ครบรอบ 1 ปี โครงการรถคันแรกไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2555 มีผู้ใช้สิทธิซื้อรถคันแรกได้รับเงินภาษีคืนจากกรมบัญชีกลางลอตแรก 47 ราย คิดเป็นเงิน 3,557,285 บาท จากนั้น กรมบัญชีกลางจะทยอยโอนเงินเข้าบัญชีผู้มีสิทธิได้รับเงินภาษีคืนทุกวันที่ 5 และวันที่ 20 ของทุกๆ เดือน
จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 มีผู้มาลงทะเบียนยื่นคำขอรับเงินคืนภาษีแล้ว 250,744 ราย คิดเป็นวงเงิน 18,000 ล้านบาท และ ค.ร.ม. มีมติเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2555 ให้ขยายเวลาในการยื่นคำร้องขอใช้สิทธิคืนภาษีรถคันแรกถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 คาดว่าผู้มาใช้สิทธิขอคืนภาษีโครงการรถคันแรกประมาณ 425,000 ราย โดยต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย
แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า ก่อนที่กระทรวงการคลังจะเริ่มดำเนินโครงการรถคันแรก ได้ทำการประมาณการว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิคืนภาษี 500,000 ราย การจัดทำประมาณการครั้งนั้นอยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่า คนส่วนใหญ่ซื้อรถประหยัดพลังงาน หรือ “อีโคคาร์” ซึ่งรถประเภทนี้เสียภาษีให้กับกรมสรรพสามิตที่อัตรา 17% ของมูลค่าราคา ณ หน้าโรงงานหรือราคานำเข้า หรือเฉลี่ยที่ 60,000 บาทต่อคัน จึงใช้ตัวเลขนี้มาคำนวณกับตัวเลขประมาณการผู้มาใช้สิทธิคืนภาษี ออกมาเป็นวงเงินงบประมาณที่รัฐบาลกันเอาไว้คืนภาษีประมาณ 30,000 ล้านบาท
แต่ข้อเท็จจริงไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ ผู้ที่มาใช้สิทธิขอคืนภาษีส่วนใหญ่นิยมซื้อรถยนต์นั่งขนาดเล็กขนาดเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี มากกว่ารถอีโคคาร์ เพราะรถยนต์ขนาดเล็กจะได้เงินภาษีคืนคันละ 100,000 บาท แต่ถ้าซื้อรถอีโคคาร์ได้ภาษีคืนแค่ 60,000 บาทต่อคัน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าโครงการนี้อาจจะใช้งบฯ มากกว่าประมาณการเดิม ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 มีผู้มาลงทะเบียนยื่นคำขอรับเงินคืนภาษีกับกรมสรรพสามิตแล้วประมาณ 320,000 ราย คิดเป็นวงเงิน 24,000 ล้านบาท (เงินภาษีที่จะได้คืนจากการซื้อรถยนต์คันแรก)
ในช่วงสุดท้ายของปี 2555 บริษัทรถยนต์ทุกค่ายเตรียมงัดแคมเปญส่งท้ายปีเก่าออกมาประชันกันในงานมอเตอร์โชว์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อย่างเช่น ในช่วงวันที่ 30 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2555 จะมีการจัดงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 29 ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ดังนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่งบฯ ที่เตรียมเอาไว้ 32,095 ล้านบาท อาจจะไม่พอจ่าย
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นห่วงปัญหาการจราจรติดขัดที่จะตามมาในอนาคต จึงเสนอให้รัฐบาลจัดทำแผนรองรับปริมาณรถยนต์ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นอีก 500,000 คัน เช่น การสร้างอาคารที่จอดรถ ณ จุดเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชน เพื่อแก้ปัญหาจราจร (อ่านเพิ่มเติม“ค่าธรรมเนียมรถติด” ใครที่ต้องรับภาระ?”)
จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2555 มีรถยนต์นั่งป้ายแดงไม่เกิน 7 ที่นั่งมาจดทะเบียนประมาณ 416,454 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถที่เข้าโครงการรถคันแรก 250,000 คัน ส่วนรถยนต์ใหม่ป้ายแดงที่มาจดทะเบียนกับกรมการขน อันดับ 1 เป็นรถยี่ห้อโตโยต้า อันดับ 2 เป็นฮอนด้า อันดับ 3 นิสสัน เกือบทุกค่ายได้รับอานิสงจากมาตรการคืนภาษี มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ยกเว้นค่ายฮอนด้าที่มีปัญหาการส่งมอบรถช่วงนั้น เนื่องจากโรงงานผลิตอะไหล่ชิ้นส่วนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554
หากเปรียบเทียบการใช้เงินภาษีของคนทั้งประเทศกว่า 30,000 ล้านบาท ไปอุดหนุนให้ประชาชนซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น โดยการนำเงินไปแจกจ่ายให้กับคนซื้อรถคันแรกคนละ 60,000-100,000 บาท ขณะที่งบประมาณที่กระทรวงต่างๆ ได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณ 2556 อย่างเช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปีงบประมาณได้รับการจัดสรร 8,962 ล้านบาท ขณะที่โครงการรถยนต์คันแรกได้รับงบประมาณ 24,720 ล้านบาท
จากการที่มติ ค.ร.ม. เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2555 กำหนดให้ใช้ใบจองรถเป็นเอกสารสำคัญในขอคืนภาษีรถคันแรก ซึ่งจะต้องระบุวันที่มีการจองซื้อรถยนต์ในช่วงวันที่ 16 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 จึงมีนักวิชาการตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการลงวันที่ในใบจองย้อนหลัง หรือยืมชื่อผู้อื่นมาสวมสิทธิขอคืนภาษี รวมทั้งกรณีซื้อ-ขายใบจอง กรมสรรพสามิตได้วางแนวทางป้องกันอย่างไร
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ชี้แจงว่า กรมสรรพสามิตยังไม่มีระบบตรวจสอบเจาะลึกลงไปในรายละเอียดถึงขนาดนั้น แต่ก่อนที่จะคืนภาษีต้องตรวจสอบความถูกต้องอย่างละเอียด อาทิ ชื่อ-นามสกุลผู้ซื้อที่ระบุไว้ในใบจองรถยนต์ต้องเป็นบุคคลคนเดียวกัน ทั้งชื่อ-นามสกุลต้องตรงกับชื่อเจ้าของบัญชีและทะเบียนบ้าน และที่สำคัญ ผู้ที่จะได้เงินภาษีคืนต้องครอบครองรถคันแรกเกินกว่า 1 ปีขึ้นไป ถึงจะได้รับเงินคืน จากนั้นกรมการขนส่งทางบกจะบันทึกข้อมูลห้ามจำหน่ายเป็นระยะเวลา 5 ปี
ดังนั้น ไม่จะเป็นนาย ก. หรือนาย ข. หากมายื่นเอกสารครบและมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่กำหนด กรมสรรพสามิตต้องคืนภาษีให้ทุกคน ส่วนกรณีสวมสิทธิ์ขอคืนภาษีนั้น ผู้ที่คิดจะกระทำการเช่นนี้ได้คงต้องคิดหนัก เพราะต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจ ยอมให้ผู้อื่นมีชื่อเป็นเจ้าของรถยนต์นานถึง 5 ปี ถึงจะโอนเปลี่ยนมือได้
“ส่วนกรณีที่มีคนเป็นห่วงว่า อาจจะมีผู้มาใช้สิทธิขอคืนภาษีสรรพสามิตเกินวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ 30,000 ล้านบาท ขอชี้แจงว่าคงจะไม่มีปัญหาเงินไม่พอจ่าย เพราะโครงการนี้เป็นนโยบายของรัฐบาล หากงบฯ ไม่พอก็ทำเรื่องของบฯ เพิ่ม การคืนเงินภาษีเป็นไปในลักษณะของการทยอยจ่าย โดยผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินคืนภาษีต้องมีชื่อเป็นเจ้าของรถยนต์เกิน 1 ปี ในปีงบประมาณ 2556 กรมสรรพสามิตเตรียมเงินคืนภาษี 18,000 ล้านบาท หากไม่พอจ่าย ก็ทำเรื่องเสนอ ค.ร.ม. ขอใช้งบกลาง ส่วนในปีงบประมาณ 2557 เตรียมขอรับการจัดสรรงบฯ จากรัฐบาลอีก ส่วนจะขอตั้งงบฯ 10,000 ล้านบาท หรือ 15,000 ล้านบาท คงต้องรอให้ปิดโครงการก่อน ถึงจะทราบตัวเลขที่ชัดเจน” นายสมชายกล่าว
นายสมชายกล่าวต่อไปอีกว่า ช่วงที่ทำเรื่องเสนอ ค.ร.ม. ขอขยายระยะเวลาโครงการรถคันแรกไปจนถึงสิ้นปี 2555 กระทรวงการคลังได้ทำการประเมินว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิขอคืนภาษีรถคันแรกประมาณ 425,000 ราย ซึ่งยังต่ำกว่าประมาณการที่ 500,000 คัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2555 บริษัทรถยนต์หลายแห่งเตรียมออกแคมเปญมากระตุ้นยอดขายส่งท้ายปีเก่า ยอดการจองซื้อรถช่วง 2 เดือนสุดท้าย อาจจะโตแบบก้าวกระโดดก็ได้ แต่คิดว่าตัวเลขคงใกล้เคียงกับตัวเลขที่เคยประมาณการเอาไว้ที่ 500,000 คัน