รัฐบาลยอมจ่าย 6,544 ล้านบาท ชดเชยชาวนาช่วงรอยต่อนโยบายประกันรายได้-จำนำข้าว เยียวยาตันละ 1,437 บาท แต่มีเงื่อนไขถ้ารับเงินชดเชยจะหมดสิทธิเข้าโครงการรับจำนำข้าว พร้อมดันงบกลาง 659 ล้านบาท ช่วยเหลือเมล็ดพันธ์
นายบุญช่วย เจียดำรงชัย รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส.เตรียมดำเนินการจ่ายเงินชดเชยตันละ 1,437 บาท ให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงรอยต่อนโยบายประกันรายได้เกษตรกรกับนโยบายรับจำนำข้าว ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2554
ทั้งนี้นโยบายประกันรายได้เกษตรกรปิดโครงการเมื่อ 15 กันยายน 2554 ขณะที่นโยบายรับจำนำข้าวเริ่มดำเนินการ 7 ตุลาคม 2554 โดยก่อนหน้านี้เกษตรกรภาคกลาง 11 จังหวัดได้รวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลขยายระยะเวลาประกันรายได้ออกไปอีกถึง 4 ตุลาคม 2554 แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2554 ที่ผ่านมา ครม.มีมติให้ช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงรอยต่อนโยบาย โดยจะจ่ายเงินเยียวยาให้ตันละ 1,437 บาท นอกเหนือจากเงินชดเชยพืชการเกษตรเสียหายไร่ละ 2,222 บาท ที่อนุมัติไปก่อนหน้านี้
รายละเอียดมติครม.ระบุว่า เกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวนาปี 2554/55 เริ่มปลูกในเดือนพฤษภาคม 2554 เก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 เป็นต้นไป ซึ่งขายผลผลิตไปในช่วงที่รัฐบาลยังไม่มีโครงการช่วยเหลือ ทำให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยว และขายผลผลิตในช่วงดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ จากผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ จึงเห็นควรให้การเยียวยาเกษตรกรที่ขายผลผลิตไปในช่วงดังกล่าว และกรณีที่เสียหายจากเหตุอุทกภัยในอัตราตันละ 1,437 บาท
สำหรับพื้นที่และผลผลิตที่เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประมาณการพื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวในเดือนสิงหาคม – กันยายน 2554 มีจำนวน 8.8 ล้านไร่ ผลผลิต 4.554 ล้านตัน (ผลผลิตภาคกลางเฉลี่ยไร่ละ 554 กิโลกรัม และภาคเหนือเฉลี่ยไร่ละ 498 กิโลกรัม) ดังนั้น รัฐบาลต้องจ่ายเงินเยียวยารวม 6,544 ล้านบาท (1,437 บาท/ตัน x 4.554 ล้านตัน)
มติครม.ยังระบุว่า เกษตรกรที่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาข้างต้น ต้องมีหลักฐานการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และไม่สามารถใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2554/55 ที่จะเริ่มตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2554 – 29 กุมภาพันธ์ 2555
นายบุญช่วยระบุว่า เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงรอยต่อนโยบายต้องเลือกระหว่างเข้าโครงการเยียวยาไร่ละ 1,437 บาท หรือจะเก็บผลผลิตไว้เข้าโครงการรับจำนำตันละ 15,000 บาท ซึ่งชาวนาไม่สามารถใช้สิทธิ์เข้าทั้ง 2 โครงการ ดังนั้นการดำเนินการดังกล่าว ธ.ก.ส.จะตรวจสอบข้อมูลหลักฐานการลงทะเบียนโครงการประกันรายได้อย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันการใช้สิทธิซ้ำซ้อน
นอกจากนี้ มติครม. ยังให้การช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์แก่เกษตรกรที่เพาะปลูกในปี 2554/55 ที่ประสบอุทกภัย และพื้นที่เพาะปลูกเสียหายมากกว่า 50 % ของพื้นที่ ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ เกษตรกรที่พื้นที่เสียหายเกินกว่า 50 % ทั้งประเทศประมาณ 70 % ของพื้นที่ 5.232 ล้านไร่ หรือ 3.662 ล้านไร่ ควรได้รับการช่วยเหลือในลักษณะเดียวกับที่รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือในปี 2553 คือช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ตามที่เสียหายจริง แต่ไม่เกินรายละ 10 ไร่ ในอัตราไร่ละ 10 กิโลกรัม หรือคิดเป็นมูลค่าไร่ละ 180 บาท ซึ่งการช่วยเหลือทั้งระบบต้องใช้เงินงบประมาณ 659.16 ล้านบาท (180 บาท/ไร่ x 3.662 ล้านไร่)
ดั้งนั้น รวมวงเงินต้องเยียวยา และช่วยค่าเมล็ดพันธุ์ การช่วยเหลือเกษตรกรที่เพาะปลูกในฤดูนาปี 2554/55 เป็นเงินทั้งสิ้น 7,203.16 ล้านบาท (6,544 + 659.16 ล้านบาท) โดยครม. มีมติมอบหมายให้ ธ.ก.ส. รับไปดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรในกรณีการเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกรวงเงิน 6,544 ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณชดใช้ ธ.ก.ส. ต่อไป
สำหรับกรณีการช่วยเหลือค่าเมล็ดพันธุ์ ครม. มีมติมอบหมายให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ ปี 2554 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็นไปพลางก่อน วงเงิน 659.16 ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าวเป็นผู้นำไปช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป