ThaiPublica > คอลัมน์ > Searching for Sugar Man

Searching for Sugar Man

20 มีนาคม 2013


ธิดา ผลิตผลการพิมพ์

poster-Searching for Sugar Man

การคว้ารางวัลใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกาด้านภาพยนตร์สารคดี (เช่น รางวัลออสการ์ และรางวัลจากสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์) รวมถึงทั้งชนะและได้เข้าชิงรางวัลของกลุ่มนักวิจารณ์และเทศกาลหนังอีกนับไม่ถ้วนตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ชวนให้คาดหวังว่า Searching for Sugar Man (2011) น่าจะเป็นสารคดีที่เลิศล้ำทางเทคนิคหรือภาษาภาพยนตร์อย่างโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่โดยส่วนตัวหลังจากดูจบ ดิฉันกลับพบว่านี่เป็นหนังที่เล่าเรื่องธรรมดามากถึงมากที่สุด

นอกเหนือจากวิธีตัดสลับบทสัมภาษณ์บุคคลนั้นนี้ไปมาแล้ว ส่วนใหญ่ที่เหลือที่ “มาลิค เบนด์เจลโลล” (ผู้กำกับหนุ่มชาวสวีเดน ซึ่งก้าวจากวงการทีวีมาจับงานภาพยนตร์เต็มตัวครั้งแรก) ทำก็คือ การสอดแทรกด้วยฟุตเตจบ่งบอกสภาพบ้านเมืองตามยุคสมัยที่หนังกล่าวถึง (ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นภาพบันทึกของบุคคลและเหตุการณ์ตรงตามเรื่องที่เล่าจริงๆ ไปจนถึงฟุตเตจเก่าที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง และการทำแอนนิเมชันขึ้นมาช่วยเสริมเรื่องและอารมณ์สำหรับเนื้อหาส่วนที่หาฟุตเตจภาพจริงไม่ได้)

อย่างไรก็ดี เหตุผลสำคัญที่ทำให้สารคดีเรื่องนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างครึกโครม คงสามารถสรุปได้เป็นหนึ่งประโยคสั้นๆ ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างคือ มันเป็นหนังที่สามารถสร้างเซอร์ไพรส์และแรงบันดาลใจได้มากมายในหลายแง่มุม

Searching for Sugar Man

เรื่องราวของ Searching for Sugar Man ก็ตรงตามชื่อของมันนั่นแหละค่ะ ย้อนไปในยุค 1970 นักร้องนักแต่งเพลงชาวเม็กซิกันอเมริกันนาม ‘ซิกซ์โต โรดริเกซ’ ได้รับชักชวนให้ผันตัวจากการเป็นศิลปินโนเนมในบาร์เล็กๆ ของเมืองดีทรอยต์อันซอมซ่อ สู่การออกอัลบั้มแรกในชีวิตชื่อ Cold Fact ด้วยความหวังว่าคนอเมริกันจะอ้าแขนต้อนรับ ‘บ็อบ ดีแลน คนใหม่’ รายนี้อย่างตื่นเต้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับเป็นตรงข้าม แผ่นของเขาขายได้เกือบเท่ากับศูนย์ เพลงของเขาไม่มีใครรู้จัก ชื่อของเขาไม่มีใครจดจำ และไม่นานนักหลังออกอัลบั้มที่สองคือ Coming from Reality ที่แม้จะได้รับบทวิจารณ์ดีแต่ก็เจ๊งไม่น้อยหน้าชุดแรก เขาก็ถูกค่ายเพลงเตะออกจากสังกัด และต้องกลับไปหาเช้ากินค่ำกับอาชีพนักดนตรีอิสระและคนงานก่อสร้างดังเดิม

ทว่า ในอีกซีกโลกกลับเกิดสิ่งอัศจรรย์พันลึกขึ้น เพลงของโรดริเกซที่งดงามดั่งบทกวีและตั้งคำถามต่อแง่มุมขื่นขมของชีวิตมนุษย์ชายขอบกลายเป็นที่คลั่งไคล้ของคนหนุ่มสาวทั้งผิวขาวดำในแอฟริกาใต้ เนื้อหาท้าทายขนบของมันคือเชื้อไฟชั้นดีที่จุดวิญญาณขบถของผู้คนเหล่านี้ให้ลุกขึ้นโลดแล่น ถึงขั้นที่หลายเพลงของเขามีส่วนร่วมอย่างสำคัญในจุดเริ่มต้นแห่งการเดินขบวนประท้วงการเหยียดผิวที่คุกรุ่นรุนแรงที่นั่น แผ่นทั้งมีและไม่มีลิขสิทธิ์ถูกก็อปปี้และแพร่กระจายสู่กันและกัน จนว่ากันว่าผลงานของโรดริเกซ–ศิลปินอเมริกันลึกลับผู้ไม่มีใครสักคนในแอฟริกาใต้รู้จักตัวตนจริงเลย-สามารถทำยอดขายชนะกระทั่งอัลบั้มของเดอะบีตเทิลส์ และชื่อของเขาก็โด่งดังกึกก้องเสียยิ่งกว่าเอลวิส เพรสลีย์!

