ศูนย์การเรียนรู้ แบงก์ชาติ ร่วมกับ สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า จัดกิจกรรม “Green Up the World” ภายใต้หัวข้อ “โลกเดือด!! จะบริหารจัดการน้ำอย่างไร” ณ โถงบันได ชั้น 1 ศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2568 โดยได้รับเกียรติจาก ‘อรรถเศรษฐ์ เพชรมีศรี’ ที่ปรึกษาของผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ชวนพูดคุยและเล่าเรื่อง ‘น้ำน้ำ’ ของประเทศไทย ตั้งแต่ความยากในการพยากรณ์ภัยพิบัติ ผลกระทบจากน้ำท่วม-น้ำแล้ง-น้ำหนุน รวมถึงทำอย่างไรให้กรุงเทพฯ รอดจากสถานการณ์น้ำ และประเทศไทยจะพร้อมรับมือกับน้ำได้อย่างไร
ฝนตก 80-100 มล. เกินความสามารถรับน้ำ กทม. ที่ 60 มล.
นายอรรถเศรษฐ์ เพชรมีศรี ที่ปรึกษาผู้ว่ากรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) และปรากฏการณ์ลานีญา ทำให้ “ฝนในปีนี้มาเร็วมาก” โดยประเทศเพิ่งประกาศเข้าฤดูฝนเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2568 แต่สถิติเดือนเม.ย. 2568 พบว่า มีปริมาณฝนมากเป็นเท่าตัวของค่าเฉลี่ย 30 ปีของกรุงเทพฯ ขณะที่ค่าเฉลี่ย 105-106 มิลลิเมตร แต่ เม.ย. กลับมีปริมาณน้ำฝน 219 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ส่วนเดือนพฤษภาคม ก็มีค่าเฉลี่ยสูงกว่า 30 ปี เกือบ 30%
อีกตัวอย่างที่สะท้อนความแปรปรวนคือ เดือนกันยายน 2565 มีฝนเฉลี่ย 800 มิลลิเมตรต่อเดือน ทำให้ทั้งปี 2565 มีค่าฝนเฉลี่ย 2,500 มิลลิเมตร ขณะที่ค่าเฉลี่ยฝน 30 ปีของกรุงเทพฯ อยู่ที่ 1,600 มิลลิเมตรต่อปี
นายอรรถเศรษฐ์ กล่าวต่อว่า กรุงเทพฯ มีเครื่องมือและขั้นตอนการรับมืออยู่แล้ว แต่ไม่สามารถรองรับน้ำฝนได้ตลอดเวลา
“กรุงเทพฯ รองรับปริมาณฝนได้จำกัดสูงสุด 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง แต่ที่ผ่านมาฝนตกในกรุงเทพฯ ไป 80 หรือ 100 มิลลิเมตร”
นายอรรถเศรษฐ์ กล่าวถึงการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งระบุว่า ปลายเดือน มิ.ย. ถึง ก.ค. ประเทศไทยอาจเจอกับฝนทิ้งช่วง ยิ่งกว่านั้น กรมอุตุฯ ยังไม่ประกาศ และบอกไม่ได้ว่าในปี 2568 จะต้องตั้งรับกับพายุกี่ลูก ซึ่งปกติแล้วต้องตั้งรับพายุ 2 ลูกต่อปี

ปี 68 น้ำเหนือมามาก แต่ไม่น่าวิตก
นอกจากนี้ ในปี 2568 ยังมีปริมาณน้ำเข้าเขื่อนมากกว่าปีก่อน โดยเฉพาะน้ำเหนือที่ไหลเข้า 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิตติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ สะท้อนให้เห็นว่า ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามี ‘น้ำเหนือ’ มาจากทางภาคเหนือค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำเหนืออยู่ในจุดที่รับมือได้และไม่น่าวิตก
