IMD เผยขีดความสามารถในการแข่งขันไทยร่วงทุกด้าน ประสิทธิภาพภาครัฐตกลง 8 อันดับ

IMD เผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของโลกปี 2568 World Competitiveness Ranking 2025 ชี้ประสิทธิภาพของรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขความแตกแยกทางสังคมและดูแเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยอันดับของประเทศไทยร่วงลง 5 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 30

International Institute for Management Development (IMD) จัดทำ World Competitiveness Ranking(WCR) ประจำปี 2568 เพื่อจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของ 69 ประเทศ/ เขตเศรษฐกิจ โดยจัดให้ สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ และฮ่องกง ให้เป็นเศรษฐกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุดในโลก ขณะที่แคนาดา เยอรมนี และลักเซมเบิร์ก มีการพัฒนาที่ดีขึ้นมากที่สุดใน 20 อันดับแรก

ในระดับโลก สิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์ แต่ในเอเชียแปซิฟิก สิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 1

ผลการจัดอันดับ รายงาน และสมุดปกขาวสำหรับผู้บริหารที่เกี่ยวข้องได้นำเสนอภาพภูมิทัศน์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง แต่ในระดับภูมิภาคยังคงมีความแตกต่างอยู่ แรงผลักดันใหม่กำลังเกิดขึ้นในเอเชียตะวันออก ยุโรปตะวันตก เอเชียตะวันตก แอฟริกา และอเมริกาใต้ และประสิทธิภาพของรัฐบาลกำลังกลายเป็นรากฐานสำคัญของความแข็งแกร่งในระยะยาว ประสิทธิภาพครอบคลุมถึงความคล่องตัว ความครอบคลุม และกรอบนโยบายที่มองไปข้างหน้ามุ่งเน้นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

รายงานระบุว่า ความแตกแยกทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นว่าการบริหารจัดการที่มีประสิทธิผลเป็นข้อได้เปรียบที่ชัดเจน

ในการจัดอันดับขีดความสามารถ แบ่งกลุ่มตัวชี้วัดได้เป็น 4 ปัจจัยหลัก (Factor) คือ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ(ECONOMIC PERFORMANCE) ประสิทธิภาพของภาครัฐ(GOVERNMENT EFFICIENCY) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ(BUSINESS EFFICIENCY) และโครงสร้างพื้นฐาน(INFRASTRUCTURE) แต่ละปัจจัยหลักแบ่งเป็น 5 ปัจจัยย่อย (Sub-factor)

อาร์ตูโร บริส ผู้อำนวยการศูนย์ความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ( World Competitiveness Center:WCC) ซึ่งเป็นผู้จัดทำการจัดอันดับ กล่าวว่า “สกุลเงินที่แข็งค่าขึ้นกำลังกลายมาเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จในระยะยาว ในขณะเดียวกัน การปรับโครงสร้างเครือข่ายการค้าโลกกำลังแสดงให้เห็นว่าประเทศที่เข้าถึงได้นั้นได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของตนเอง และมุมมองที่ไปในทิศทางเดียวกันกำลังเผยให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเศรษฐกิจ ซึ่งตรงกันข้ามกับผลกระทบของการแบ่งขั้วอย่างสิ้นเชิง”

3 อันดับแรกของโลกถดถอย
สวิตเซอร์แลนด์ (อันดับหนึ่ง) ยังคงแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่แข็งแกร่งและมั่นคงของประเทศ โดยยังคงเป็นผู้นำระดับโลกในด้านประสิทธิภาพและโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และครองตำแหน่งแรกในทั้งสองด้านไว้ได้

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ประสิทธิภาพในด้านอื่นๆ ก็มีความแตกต่างเล็กน้อยและอยู่ในระดับปานกลาง โดยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ(Economic Performance)ลดลงหนึ่งอันดับมาอยู่ที่ 13 และประสิทธิภาพของภาคธุรกิจก็ลดลงหนึ่งอันดับมาอยู่ที่ 6 เช่นกัน แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านี้ แต่ภาพรวมของสวิตเซอร์แลนด์ยังคงแข็งแกร่งมากในทุกมิติของความสามารถในการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระดับสูงของสวิตเซอร์แลนด์หลายคนเชื่อว่าสัญญาภาครัฐจำนวนมากที่รัฐบาลมอบให้ไม่เปิดกว้างพอสำหรับผู้เสนอราคาจากต่างประเทศ ข้อมูลหนึ่งในสามที่ใช้ในการจัดอันดับนั้นมาจากการสำรวจ โดยมีการตอบแบบสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารในท้องถิ่นจำนวน 6,162 รายจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงของ WCC ประจำปี 2025

สิงคโปร์ (อันดับสอง) ร่วงลงเล็กน้อยจากตำแหน่งสูงสุดในปี 2567 ความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ ตอกย้ำถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมุ่งสู่อนาคต ในแง่ของประสิทธิภาพของรัฐบาล สิงคโปร์ร่วงลงหนึ่งอันดับมาอยู่ที่ 3 ในด้านประสิทธิภาพทางธุรกิจ ลดลงครั้งใหญ่ที่สุด จากอันดับ 2 มาอยู่ที่ 8

อันดับสูงสุดของสิงคโปร์ในด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจนั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเติบโตของ GDP ที่สูง และการสะสมทุน รวมถึงการส่งออกสินค้าและบริการเชิงพาณิชย์ที่ดีขึ้น แรงขับเคลื่อนร่วมกันในปัจจัยย่อยของเศรษฐกิจในประเทศและการค้าระหว่างประเทศนี้มีความสำคัญเพียงพอที่จะชดเชยการลดลงเล็กน้อยในปัจจัยย่อยของการลงทุนระหว่างประเทศ (จากอันดับ 2 มาอยู่ที่ 3) และการจ้างงาน (จากอันดับ 5 มาอยู่ที่ 6)

