ตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดตัวโครงการ JUMP+ หนุนบจ.เติบโต ยั่งยืน เพิ่มความเชื่อมั่น

หน่วยงานภาคตลาดทุนจับมือร่วมยกระดับบริษัทจดทะเบียนไทย เสริมแกร่ง สร้างโอกาสการเติบโต ผ่าน 2 โครงการ ได้แก่ “Corporate Value Up” โดย ก.ล.ต. และ “JUMP+” โดย ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเดินหน้าแพคเกจสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนในหลายมิติ มุ่งเสริมความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ส่งเสริมการเติบโตยั่งยืน   

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2568 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จัดงานสัมมนา “Value Creation ยกระดับบริษัทจดทะเบียนไทย สร้างตลาดทุนที่ยั่งยืน” โดย นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ นายอำนวย จิรมหาโภคา ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตลท.เปิดแผนพัฒนาตลาดทุน ชู 3 โครงการเรือธง สร้างโอกาสเพื่อส่วนรวม-เข้าถึงการลงทุน-ระดมทุนเท่าเทียม

 นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “ตลาดทุนในเอเชียกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านผลตอบแทนและความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุน หลายประเทศจึงเริ่มขับเคลื่อนนโยบายการสร้างมูลค่าของกิจการในระยะยาว หรือ “Value Up” เพื่อยกระดับธรรมาภิบาลสร้างคุณค่าในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น  ขณะที่ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ หากเราต้องการให้บริษัทจดทะเบียนเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านสู่แนวทาง Value Up คือโอกาสสำคัญ  ก.ล.ต. จึงผลักดันโครงการ “Corporate Value Up” ให้เป็นกลไกหลักในการยกระดับธรรมาภิบาลของภาคธุรกิจไทยทำหน้าที่เป็น ‘กรอบกลยุทธ์’ และ ‘กลไกส่งสัญญาณตลาด’ โดยเชื่อมโยงกับการออกแบบแรงจูงใจเชิงนโยบายผ่านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และโครงการ JUMP+ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบอย่างเป็นรูปธรรม นำไปสู่การสร้างตลาดทุนไทยที่แข็งแกร่ง น่าเชื่อถือ และยั่งยืนในระดับสากล

สำหรับโครงการ “Corporate Value Up” ภายใต้กรอบแนวคิดหลักที่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ธรรมาภิบาลระดับดีเลิศ (2) แผน Value Up ที่ชัดเจนทั้งด้านแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นเพิ่มมูลค่ากิจการและแผนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ระยะเวลาภายใน 2 ปี และ (3) การสื่อสารกับนักลงทุนอย่างโปร่งใส หากบริษัทจดทะเบียนมีองค์ประกอบครบถ้วนจะมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์เป็นหลักทรัพย์ที่ Thai ESG หรือ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ ซึ่งปัจจุบันมี 2 บริษัทที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติดังกล่าวแล้ว”

 

JUMP+”หนุนบจ.พัฒนาการดำเนินงาน-ขับเคลื่อนความยั่งยืน

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ ริเริ่มโครงการ “JUMP+” สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนพัฒนาการดำเนินงานและการขับเคลื่อนความยั่งยืน เพื่อประโยชน์แก่บริษัทจดทะเบียน ผู้ถือหุ้น และตลาดทุนโดยรวม ซึ่งบริษัทต้องทำแผน JUMP+ ประกอบด้วยแผนด้านธุรกิจ แผนด้านธรรมาภิบาล  

และแผนจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตรสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนของ บจ. ที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ ค่าใช้จ่ายสำหรับการว่าจ้างที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) การขยาย visibility ทั้งในและต่างประเทศผ่านกิจกรรม roadshow กิจกรรม Opportunity Day การจัดทำบทวิเคราะห์ และโปรโมทผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตร การที่บริษัทจดทะเบียนดำเนินการตามแผนดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่ง กระตุ้นการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดทุนไทยด้วย เชื่อว่าในปีแรกจะมีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมโครงการ 100 บริษัท ทั้งนี้ บริษัทที่ร่วม JUMP+ จะได้เข้าสู่โครงการ “Corporate Value Up” หากมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ของ สำนักงาน ก.ล.ต. 