นายอรรถเศรษฐ์ เล่าถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ว่ามีสาเหตุมาจากน้ำเหนือ ว่า “หลังจากปี 54 เรามีเขื่อนสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ระยะทางรวม 80 กิโลเมตร พอปี 54 ถึงปัจจุบัน เรายกตัวเขื่อนขึ้นมา 50 เซนติเมตร ปัจจุบันตัวเขื่อนระดับ 3.50 + 3.50 เมตร แต่ในปี 54 สูงสุดเพียง 2.6 – 2.7 เมตร ฉะนั้นปัจุบันเรามีพื้นที่พักน้ำค่อนข้างเยอะ และรับน้ำได้ค่อนข้างเยอะ”
นายอรรถเศรษฐ์ เสริมว่า กรุงเทพฯ สามารถรองรับปริมาณน้ำสูงสุดที่ไหลผ่านเข้าแม่น้ำเจ้าพระยาได้ 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และแม้วันนี้เราจะเห็นน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงมีระดับสูง แต่สถานีบางไทรของกรมชลประทาน ก็ผันน้ำเพียง 800 ลบ.ม. ต่อวินาที จึงยังห่างไกลอีกจากจุดที่น่ากังวล
ที่สำคัญ จากเหตุการณ์ปี 54 ถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 14 ปี ทำให้ กทม. มีเครื่องมือและบทเรียนที่จะรับน้ำเหนือและน้ำฝนในคราวเดียวกันได้
กทม. คือแอ่งกระทะ 1.5 พัน ตร.กม. – 1,980 คลอง – ฝั่งธนสูงกว่าพระนคร
นายอรรถเศรษฐ์ ให้ข้อมูลว่า กทม. มีพื้นที่ 1,585 ตร.กม. แบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งพระนครประมาณ 900 ตร.กม. และฝั่งธนบุรีอีก 600 ตร.กม. โดยจุดที่มีระดับสูงสุดคือพื้นที่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา มีความสูง 1.50 เมตร ขณะที่จุดต่ำสุดคือบริเวณหัวหมาก รามคำแหง ความสูงต่ำกว่าระดับเจ้าพระยา 0.30 เมตร หรือ -0.3 โดยกรุงเทพฯ มีสภาพภูมิศาสตร์เป็นแอ่งกระทะ เมื่อวัดจุดที่สูงสุดกับจุดต่ำสุดจะมีระดับความต่างถึง 1.80 เมตร
ขณะที่ ‘สถานีสูบน้ำ’ คือหัวใจหลักที่ระบายน้ำออกไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ตามด้วยเส้นเลือดใหญ่คือคลอง และเส้นเลือดฝอยคือท่อระบายน้ำ
“กรุงเทพฯ มีคลองทั้งหมด 1,980 คลอง ความยาวรวมกัน 2,600 กิโลเมตร ท่อระบายน้ำบนถนนสาธารณะมากกว่า 6,500 กิโลเมตร ถ้ากรุงเทพจะไม่ท่วม สถานีสูบน้ำต้องดี คลองต้องดี โดยเฉพาะคลองสายหลัก ดังนั้น เราขุดลอกเพื่อต้องการกดระดับคลองที่ -3 คลองสายรอง -2 ท่อระบายน้ำ -1.5”
“ฝั่งธนบุรีสูงกว่าฝั่งพระนคร มันจะเป็นแอ่งน้ำไม่สามารถไหลตามธรรมชาติ ต้องใช้เครื่องสูบน้ำเท่านั้น กำลังสูบน้ำออกแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งรวมกัน 1,300 ลบ.ม.ต่อวินาที”

นายอรรถเศรษฐ์ เล่าว่า “ปี 2528 ตอนรามคำแหงน้ำท่วมเป็นทะเล ร.9 เกิดโครงการแก้มลิงบึงหนองบอน เพื่อเป็นพื้นที่ซับน้ำจากถนนศรีนครินทร์-รามคำแหงทั้งหมด ปัจจุบันมีความจุ 5 ล้านลบ.ม. อีกจุดเป็นอุโมงค์พระราม 9 ตัดระหว่างคลองแสนแสบกับคลองลาดพร้าว เรียกว่าสะดือกรุงเทพ เพราะอยู่ระหว่างสองคลองพอดี”
ทั้งนี้ คลองสายหลักฝั่งพระนคร 4 คลอง ได้แก่ คลองเปรมประชากร คลองแสนแสบ คลองลาดพร้าว และคลองประเวศบุรีรมย์
อีกหนึ่งสถานที่สำคัญคือ สนามบินสุวรรณภูมิ แม้จะติดกับสมุทรปราการซึ่งอยู่สูงกว่ากรุงเทพฯ แต่ด้วยโจทย์ที่ว่า “สนามบินสุวรรณภูมิ ท่วมไม่ได้” ทำให้รอบสนามบินมีคลองล้อมรอบ เช่น คลองจระเข้น้อย คลองจระเข้ใหญ่ ฯลฯ
ทั้งนี้ นายอรรถเศรษฐ์ ให้ข้อมูลว่า กทม. ต้องจ่ายค่าไฟ 600 ล้านบาทต่อปีในการจ่ายไฟให้เครื่องสูบน้ำ
อุโมงค์ป้องกันกรุงเทพฯ จม
นายอรรถเศรษฐ์ กล่าวถึงอุโมงค์ระบายน้ำว่า ปัจจุบันมีอุโมงค์ที่ทำงานเต็มประสิทธิภาพ 4 อุโมงค์ ได้แก่ อุโมงค์คลองเปรมประชากร อุโมงค์มักกะสัน อุโมงค์พระรามเก้า และอุโมงค์บางซื่อ ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 200 ตารางกิโลเมตร ความสามารถในการระบายน้ำรวม 195 ลบ.ม. ต่อวินาที
“ถ้าไม่มี 4 อุโมงค์…กรุงเทพจม เพราะเราไม่สามารถสร้างสถานี (สูบน้ำ) ริมน้ำได้ แต่อุโมงค์เป็น short cut หรือทางด่วนน้ำที่เอาน้ำออกได้เร็วที่สุด”
นายอรรถเศรษฐ์ กล่าวต่อว่า ปีนี้จะมีอุโมงค์เพิ่มมาใหม่ คืออุโมงค์บึงหนองบอน ซึ่งความเป็นจริงต้องเสร็จตั้งแต่ปี 2565 แต่เกิดอุบัติเหตุอุโมงทรุดและถล่ม ทำให้ต้องซ่อมแซมและคาดว่าจะเปิดใช้งานได้ในปีนี้
ส่วน 3 อุโมงค์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ (1) อุโมงค์เปรมประชากรส่วนต่อขยาย จากบางบัวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา (2) อุโมงค์คลองทวีวัฒนา จากทวีวัฒนาลงภาษีเจริญ และ (3) อุโมงค์พระรามเก้าส่วนต่อขยาย จากลาดพร้าว 130 มาเชื่อมต่ออุโมงค์เดิม
ผู้รุกล้ำริมน้ำและปัญหาขยะในคลอง
นายอรรถเศรษฐ์ ยังกล่าวถึงปัญหาผู้รุกล้ำในคลองโดยยกตัวอย่างคลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร ว่า
“ก่อนปี 54 มีผู้รุกล้ำคลองเปรมฯ กว่า 6 พันหลังคาเรือน คลองลาดพร้าวก็ 5-6 พันหลังคาเรือน จากเดิมคลองมีความกว้างจากระวางเดิม 35 เมตร บางพื้นที่ในเขตหลักสี่-ดอนเมือง เหลือเพียง 8-10 เมตร เพราะมีผู้รุกล้ำสองลำคลองเต็มพื้นที่ หลังจากนั้นทำเขื่อนคลองใหม่ เพื่อขยายเป็น flood way ปัจจุบันเราเอาคนขึ้นจากคลองได้กว่า 50% ตอนนี้สภาพคลองค่อนข้างดี ทำให้การไหลของน้ำดีขึ้น ซึ่งอัตราการไหลของน้ำที่ควรจะเป็นคือ 3 เมตรต่อวินาที”
เมื่อถามว่า ปัจจุบันอัตราการไหลของน้ำอยู่ที่ 3 เมตรต่อวินาที ทุกคลองหรือไม่ นายอรรถเศรษฐ์ ตอบว่า ไม่ทุกคลอง เพราะคลองที่มีผู้รุกล้ำมาก คนกลุ่มนี้จะใช้คลองเป็นที่ทิ้งขยะ ทำให้เวลาฝนตกหน้าสถานีสูบน้ำกทม. จะเต็มไปด้วยขยะทั้งคลอง ทั้งนี้ คลองในกรุงเทพ มีขยะประมาณ 27 ตันต่อวัน
นายอรรถเศรษฐ์ เสริมว่า หลังจากเอาคนขึ้นจากคลองแล้ว ยังช่วยลดปัญหาขยะ เห็นได้จากคลองลาดพร้าว ซึ่งก่อนการพัฒนามีขยะ 10 ตันต่อวัน แต่หลังจากพัฒนาแล้วขยะก็ลดลงครึ่งหนึ่ง
“เราพัฒนาทำให้เกิดเขื่อนคลองและ flood way ใหม่ ขยายแนวคลองและความกว้างให้ได้ 30 เมตร ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น แต่มันต้องใช้เวลา”
นอกจากนี้ นายอรรถเศรษฐ์ เสริมว่า ปัญหาการบริหารจัดการน้ำคือ ‘เรือโดยสาร’ เพราะทำให้คุมระดับน้ำค่อนข้างยาก หากน้ำสูงไปเรือก็ลอดใต้สะพานไม่ได้ หรือต่ำไปเรือก็เดินไม่ได้ ทำให้ flood way ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
KPI กทม. น้ำรอระบายไม่เกิน 1 ชั่วโมง
“ทุกวันนี้ยังมีน้ำรอระบาย แต่มันจะไวขึ้น ในสมัยผู้ว่าฯ ชัชชาติมีคอนเซ็ปต์ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง เป็น KPI คนทำงานเลยว่ารอระบายได้ แต่ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมง ตกกลางคืนเช้าต้องแห้งเพื่อให้รถวิ่งได้ หลักการแล้วน้ำในถนนสายหลักต้องระบายก่อน เพื่อให้ประชาชนสัญจรได้ แล้วตามชุมชนค่อยๆ ลงไป”
นายอรรถเศรษฐ์ ย้ำว่า “หน้าฝนปีนี้ น้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ แน่นอน แต่รอระบาย…มี จะบอกว่าไม่รอระบายเลยเป็นไปไม่ได้”
“กรุงเทพถูกออกแบบมาให้รับน้ำฝนได้ 60 มิลลิเมตร วันนี้ฝนตก 100 120 มิลลิเมตร การจะรื้อท่อระบายน้ำเก่ายุ่งยากมากเพราะมีสาธารณูปโภคเต็มไปหมด ไม่ใช่เราไม่ทำ แต่เราใช้เทคโนโลยีใหม่เช่นอุโมงค์ขนาดเล็ก ระบบ pipe jacking ดันท่อผ่านสาธารณูปโภค บางทีเราเห็นว่าไม่เปลี่ยนท่อระบายน้ำหรอ ไม่ใช่ บางทีมันเป็นอุโมงค์ขนาดเล็กหมดเลย”
“ขอให้ทุกคนสบายใจได้ ผมการันตีว่าปีนี้เราไม่เจอ (น้ำท่วมใหญ่) แน่ในกรุงเทพฯ แต่รอระบายจะเร็วขึ้น ที่ผ่านมารู้สึกมันเร็วขึ้นไหม มันจะดีขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะในหลายโครงการมันแล้วเสร็จและจะสัมฤทธิ์ผลในปีนี้ ฉะนั้นในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ จะดีขึ้น”
น้ำดีไล่น้ำเสีย
ผู้ฟังถามเรื่องความสกปรกและกลิ่นเหม็นคลองไส้ไก่ บริเวณรถไฟฟ้าสถานีวงเวียนใหญ่ โดย นายอรรถเศรษฐ์ ตอบว่า “พื้นที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง และเรามีโครงการโรงบำบัดน้ำเสียธนบุรี มีท่อรวบรวมน้ำเสียในคลองฝั่งธนบุรี แต่ก่อนไม่มีมาก่อนฝั่งธน มีที่เดียวคือหนองแขมคือโรงขยะ ตอนนี้ กทม. กำลังสร้าง เวลาก่อสร้างมันจะคาบเกี่ยวกับการทำรถไฟฟ้า มันเป็นปัญหาน้ำเน่า-น้ำเสีย และเรื่องรอระบายด้วยในช่วงฝนตกหนัก”
เมื่อถามว่า ทำอย่างให้น้ำใสสะอาด นายอรรถเศรษฐ์ ตอบว่า “ส่วนหนึ่งมีผู้รุกล้ำในคลอง” พร้อมเสริมว่า “ทุกคนบอกอยากให้กรุงเทพกลับมาเป็นเวนิชตะวันออก ให้มีคลองสวยเหมือนเดิม แต่สังเกตไหมว่าคลองผดุงกรุงเกษม คลองรอบกรุง คลองคูเมืองเดิม ถ้า 3 คลองนี้ดีได้ ทุกคลองดีได้ แต่ต้องรอนิดนึง ดีได้ทุกอย่างใช้เงินทำหมด 3 คลองเราใช้วิธีการฟลัดน้ำจากด้านเหนือแล้วไล่ออกหมดเลย”
“คลองหัวแหวนรัตนโกสินทร์และคลองแสนแสบ ก็ทำให้สมบูรณ์ได้ มีความหวัง ไม่ใช่ไม่มี เรารู้ว่าจะเอาน้ำตรงไหนมาไล่น้ำเสีย เอาน้ำเจ้าพระยามาไล่น้ำเสียออกไปได้ ต้องใช้น้ำปริมาณเยอะจากเจ้าพระยามาไล่น้ำเสีย ส่วนฝั่งธนก็ต้องใช้วิธี flood น้ำ”
“แต่เวลาจะไล่น้ำฝั่งธน ต้องระวังน้ำหนุน-น้ำเค็ม ในปัญหามันมีปัญหาอยู่ ด้านล่างมีประตูระบายน้ำไม่ให้น้ำเค็มรุกขึ้นมา เรียกว่าโครงการสนามชัย ก็จะปิดกั้นคลองในกรุงเทพที่เชื่อมต่อกับมหาชัย ไม่ให้น้ำหนุนขึ้นมา”
นายอรรถเศรษฐ์ ให้ข้อมูลอีกว่า กรุงเทพมีพื้นที่ทำนา 130,000 ไร่ นายกฯ สมาคมชาวนาแห่งประเทศไทยอยู่หนองจอก โดยพื้นที่ทำนาในกทม. มี 4 เขต หนองจอก ลาดกระบัง มีนบุรี และคลองสามวา
ไร้เจ้าภาพจัดการน้ำท่วม.
“เราไม่มีกระทรวงจัดการน้ำท่วม เราไม่มีหน่วยงานหรือกรมกองโดยตรง เรามีกรมชลประทาน แต่กรมชลฯ จัดการน้ำแล้ง ไม่ได้จัดการน้ำท่วม ‘น้ำแล้ง’ กับ ‘น้ำท่วม’ มันจัดการแตกต่างกัน น้ำแล้งสถานีสูบน้ำต้องเลี้ยงน้ำ ทำให้มีน้ำตลอดเวลา แต่น้ำท่วมไม่ต้องการน้ำ คลองจะต้องต่ำ ต้องพร่องน้ำตลอดเวลา มีหน่วยงานเดียวในประเทศไทยคือ ‘สำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร’”
“เคยสังเกตไหมเวลาลงทางด่วนแจ้งวัฒนะ แจ้งวัฒนะฝนตก ท่วม แต่ฝั่งกรุงเทพฯ น้ำไม่ท่วม นนทบุรีน้ำท่วม ในปริมณฑลไม่มีหน่วยงานโดยเฉพาะที่จะดูแลเรื่องน้ำ”
ผู้เข้าร่วมการเสวนาจึงถามว่า แล้วคนปริมณฑลจะดูแลตัวเองอย่างไร นายอรรถเศรษฐ์ ตอบว่า “น่าเห็นใจ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ขึ้นกับกรมทางหลวง แต่เขาไม่ได้มีหน้าที่ดูน้ำโดยตรง หรือพื้นที่ในกรุงเทพมีก็มีกรมทางหลวงดูแล แจ้งวัฒนะ วิภาวดี รังสิต บางนาตราด กรุงเทพฯ ก็เข้าไปทำอะไรไม่ได้”