ข้อมูลยังเผยให้เห็นว่าผู้บริหารธุรกิจในสิงคโปร์มองว่าการย้ายฐานธุรกิจเป็นภัยคุกคามสำคัญต่ออนาคตของเศรษฐกิจสิงคโปร์

เขตบริหารพิเศษฮ่องกงขยับขึ้น 2 อันดับและคว้าอันดับ 3 จากอันดับ 5 ในปี 2567 การเติบโตจากตัวชี้วัดทั้ง 4 ด้านของความสามารถในการแข่งขันเป็นปัจจัยสนับสนุนการไต่อันดับนี้ การเติบโตเหล่านี้สะท้อนถึงแนวทางแบบองค์รวมในการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน

ในฐานะตัวบ่งชี้ถึงแนวทางในการปรับปรุงต่อไป ผู้บริหารมองว่าการตรวจสอบบัญชีและการบัญชีในฮ่องกงนั้นได้รับการนำไปปฏิบัติในธุรกิจน้อยลงเรื่อยๆ

ภูมิภาคหาทางกระจายความเสี่ยง
นอกเหนือจาก 3 อันดับแรกแล้ว ทั้งรายงานและสมุดปกขาวยังชี้ให้เห็นว่าทั้ง 69 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับนั้นมีแนวโน้มแสวงหาการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์อย่างแข็งขัน โดยมีการจัดหากและคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตต่างๆ จากหลายภูมิภาคเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป

ความพยายามในการบูรณาการเศรษฐกิจระดับภูมิภาคได้เร่งตัวขึ้นเพื่อเป็นการถ่วงดุลกับการแบ่งแยกที่มากขึ้น สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้กระชับความร่วมมือให้ลึกยิ่งขึ้น ขณะที่เขตการค้าเสรีภาคพื้นทวีปแอฟริกา (AfCFTA) มีสัญญาณที่ดีในการส่งเสริมการค้าภายในแอฟริกา

ทั้งหกประเทศในแอฟริกาที่อยู่ในอันดับมีโอกาสทางเศรษฐกิจสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก โดยมีสองประเทศ (แอฟริกาใต้ 74.6% และนามิเบีย 60.6%) อยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก ทวีปนี้แสดงให้เห็นถึงความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านการศึกษา/การดูแลสุขภาพ (40.9% เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก 25.3%) ซึ่งเน้นย้ำถึงความท้าทายด้านการพัฒนาโครงสร้างของแอฟริกา

เอเชียมีผลงานที่โดดเด่นในหลายหมวดหมู่ โดยมีเศรษฐกิจ 4 แห่งติดอันดับ 10 อันดับแรกของโลกในด้านโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุดในหมวดหมู่นั้น โดยมีความเห็นต่างทางการเมืองที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย (56.1%) และความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม (57.9%) ซึ่งอย่างหลังนี้มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาอย่างรวดเร็วและความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง

“สภาพแวดล้อมภายนอกกำลังมีผลต่อเศรษฐกิจเอเชียบางส่วน ภาษีศุลกากรที่จัดเก็บกับเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกดดันผลของนโยบายที่ดี” บริสกล่าว

ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ร่วงลงจากอันดับที่ 25 ในระดับโลก และในเอเชียแปซิฟิก ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 8

ในด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 8(คะแนน 69.53) จาก 69 ประเทศ ตกลง 3 อันดับ ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐอยู่ในอันดับ 32 (55.65) ตกลง 8 อันดับ ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ อยู่ในอันดับ 24 ตกลง 4 อันดับ และโครงสร้างพื้นฐาน อยู่ในอันดับ 47 ตกลง 4 อันดับ

ในสมุดปกขาว From Government Policy to Business Acumen Strategizing Competitiveness in a Fragmented World ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ผู้บริหารธุรกิจมีสัดส่วนในการตอบแบบสอบถามสูงนั้น บ่งชี้ว่าความเหลื่อมล้ำทางสังเป็นความกังวลมากกว่าอย่างอื่น(65.1%)

ยุโรปตะวันออกเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความกังวลด้านการศึกษา/การดูแลสุขภาพต่ำที่สุด (17.6% เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก 25.3%) ผู้บริหารในละตินอเมริกากังวลเกี่ยวกับความเห็นต่างทางการเมืองมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก (81.0% เทียบกับ 57.6% ตามลำดับ)

ผู้บริหารในตะวันออกกลางมีความกังวลเกี่ยวกับโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก (47.3% เทียบกับ 41.1% ตามลำดับ) แต่ค่อนข้างผ่อนคลายกับความเห็นต่างทางการเมือง (35.1% ระบุว่าเป็นแหล่งที่มาของความแตกแยก เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 57.6%)

ยุโรปตะวันตกมีความกังวลกับความแบ่งแยกทางสังคม (51.1% เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 40.1%) โดยมี 5 ประเทศอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก นำโดยเนเธอร์แลนด์ (71.2%) นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับโอกาสทางเศรษฐกิจต่ำที่สุด (26.4% เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 41.1%) และความไม่เท่าเทียมของโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม เผชิญกับความท้าทายในการแบ่งขั้วตามอัตลักษณ์

นามิเบีย เคนยา และโอมาน ถูกเพิ่มเข้ามาในอันดับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 37 ปีของการจัดอันดับ