โครงการ “JUMP+” เป็นโครงการระยะยาว โดยบริษัทที่ร่วมโครงการจะมีการจัดทำแผนการเติบโต 3 ปี (2569-2571) เปิดเผยเป้าหมายและแผนงานให้ไปสู่เป้า เปิดเผยความคืบหน้า และสื่อสารกับผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ร่วมโครงการ ผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ

“โครงการ Jump+ จะช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าถึงข้อมูลแผนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้งทราบถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ Opportunity Day ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพในการเติบโต นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนในการจัดกิจกรรม Jump+ Corporate Day เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมาพบกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วม

ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มเห็นแผนงาน Jump+ ของบริษัทจดทะเบียน ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 เป็นต้นไป และจะสามารถติดตามการดำเนินงานตามแผนงานของบริษัท ได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2569 

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 

JUMP+ position ตลาดทุนไทยใหม่

นายอำนวย จิรมหาโภคา ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นำเสนอภาพรวมโครงการ JUMP+ และการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ศึกษาโครงการเพิ่มมูลค่าบริษัทจดทะเบียนจากหลายประเทศ ซึ่งในประเทศที่ได้ศึกษาและเข้าใจว่าจะเกี่ยวข้องหรือว่าสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยนั้น ไม่ได้ดำเนินการเพียงด้านเดียว แต่ดำเนินการทั้งด้าน Demand และ Supply ประเทศไทยก็ดำเนินการทั้งสองด้าน โดยสำนักงานก.ล.ต. ได้ดำเนินการด้าน demand ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ผ่านกองทุน THESG ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ดำเนินการด้าน demand ด้วยโครงการ JUMP+ เป็นการดำเนินการของสององค์กรที่เชื่อมกัน

“คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้โครงการ JUMP+ เป็นโครงการ flagship ในปีนี้ และเราเปิดตัวโครงการในวันนี้”

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ ข้อที่ 1 Growth การเติบโต ที่ไม่ใช่ growth ที่เป็นข้อมูลในอดีต แต่เป็น potential growth การที่จะเสนอมุมมองให้กับผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศว่าบริษัทจดทะเบียนไทย มีการเติบโตในอนาคต ใน 3 ปีข้างหน้า จะสามารถที่จะจัดทำแผนงาน ไม่ว่าจะเป็นแผนงานทางด้านนวัตกรรม หา S-Curve ใหม่ แผนงานทางด้านคาร์บอน หรือแผนงานด้านธรรมาภิบาล (corporate governance) บางบริษัทอาจจะต้องการให้คะแนน CG เพิ่ิมขึ้นเป็น 5 ดาว จากระดับ 3 ดาวหรือ อาจจะอยากเป็น มากกว่า 90%ก็สามารถที่จะ Connect เข้าไปที่โครงการได้ ซึ่งให้บริการโครงการทางด้านคาร์บอนต่าง ๆซึ่งเรื่องของคาร์บอนเป็นการบริหารจัดการทางรอดในอนาคตไม่ช่ทางเลือก

“บริษัทจัดทะเบียนเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าจะปรับตัวอย่างไร แล้วก็จะทำแผนในอนาคตอย่างไร แผนที่กำหนดไว้ มีระยะ 3 ปีมีตัววัดที่ชัดเจน มีแผนงานรองรับที่ชัดเจน ข้อที่ 1 คือเรื่องของารเติบโตที่จะต้องมีและควรจะเป็นการเติบโตแบบชื่อของโครงการคือ JUMP ตรงตัว เราอยากเห็นการเติบโต ส่วน PLUS ก็คือเรื่องที่ 2 และเรื่องที่ 3”

เรื่องที่ 2 ก็คือ Visibility นักลงทุนต้องมีการรับรู้ด้วย บริษัทจดทะเบียนที่ทำแผนต้องสื่อสารแผนงานที่ชัดเจนนั้นให้กับนักลงทุน ตลาดหลักทรัพย์และพันธมิตรจะร่วมกันนำบริษัทจดทะเบียนไปเสนอแผนให้กับนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทไหน หรือนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศ และไม่จำกัดรูปแบบการนำเสนอ ซึ่งจะเป็นโรดโชว์ที่ต้องเดินทางไป หรือผ่านระบบออน์ไลน์ หรือรูปแบบของแพล็ตฟอร์ม

ส่วนเรื่องที่ 3 Incentive สิทธิประโยชน์จูงใจ ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่เตรียมไว้ให้จะเป็นสิทธิประโยชน์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กองทุนพัฒนาตลาดทุน(CMDF) และผู้ที่เกี่ยวข้องมอบให้ในหลายด้านในหลายมิติ

นายอำนวยกล่าวถึงที่มาของโครงการว่า เนื่องจากตลาดทุนไทยที่ผ่านมาไม่ได้เติบโตมาก แต่ถดถอยลงเรื่อยๆ สถานะของไทยเปลี่ยนไปมากเเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค ทั้งมูลการซื้อขาย (Trending Value) เมื่อหลายปีก่อนที่สูง 7-8 หมื่นล้านบาทหรือบางครั้งเป็นแสน ปัจจุบันราวๆ 30,000 ล้านบาท หรือ Market cap ขนาดของตลาดก็ลดลง การเสนอขายหุ้นต่อประชาชนชนครั้งแรก (IPO) ก็ลดลงจากเดิมเป็นแชมป์ นอกจากนี้ความน่าสนใจของตลาดก็ค่อยๆถอยลง ทั้งในแง่ Net Profit, Profitability Ratio โดยเฉพาะ ROE

นายอำนวยกล่าวว่า ความสามารถการทำกำไรของ บจ. ลดลง ส่งผลให้ ROE เฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะ 20 ปีที่ผ่านมาจากเลขสองหลักลงมาเป็นเลขหลักเดียว ขณะเดียวกัน Valuation ของหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยในปี 2568 มี บจ. กว่า 60% ที่ PBV ต่ำกว่า 1 สะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อ ศักยภาพการเติบโตของ บจ. “นี่คือ เหตุผลที่เราจะต้องพยายามที่จะปรับปรุงหรือหาวิธีการที่เราจะ Recover”

จากการศึกษาแต่ละประเทศก็มีบริบทในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การกระตุ้นตลาดทุนที่แตกต่างกัน แต่ก็มีหลายๆ ตลาดที่ใช้หลักการใกล้เคียงกับที่ตลาดหลักทรัพย์กำลังจะใช้ไม่ว่าจะเป็นที่ ฮ่องโกง เกาหลี ไต้หวัน เบอร์ซา มาเลเซียทำกันโดยบริบทที่แตกต่างกัน แต่มี 2 ตัวอย่างที่น่าสนใจและเป็น 2 ตัวอย่างที่ตลาดหลักทรัพย์ฯใช้ สำหรับในการพัฒนาโครงการ JUMP+ ได้แก่ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ในปี 2012 ญี่ปุ่นอยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจแทบจะไม่เติบโต นายกรัฐมนตรีชินโส อาเบะ ในขณะนี้ได้ออกนโยบายลูกศรสามดอก ลูกแรก เป็นเรื่องนโยบายการเงินหมายถึงการเพิ่มเงินเข้าไปในระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการซื้อพันธบัตร ลูกที่สอง เป็นนโยบายการเพิ่ม การกระตุ้นการเพิ่มเงินลงทุนของภาครัฐเพื่อลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อเติมเงินเข้าไปในระบบ ลูกที่สามคือการปฏิรูป โครงสร้างการทำงานต่างๆ จะกระตุ้นได้เกิดการเติบโต

“ตรงนี้ที่สำคัญ เพราะพูดกันถึงเรื่อง Corporate governance ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ในนั้นมีสองเรื่องที่สำคัญ คือ เรื่องของการดูแลสิทธิประโยชน์ของผู้ต่อหุ้น ที่พูดกันถึงว่าควรจะมี ROE ไม่ต่ำกว่าระดับเท่าไร อีกเรื่องหนึ่งคือ การเปิดเผยข้อมูล บริษัทในญี่ปุ่นหลายบริษัทที่อาจจะเปิดเผยข้อมูลอาจจะยังไม่ได้ถูกใจผู้ลงทุนทั่วโลก เพราะฉะนั้นญี่ปุ่นขอแก้สองเรื่องนี้ corporate value up ของญี่ปุ่นเป็นส่วนหนึ่งที่พัฒนา เพื่อที่จะให้บริษัทจดทะเบียนกำหนดแผนงานที่ชัดเจน ประกาศเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจนและสื่อสารเป้าหมายนั้นให้กับผู้ลงทุน”

นายอำนวยกล่าวว่า ที่ญี่ปุ่นทำมีผลตอบรับค่อนข้างดี ดัชนี Nikkei สมัยนั้นอยู่ที่ประมาณ 10,000 จุดแต่ปัจจุบันใกล้ 40,000 จุด โครงการ corporate value up เป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลญี่ปุ่น

นอกจากโครงการด้าน supply แล้ว ญี่ปุ่นยังมีโครงการ NISA Nippon Individual Saving Account โครงการนี้เป็นโครงการที่ให้สิทธิประโยชน์กับประชาชนคนญี่ปุ่นสามารถที่จะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นและลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว โดยที่ผลตอบแทนจากหุ้นที่ไปลงทุนนั้นสามารถที่จะได้รับยกเว้นภาษี capital gain tax และภาษีเงินปันผล “ญี่ปุ่นยังเก็บภาษี capital gain tax แต่ผู้ที่เข้าโครงการนี้ไม่ต้องเสียภาษีและได้รับสิทะธิประโยชน์ภาษีเงินปันผลด้วย”

ทางด้านเกาหลีใต้ ช่วงนี้มีการพูดกันว่า เกาหลีใต้มี Korean Discount คือ มูลค่าการซื้อขายหุ้น มูลค่าหุ้นในเกาหลีเมื่อเทียบกับประเทศที่ใกล้เคียง ทั้งไต้หวัน ญี่ปุ่น มีส่วนต่าง จึงเรียกตรงนี้ว่า Korean Discount รัฐบาลเกาหลี ไม่ว่ายุคสมัยของประธานาธิบดีคนไทน มีความตั้งใจเดียวกัน คือ จะเปลี่ยนจาก Korean Discount เป็น Korean Premium

“สิ่งที่เขาทำ คือเรื่องของ Corporate Value Up ที่เปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเกาหลีสามารถที่จะเข้าร่วมโครงการ จัดทำแผนในอนาคตและสื่อสารให้กับผู้ลงทุนให้เห็นภาพอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็น แชโบล (Chaebol กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในเกาหลีใต้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจสูง  ) ก็ต้องขยับตัว เพื่อที่จะปรับ governance จัดทำแผนงานในอนาคต แล้วก็กำหนดข้อมูลในการเปิดเผยกับผู้ลงทุน เกาหลีเพิ่งทำไป อาจจะยังไม่ได้เห็นผลชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะสนับสนุนให้บริษัทในกลุ่มดำเนินการ โดยให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ”

นายอำนวยกล่าวเพิ่มเติมว่า เกาหลีก็ทำทั้งสองด้าน โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเงินปันผลด้วย “เพราะฉะนั้นทั้งสองประเทศที่เราดูเป็นตัวอย่าง ก็เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ที่เราอยากที่จะชวนมาร่วมโครงการJUMP+ นี้”

ภายใต้โครงการJUMP+ ขั้นตอนแรก เป็นการวิเคราะห์ฐานะการเงินและผลกำไรของบริษัท โดยมีแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้น โดยสถาบันศศินทร์ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ฐานะการเงิน ผลกำไร สภาพคล่องของบริษัท เปรียบเทียบกับเทียบกับบริษัทระดับบน top tier แสดงให้เห็นว่าบริษัทอยู่ในระดับไหนในแต่ละมิติ บริษัทจดทะเบียนสามารถนำผลการวิเคราะห์นั้นไปประกอบในการตัดสินใจ จัดทำ หรือปรับปรุงแผนงานได้

ขั้นตอนที่ 2 คือ การจัดทำแผน “เราออกโครงการในวันนี้เพื่อที่จะให้บจ.สามารถที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมการของแต่ละแห่งว่าจะเข้าร่วมโครงการกับเราหรือไม่ เราก็เชิญชวนให้เข้าร่วม แล้วก็ให้มีการจัดทำแผนและเสนอแผนให้กับผู้ลงทุน หลังจากนั้นขั้นตอนที่ 3 เมื่อจัดทำแผนเสร็จ เสนอแผนให้กับผู้ลงทุนเสร็จ ก็มีการปฏิบัติตามแผนและก็รายงานความคืบหน้าตามแผน”

นายอำนวยกล่าวว่า ตลาดฯต้องการให้บริษัทจดทะเบียน 2 กลุ่มเข้าร่วมโครงการ JUMP+ กลุ่มแรกบริษัทที่อาจมีการเติบโตไม่มากนักในอดีต เพื่อที่จะปรับปรุงหรือว่าตั้งเป้าหมายในการเติบโตในอนาคต 3 ปี และนำไปพบกับนักลงทุนทั่วโลก อีกกลุ่มหนึ่งคือบริษัทขนาดใหญ่ เท่าที่ได้รับการตอบรับจากหลายบริษัท คือ ทุกรายมีแผนอยู่แล้ว จึงอยากชักชวนให้เข้าโครงการและตลาดฯจะนำไปพบกับนักลงทุนทั่วโลกซึ่งจะมีส่วนทำให้ผู้ลงทุนทั่วโลกเข้าใจเป้าหมายของบริษัทได้อย่างชัดเจนขึ้น

“ตลาดฯตั้งเป้าหมายว่าจะมีบริษัทจดทะเบียน 50-100 บริษัทเข้าร่วมโครงการ โดยคุณสมบัติในการเข้าร่วมโครงการ คือ 1)เป็นบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai 2) ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย(CB, CS, CC, CF, NP, SP) 3) ไม่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน และ 4)ไม่ถูกสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษ ภายในระยะเวลา 5 ปี ก่อนวันที่สมัคร”

บริษัทจดทะเบียนที่สนใจ สามารถLogin เข้าสู่ระบบ SETLink เพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการและจัดทำแผน JUMP+ หรือหากยังไม่สนใจสามารถใช้แอปพลิเคชันวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเบื้องต้นได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

สำหรับการจัดทาแผน JUMP+ ของบริษัท นายอำนวยกล่าวว่า เป็นแผนงาน 3 ปี (2569 – 2571) และอนุมัติโดยคณะกรรมการบริษัท ซึ่งตลาดฯมีข้อเสนอแนะการจัดทำแผนใน 3 มุมมอง มุมมองที่ 1 เป็นมุมมองที่มองไปข้างหน้าในด้านธุรกิจ ที่อาจจะมีการใช้นวัตกรรม พัฒนา new S-Curve หรือการกลับไปลงทุนใหม่ แต่ขอให้มีเป้าหมายในอนาคตใน 3 ปีขางหน้าให้ชัดเจน โดยเฉพาะตัวเลขตรงไปตรงมา

ในเว็บไซต์ Tokyo Stock Exchange บริษัทขนาดใหญ่ทั้ง Sony, Suntory ประกาศเป้าหมาย EBITDA ใน 3 ปีที่ชัดเจน สำหรับขตลาดไทย จากการประสานงานกับฝ่ายงาน Markey Surveillance ในกรณีที่เป็นเป้าหมายระยะกลาง เช่น ตัวเลขกำไรสิ้นปี 2569, 2570, 2571 ถ้าต้องการเปิดเผยข้อมูล ก็เปิดเผยได้ แต่ต้องมีความรับผิดชอบว่าถ้าเปิดแล้วก็ต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องอธิบาย “อยู่ที่ว่าการจัดทำแผนต้องทำบนความคาดหวังว่าสามารถที่จะกำหนดที่มาของเป้าหมาย ตั้งสมมติฐานอย่างไร ถ้าสมมติฐานนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่เราตั้งใจ ก็สื่อสารกับผู้ลงทุนให้รู้แต่เนิ่นๆ ว่าเรื่องนี้เป็นทางออกที่สามารถที่จะทำได้ แล้วก็เป็นเรื่องที่หลายประเทศก็ทำกันไม่ใช่ว่าเสนอแผนไปต้องทำตรงนั้นให้ได้อย่างเดียว”

แผนที่สองคือ governance ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องการเห็นกระบวนการการปรับปรุงด้าน governance โดยอิงกับคะแนน CGR ของ IOD ที่ได้ในปัจจุบัน และมีเป้าหมายจะปรับปรุงในแผน และหากสามารถปรับปรุงคะแนน CGR ให้ได้เกินกว่า 90% ก็สามารถได้แผนพิเศษเพิ่ม คือเข้าไปอยู่ใน CBGR ของสำนักงานก.ล.ต. อยู่ในรายชื่อที่กองทุนต่างๆสามารถลงทุนแล้วได้สิทธิประโยชน์ต่างน ในโครงการ THESG Fund

แผนที่ 3 คือ แผนการจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญต่อขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต

“กติกาอีกข้อหนึ่งที่กำหนดไว้คือตลอดระยะเวลา 3 ปีที่เข้าร่วมโครงการจะต้องรักษาคะแนน CG ไว้ไม่ให้ตกจาก CGR 3 ดาว
ในการประเมิน CGR ปี 2570 และ 2571 เพราะเราต้องการจะให้บริษัทจดทะเบียนทั้งเก่งและดี โดยได้เตรียมคู่มือจัดทำแผนที่ได้รับความร่วมมือจาก KPMG, PWC สถาบันศศินทร์ แล้วก็ Deloitte คู่มือต่างๆจะอยู่ในเว็บไซต์”

สำหรับการรายงานความคืบหน้า และสื่อสารกับผู้ลงทุน ในการรายงานความคืบหน้าให้รายงานตามรอบบัญชี ได้แก่Milestone รายไตรมาส และรายงานฉบับเต็ม Full Report รายปี และรายงานความคืบหน้าตามเหตุการณ์ เมื่อถึงกำหนด Milestone และเมื่อบริษัทมีการปรับเปลี่ยนแผนงาน ส่วนการสื่อสารกับผู้ลงทุน สามารถทำผ่านกิจกรรม Opp Day ในกรณที่เมื่อจัดทำ JUMP+ Plan และตามรอบบัญชี รายไตรมาส

โครงการ JUMP+ ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน 500 ล้านบาทจากกองทุนพัฒนาตลาดทุนหรือ CMDF จะได้รับเงินทุนสนับสนุน (Grant) เพื่อจัดทำแผนงาน JUMP+ สูงสุดไม่เกิน 5,000,000 บาท ซึ่งแยกเป็น 3 ล้านบาทแรกสำหรับแผนธุรกิจ อีก 1 ล้านบาทสำหรับแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีก 5 แสนบาทสำหรับแผน governance และ 5 แสนสำหรับการทำแผนทั่วๆไป และมีเงินรางวัล (Reward) สำหรับบริษัทที่สามารถสร้างการเติบโตได้ตามเงื่อนไขที่กาหนด สูงสุด 500,000 บาท รวมเงินสนับสนุนทั้งหมด 5.5 ล้านบาท

การสนับสนุนบริษัทที่เข้าร่วมโครงการยังครอบคลุม การเสริมสร้างองค์ความรู้ให้กับบุคลากรของบริษัท ประกอบด้วย 1)Advisory Pool ที่ขึ้นทะเบียน : สถาบันการศึกษาระดับสูง / บริษัทผู้สอบบัญชีขนาดใหญ่ / ที่ปรึกษาทางธุรกิจ 2) หลักสูตรอบรม, Workshop และกิจกรรมที่ช่วยสนับสนุนแผนงาน JUMP+ ของบริษัท

นอกจากนี้ การเพิ่ม Corporate Visibility กับผู้ลงทุน เช่น บทวิเคราะห์ ‘Analyst View บนแผน JUMP+’ ร่วมกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กิจกรรม JUMP+ Corporate Day, Corporate Roadshow และ Media Program ในรูปแบบต่าง ๆ และรางวัล JUMP+ Awards สาหรับงาน SET Awards

“เราจัดเตรียมไว้เพื่อให้บจ.มีความพร้อมในการจัดทำแผนและเสนอแผน”

การสนับสนุนจากกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ และพันธมิตร เช่น ส่วนลดค่าธรรมเนียม SET และ TSD, ส่วนลดค่าอบรมหลักสูตร IOD

การที่บริษัทจดทะเบียนเติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้ได้รับประโยชน์สูงสูง คือบริษัท ผู้ถือหุ้นของบริษัทก็จะได้ไปด้วย ตลาดทุนไทยก็จะได้ ประเทศไทยก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่ำนาน การที่เราจะปล่อยให้ภาครัฐระดมทุน ลงทุนเพื่อที่จะให้ประเทศเติบโตก็ต้องใช้เวลา ตลาดหลักทรัพยฯเห็นว่าหากบริษัทจดทะเบียนเพิ่มความน่าสนใจของบริษัทให้กับผู้ลงทุน รวมกัน 200 บริษัท 300 บริษัท ก็เป็นพลังสำคัญอันหนึ่ง ที่ทำให้ประเทศเราเติบโตได้เช่นเดียวกัน”