ปรากฏการณ์นี้เองคือที่มาของเส้นเรื่องหลักในหนัง ซึ่งว่าด้วยการจับมือกันของแฟนเดนตายในแอฟริกาใต้สองคน ออกค้นหาความจริงว่าโรดริเกซเป็นใครกันแน่ เขายังอยู่หรือตายไปแล้ว (และถ้าตายแล้ว เขาตายแบบไหนในระหว่างสารพัดตำนานแสนพิสดารที่ร่ำลือกัน) จนนำมาสู่การค้นพบที่แสนน่าทึ่งและนำมาสู่ฉากการแสดงครั้งสำคัญที่ทำให้เราอดตื่นเต้นตื้นตันไปด้วยไม่ได้

Searching for Sugar Man3

บนเส้นทางการค้นหาดังกล่าว เบนด์เจลโลทิ้งคำถามน่าขบคิดไว้เบาๆ โดยไม่ช่วยเราหาคำตอบ ว่าในเมื่อเพลงของโรดริเกซขายดีขนาดนั้นในแอฟริกาใต้ แล้วรายได้ค่าลิขสิทธิ์แผ่นทั้งหมดที่ผู้จัดจำหน่ายที่นั่นยืนยันว่าจ่ายให้แก่ต้นสังกัดในอเมริกามันสูญหายไปไหน ทำไมตัวโรดริเกซจึงไม่เคยได้รับผลประโยชน์อะไรและไม่กระทั่งจะล่วงรู้ความจริงด้วยซ้ำว่าอีกด้านหนึ่งของชีวิตเขาคือการเป็นซูเปอร์สตาร์ผู้ยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น หลังจากหนังเริ่มโด่งดัง ก็มีผู้เปิดโปงนอกจอว่า เบนด์เจลโลจงใจปิดบังข้อมูลบางส่วนเพราะหวังผลในการขับเน้นชีวิตของโรดริเกซให้ ‘ดราม่าน่าเห็นใจ’ เกินจริง โดยเฉพาะข้อมูลที่ว่าหลังจากอัลบั้มสองชุดพังไม่เป็นท่าแล้ว เขามิได้จำต้องอัปเปหิตนเองออกจากชีวิตนักดนตรีแต่อย่างใด ตรงข้ามทีเดียว เพลงของเขาข้ามทะเลไปโด่งดังพอสมควรในออสเตรเลีย และเขามีโอกาสไปแสดงคอนเสิร์ตที่นั่นหลายครั้งด้วยซ้ำ

กระนั้นก็ตาม สำหรับดิฉันแล้ว หัวใจสำคัญที่สุดของ Searching for Sugar Man มิได้อยู่ตรงความลี้ลับจริงหรือไม่แค่ไหนของโรดริเกซ แต่อยู่ตรงที่หนังเปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะมนุษย์ผู้สามารถประคองความฝันและจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่มิให้ดับสูญแม้อยู่ภายใต้รูปลักษณ์ถ่อมเนื้อถ่อมตน ต้องเผชิญกับความล้มเหลว หรือตกอยู่กลางสภาพแวดล้อมเสื่อมสลายแร้นแค้น ในยามว่างจากงานก่อสร้าง เขาฝึกแต่งเพลงด้วยตนเอง รักการอ่าน มุมานะร่ำเรียนจนจบสาขาปรัชญาในมหาวิทยาลัย และเคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนักการเมืองท้องถิ่นหลายครั้งด้วยความหวังจะทำให้เมืองดีทรอยต์บ้านของเขาดีขึ้น

ไม่ว่าจะในวินาทีของชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ โรดริเกซก็ยังคงยิ้มหัว แววตามีประกาย และค้อมไหล่เดินช้าๆ ต่อไปบนเส้นทางที่เขาเลือก

Searching for Sugar Man 2

เพลงที่เขากลั่นออกมาจากน้ำเนื้อในชีวิตอาจไม่ ‘ทำงาน’ กับกลุ่มเป้าหมายทางตลาดที่คาดหวัง แต่พลังที่บีบเค้นจากหัวใจของนักแต่งเพลงผู้ยากไร้ซึ่งมุ่งหมายถึงชีวิตที่ดีกว่านั้น กลับสามารถสื่อสารพูดจากับผู้คนมหาศาลในอีกด้านของโลกที่กำลังถูกกระทำย่ำยี และมันทำหน้าที่เป็น ‘เสียง’ ให้คนตัวเล็กๆ ที่เคยไร้เสียงเหล่านั้นได้กู่ร้องก้องตะโกนกระทั่งนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน