อมกับรักคนอื่นในสังคมด้วย อย่าทำอย่างนี้อีก ผิดแล้วให้อภัย แต่เจ้าของMKจะให้อภัยคุณหรือไม่ ผมภาวนาให้เรื่องจบแค่นี้ ไม่มีใครที่ไม่เคยคิดผิดทำผิดหรอกนะ มีเวลาออกมาขอโทษอย่างลูกผู้ชายเสียอย่ามัวเอาเวลาไปรักหมาจนเกินธรรมชาติไป”
“เราเป็นคนรักสุนัขนะ ที่บ้านก้อเลี้ยงหมา แต่สิ่งที่เราไม่ทำคือนำเข้าไปในร้านอาหารที่ติดแอร์ เพราะเกรงใจลูกค้าท่านอื่นที่เข้ามาทาน เราทนลูกเราได้อยู่แล้วต่อให้สกปรกอย่างไร แต่คนอื่นเค้าไม่ได้อยู่กับเราเค้าคงไม่ทนหรอก ในเมื่อกฎเค้าติดอยู่หน้าร้านว่าห้ามนำสุนัขเข้าเราก้อคงไม่ทำอยู่แล้ว แต่เราก้อเคยพาน้องหมาเราไปต่างจังหวัดไปเที่ยวทะเล นั่งกินอาหารริมทะเล พวกนี้เค้าก้อจะให้นั่งได้เพราะเป็นลักษณะไม่ติดแอร์ ก้อโอเคนะ แต่พวกห้องแอร์เนี่ยรักยังไงก้ออย่าเอาเข้าไปเลย สงสารลูกค้าท่านอื่น บางคนเนี่ยเค้าไม่ได้รักหมาเหมือนเราๆ เจอบางคนรังเกียจก้อเคยมี”
เรื่องที่สี่ กลายเป็นประเด็นร้อนในรอบสัปดาห์ เมื่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีการประกาศ “ยุบ” โรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีนักเรียนจำนวนน้อย และให้เด็กย้ายไปเรียนที่โรงเรียนพื้นที่ใกล้เคียง โดยให้เหตุผลว่า 1. รัฐบาลไม่มีกำลังงบประมาณพัฒนาโรงเรียนทุกแห่ง และ 2. ไม่สามารถนำงบประมาณจากเงินภาษีมาดูแลทุกโรงเรียนได้เท่าเทียมกัน
ตามรายงานข่าวแจ้งว่า โรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน มีทั้งหมด 14,816 โรง, โรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 60 คน มีทั้งหมด 5,962 โรง แยกเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนไม่เกิน 20 คน จำนวน 709 โรง, มีนักเรียนตั้งแต่ 21-40 คน จำนวน 2,090 โรง และนักเรียน 41-60 คน จำนวน 3,163 โรง
ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์ ทั้งแวดวงการศึกษา การเมือง และกลุ่มผู้ปกครอง ที่แสดงความคิดเห็นทั้ง “สนับสนุน” และ “คัดค้าน” แนวคิดนี้ โดยชาวออนไลน์ได้มีการล่ารายชื่อ “อคืนพื้นที่การศึกษาให้ชุมชน: คัดค้านการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก” ซึ่งก็มีผู้ร่วมลงชื่อกันมากมาย
อีกทั้งยังมีการโพสต์ข้อความต่อต้านบนหน้าเฟซบุ๊ก และที่ชาวออนไลน์แชร์ต่อกันมากก็คือ รูปที่ร็อกเกอร์ รุ่นใหญ่ คอการเมืองอย่าง บิลลี่ โอแกน ที่โพสต์ภาพชวนคนร่วมคัดค้านการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก พร้อมแนะวิธีประท้วงแบบสงบ สวมแว่นตาสีดำ ถือกระดาษที่เขียนข้อความว่า “เราต่อต้านการยุบโรงเรียน 16,000 แห่งทั่วประเทศ โปรดอย่ารังแกเด็กที่ต้องการโรงเรียนและการศึกษา รัฐมีหน้าที่จัดหา ไม่ใช่ทำลาย!”