“กรุงเทพมีสตรีทฟูดเยอะมาก เราก็พยายามรณรงค์เรื่องถังดักไขมัน ไม่งั้นท่อระบายน้ำจะแตกต่าง หน้าตลาดเราต้องไปลอก 4 ครั้ง แต่พื้นที่อื่นปีละครั้ง ต้องลอกเยอะขึ้น ถ้ามีถังดักไขมันมันก็จะลดลงเส้นเลือดฝอยจะดีขึ้น และพยายามแยกขยะ”

ผู้ว่า 4 ปีไม่พอ – รัฐบาลต้องทำแผนระยะยาว
เมื่อถามถึงแผนรับมือการกัดเซาะชายฝั่งเขตบางขุนเทียน นายอรรถเศรษฐ์ ตอบว่า “วันนี้กรุงเทพกลัวฝนมากกว่า (กัดเซาะชายฝั่ง) ปริมาณฝนมันเยอะผิดปกติ ระดับ 100 มิลขึ้นไปมันผิดจากเมื่อก่อนค่อนข้างเยอะ”
ส่วนการทำแผนของ กทม. เพื่อรับมือกับ climate change นายอรรถเศรษฐ์ ตอบว่า “ผมไม่รู้ว่าจะเอาตัวเลขไหนเป็นตัวตั้ง แต่เราดูโปรไฟล์คลองและเอาพื้นที่เป็นตัวกำหนดในพื้นที่อิทธิพล สมมติต้องเจาะแต่ละพื้นที่ เช่นอุโมงค์ประเวศบุรีรมย์ อิทธิพลที่เราสร้างคือการลำเรียงน้ำเป็น short cut แต่การรับ rain bomb ในพื้นที่ใหญ่ยาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะตกมา 150 หรือ 180”
ถามต่อว่า กทม.ได้ใช้วิธีการ nature-based solution ในการบริหารด้วยอย่างไร นายอรรถเศรษฐ์ ตอบว่า “พื้นที่สองฝั่งไม่เหมือนกัน ฝั่งพระนครบริหารยาก เพราะพื้นที่ดินมันไม่มีแล้ว เป็นซีเมนต์หมดแล้ว การสร้าง nature-based ยาก แต่ต้องพยายามทำ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้กเกิดการซับน้ำคือวิธีบริหารคลองง่ายกว่า ใช้คลองเป็นแก้มลิงซับน้ำ”
ผู้ฟังถามถึงแผนระยะยาวของ กทม. นายอรรถเศรษฐ์ ตอบว่า “แผนระยะยาว เราไม่รู้ว่า 4 ปีต่อไปใครจะเป็นคนบริหาร ผมก็เลยตอบไม่ได้ แผนระยะยาวรัฐบาลกลางเป็นผู้ดูแล ผมว่า วาระผู้ว่า 4 ปีมันน้อยไป ถ้าผู้ว่า 8 ปี กำลังดี มันจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน โครงการระบายน้ำขนาดใหญ่ไม่สามารถทำเสร็จภายใน 1 ถึง 2 ปี บางทีคลองเดียวใช้เวลาเป็น 10 ปี คลองเปรม ลาดพร้าวใช้เวลาเป็น 10 ปี”
นายอรรถเศรษฐ์ อธิบายว่า หน่วยงานสูงสุดที่ดูแลเรื่องน้ำของประเทศคือ คณะกรรมการน้ำแห่งชาติ (กนช.) ตามด้วยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้น ผู้กำหนดทิศทางแผนระยะยาวต้องเป็นรัฐบาลกลาง ดำเนินการผ่าน กนช. จึงค่อยส่งมาที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
“โครงการระยะยาวใช้เงินเยอะ กทม.กับรัฐบาลไม่เหมือนกัน กทม. ทำงบขาดดุลไม่ได้ มันเลยวางโครงยาวไม่ได้ มันต้องทำงบเสมอดุลตลอดเวลา มีรายได้ 1 แสนก็ต้องทำ 1 แสน เกินไม่ได้ กู้ไม่ได้”
ผู้ฟังถามต่อว่า ทำไม กทม.ไม่บริหารจัดการน้ำเหมือนกับประเทศนิวซีแลนด์หรือสิงคโปร์ ที่ป้องกันน้ำได้ถาวร นายอรรถเศรษฐ์ ตอบว่า “กทม. ไม่ได้มีความรับผิดชอบโดยตรง เป็นเรื่องรัฐบาลกลาง กทม.เป็นเจ้าของพื้นที่และของงบอุดหนุน”