พร้อมกับระบุใต้ภาพด้วยว่า “ขอเชิญทุกท่านที่ไม่เห็นด้วยกับการยุบโรงเรียนทั่วประเทศจำนวน 16,000 ร่วมเป็นกำลังใจให้เด็ก ๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน ร่วมประท้วงแบบสงบ ด้วยการถ่ายรูปตัวท่านเอง พร้อมเขียนข้อความดังตัวอย่างและโพสต์ลงบนเพจของท่าน”
ชาวออนไลน์ก็ร่วมใจกันกด like และแชร์ต่อ พร้อมข้อความร่วมแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก
“รัฐบาลน่าจะทบทวนใหม่อีกครั้งนะเรื่องยุบโรงเรียนอนาคตของชาติแท้ๆไม่น่าทำแบบนี้เลยเอางบประมาณไปทำอย่างอื่นแต่ไม่กล้าลงทุนกับการพัฒนาการศึกษา”
“เรื่องยุบโรงเรียนมันก็มีมานานแล้ว เองจะออกมาว่าเขาทำไหมเพียงแต่เขาอธิบายไม่ดีเอง เขาออกข่าวมาเพื่อหลอกให้คนตื่นเต้น”
“เขายุบมาตั้งนานแล้วค่ะอย่างโรงเรียนวัดเอามารวมกับโรงเรียนเทศบาล เพราะโรงเรียนวัดมีนักเรียนน้อยมากอุปกรณ์ไม่พร้อม มารวมกับเทศบาลมีงบพัฒนามีงบจ้างครูจากต่างประเทศมาสอน มีรถรับส่ง ไม่เข้าใจเหมือนกันต่อต้านไปทำไม โรงเรียนที่กันดารมาก เขาคงไม่ยุบหรือค่ะ แถวบ้านยุบมาหลายปีแล้วค่ะผู้ปกครองสบายขึ้นเพราะมีรถรับส่งขึ้นฟรี”
“ผมก็อีกคนหนึ่งถ้าจะยุบบางโรงเรียนก็เห็นด้วยเพราะบางโรงเรียนต่างจังหวัดมีนักเรียนไม่ถึง 40 คนอาจารย์นอนสบายนักเรียนต้องเรียนทางไทยคมเด็ก ป 4-6 อ่าน ก-ฮ ไม่เป็นเลยผมลองมาแล้ว”
“ยุบโรงเรียนด้อยคุณภาพ ต่อไปก็คงยุบครูที่ด้อยคุณภาพตามมา เอาอะไรมาวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนใช่ไหม ตลกไม่ออก วัสดุ อุปกรณ์ท่านๆให้ครูบ้านนอกบ้านนาครบถ้วนสมบูรณ์ไหม ครุเราทำดีที่สุดแล้ว เอาอะไรมาวัดคุณภาพ ช่วยบอกที เกณฑ์มาจากไหนบ้าง อย่านั่งคิดในห้องแอรืเลย มาคิดแถวๆบ้านนอกคอกวัวดีกว่า จะได้ทราบความจริงวันนี้เจ้านาย”
“ลองสำรวจแบบเจาะลึกน่าจะเป็นผลดีกว่าการตัดสินใจฝ่ายเดียวนะ เพราะจากการที่ทำค่ายอาสาพัฒนาและได้ไปสัมผัสกับตัวเองโดยตรงและไปมาหลายที่ โดยเฉพาะที่ที่อยู่ห่างไกล ความเห็นของชาวบ้านถ้ามีการยุบโรงเรียน การที่จะไปเรียนโรงเรียนอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไปจากบ้านตัวเองก็ลำบากคงจะไม่ให้ลูกไปเรียน สงสารเด็กเค้าน่ะ ลองเข้าไปสัมผัสกับทุกๆ ที่ค่อยมาตัดสินใจน่าจะเป็นผลดีนะ”
เรื่องที่ห้า มีคลิปวิดีโอดังที่ถูกโพสต์ลงเว็บไซต์ยูทูบ เป็นคลิปที่มีชื่อว่า“ตำรวจหากินประชาชน!!!” จากผู้โพสต์ที่ใช้ชื่อว่า Ekkaphan Bas ความยาวประมาณ 4 นาที พร้อมทั้งยังมีข้อความประกอบใต้คลิปว่าอย่างชัดเจน “ณ สถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง วันที่ 5/5/56 เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์วันเดียวกัน ในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งมีตำรวจทั้งหมด 2 ตัว อีกตัวจะทำทีโบกรถหาเหยื่อ และอีกตัวคอยปล้น วันนึงได้ไปเยอะมากครับ”

จนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล ต้องเร่งติดตามสืบหาข้อเท็จจริง ทั้งยังรวบรวมข้อมูล สำหรับประชาชนที่เคยถูกเรียกรับเงิน ให้เข้าติดต่อร้องทุกข์ในฐานะผู้เสียหาย เพื่อเป็นพยาน และรวบรวมข้อมูลในการเอาผิด จนได้ตัว ด.ต.นิพนธ์ โศรกหาย ผบ.หมู่ จร. สน.บางนา เจ้าของรหัส 6636 ซึ่งเจ้าก็ยอมรับว่าเป็นผู้ที่อยู่ในคลิป และเรียกรับเงินจากผู้ขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์บริเวณถนนสุขุมวิท ใกล้ ซอยลาซาล ใต้สถานีรถไฟฟ้าแบริ่งจริง ทาง ด.ต.นิพนธ์จึงถูกสั่งพักงานด้านการจราจรเป็นการลงโทษ อีกทั้งทางตำรวจนครบาลยังได้มีการเรียกประชุมผู้บัญชาการระดับสูง เพื่อให้ควบคุมดูแล และกวดขันวินัย พฤติกรรมของตำรวจนายอื่นๆ ที่อยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย
“ควรแก้จิตสำนึกผู้ใช้รถด้วย ปฏิเสธไม่ได้หรอกทุกวันนี้คนเห็นแก่ตัวทำผิดกฏจราจรเยอะมาก ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ส่วนตำรวจควรแก้ไขพฤติกรรมไม่เรียกรับ คนทำผิดก็ไม่ยัดสินบน ตำรวจคนที่ทำผิดก็ต้องลงโทษ สังคนเราน่าจะดีขึ้น”
“มันน่าจะออกใบเสร็จให้เรานะ 100 เดียวออกใบเสร็จให้ ก็จบ ตำรวจน่าจะทำลักษณะใบเสร็จออนไลท์นะ เอาแบบมือถือนะ ปรับในที่ 100 เดียว เพราะมันเสียเวลาผู้ขับขี่ ตำรวจไทย ไม่ทันสมัยเอาเลย ตอนนี้ภาพมันยังไม่เห็นความผิด ว่ากระทำผิดจริงรึเปล่าของผู้ขับขี่รถ หรือถูกใส่ร้าย ป้ายความผิดให้ ลักษณะแบบนี้ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ดังกล่าวกระทำการไม่ค่อยถูกจึงมีการแอบถ่ายภาพมาประจาน เห็นแต่การทุจริตของเจ้าหน้าที่”
“พวกวิจารณ์คนเก่งโปรดใช้สติบ้าง จะโทษคุณตำรวจอย่างเดียวหรอ ตัวท่านทำผิดไหม ท่านมักง่ายไหม ไม่ใช่ดีเข้าตัวชั่วให้คนอื่น เขาเรียกว่าการสมยอมทั้ง 2 ฝ่าย ตบมือข้างเดียวไม่ดังแน่ พี่ต้องขอบคุณตำรวจที่ไม่ต้องไปเสียที่โรงพัก”
“ถ้าจะเอาความผิดกับระดับ สัญญาบัตรด้วย เพราะเป็นผู้ดูแล แต่ปล่อยให้ทำอย่างนี้ได้อย่างไร การตั้งด่านตรวจจับ ปรับแบบนี้ตั้งโดยพละการได้อย่างไร ใครรับผิดชอบคนนั้นต้องโดนด้วย ระดับนายดาบมันแค่ หางแถว แต่คนสั่งนี้ซิ ต้องเอาให้หนัก หัวไม่ส่าย หางมันจะกระดิกได้อย่างไร”
“ตำรวจผู้รักษากฎหมาย ทำไมขชอบทำกับประชาชนแบบนี้นะ”
“พฤติกรรมนี้จะลดน้อยหายไปได้ ถ้าประชาชนที่ทำผิดกฎจราจรเลิกให้เงินตำรวจ ถ้าทำผิดก็ยอมให้เค้าเขียนใบสั่ง แล้วไปจ่ายที่โรงพักอย่าถูกต้องตามกฎหมาย”