
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
เลื่อนประชุม ครม.เป็น 27 มี.ค.นี้ สั่ง รมต.เตรียมข้อมูลรับศึกซักฟอก
นายจิรายุ รายงานว่า เลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า การประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้าจะเลื่อนจากวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2568 ออกไป เป็นวันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2568 เนื่องจากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในวันจันทร์ที่ 24 – วันพุธที่ 26 มีนาคม 2568
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีขอให้รัฐมนตรีทุกท่านได้เตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยให้เตรียมข้อมูลให้พร้อมในทุกมิติของส่วนราชการที่อาจจะมีการอภิปรายไปถึงทุกกระทรวง เพื่อชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
สั่ง ศธ. – อว. คุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ มีข้อสั่งการเรื่องการจัดการบุหรี่ไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาลว่า มาตรการจัดการปัญหาและควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของรัฐบาลนั้น นายกรัฐมนตรีได้เชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้มอบหมายให้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นปัญหาที่กระทบต่อสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กและเยาวชน โดยได้เน้นย้ำให้จับกุมและลงโทษผู้ผลิต ผู้นำเข้าและผู้ขาย และหน่วยงานราชการที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างเด็ดขาด
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ขอให้กระทรวงศึกษาธิการ และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่นักเรียน เพื่อให้ทราบถึงผลเสียของการใช้บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งอาจจะขยายไปสู่การใช้สารเสพติดประเภทอื่นได้
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ กำชับให้ทางกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินการร่วมกันในทุกมิติเพื่อแก้ไขปัญหา โดยนางสาว ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม รายงานว่า กระทรวงฯ ได้ออกมาตรการและกำชับให้ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา ตระหนักว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากตรวจพบว่าบุคลากรทางการศึกษาคนใดปล่อยปละละเลย หรือรู้เห็นเป็นใจ หรือ ยังนำบุหรี่ไฟฟ้ามาใช้จะถูกดำเนินการทางกฎหมายและทางวินัย เพราะบุคคลเหล่านี้จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชน
โชว์ผลงาน 15 วัน ยึดบุหรี่ไฟฟ้า 9 แสนชิ้น 120 ล้าน
ทั้งนี้ นายจิรายุ ให้ข้อมูลว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ หลังจากที่รัฐบาลได้สั่งการเรื่องปราบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ตัวเลขสถิติการปราบปรามอย่างเห็นผลเป็นที่น่าพอใจ มีการดำเนินคดีในช่วงเวลา 15 วัน ถึง 1,078 คดี ผู้ต้องหา 1,104 คน จำนวนของกลาง 900,444 ชิ้น มูลค่าของกลางกว่า 120 ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะไปตรวจและเป็นประธานในการทำลายของกลางภายในสัปดาห์นี้

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th
นอกจากนี้ เวลา 11.40 น. ณ โกดัง อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ติดตามความคืบหน้าการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย หลังชุดสืบนครบาล IDMB บูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครองจังหวัดนนทบุรี เปิดปฏิบัติการ “Operation Smoke Out” ปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีจำนวน 10 จุด ผลการตรวจค้น สามารถตรวจยึดของกลาง เป็นบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องรวมกันกว่า 260,000 รายการ มูลค่ารวมกว่า 130,000,000 บาท โดยมี นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย
ปลื้มชาวประมงขอบคุณรัฐบาลจัดโครงการนำเรือออกนอกระบบ
นายจิรายุ รายงานว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ บริเวณด้านหน้า ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง นำคณะกรรมการบริหารสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย (1) นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย (2) นายกำจร มงคลตรีลักษณ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย (3) ดร.ปรีชา ศิริแสงอารำพี ที่ปรึกษาสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย (4) นางสุภาวดี โชคสกุลนิมิต ที่ปรึกษาสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอบคุณนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่มีมติอนุมัติโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน รวมทั้งมอบช่อดอกไม้และกระเช้าอาหารทะเลแห้งให้เป็นของที่ระลึก เพื่อเป็นการขอบคุณต่อความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนให้กับพี่น้องชาวประมง
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ กล่าวยืนยันว่า อะไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน รัฐบาลจะพยายามดำเนินการทำอย่างเต็มที่ รวมถึงจะเร่งผลักดันสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เพื่อพัฒนาประมงไทยต่อไป
มติ ครม.มีดังนี้

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
จัด “เออร์ลี่รีไทร์” ตำรวจ เบรกนายพล ‘เลื่อนแค่ยศ –เงินเดือนไม่ขึ้น’
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าวันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล หรือ “เออร์ลี่รีไทร์” ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เสนอ ดังนี้
1. เพิ่มรอบการดำเนินโครงการ รอบ 1 เมษายน โดยมีผลในการลาออกจากราชการ ตามโครงการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนด้วย นอกเหนือจากรอบ 1 ตุลาคม ของแต่ละปีเฉพาะกรณีผู้มียศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท
2. ต้องมีระยะเวลาครองยศพลตำรวจตรี หรือ พลตำรวจโทมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ 31 มีนาคม ของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ 1 เมษายน) หรือ ครองยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโทมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ 30 กันยายนของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ 1 ตุลาคม) ทั้งนี้ หากเป็นการได้รับการแต่งตั้งยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท ในการแต่งตั้งตามวาระประจำปี ให้เริ่มนับเวลาการครองยศนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ของวาระประจำปีนั้น
3. มีเวลาราชการเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่ 1 เมษายน หรือ 1 ตุลาคม แล้วแต่กรณี
4. สำหรับคุณสมบัติและเงื่อนไขอื่น ๆ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องที่จะพึงได้รับตามโครงการ ให้เป็นไปตามแนวทางเดิม
นายจิรายุ กล่าวว่า “สำหรับสิทธิประโยชน์ของนายตำรวจที่เข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์จะได้รับการขอพระราชทานยศ หรือ เลื่อนยศสูงขึ้นเป็นกรณีพิเศษ โดยไม่มีการปรับระดับเงินเดือนสูงขึ้นตามยศใหม่ ยกเว้นข้าราชการตำรวจยศพันตำรวจเอก และมีสิทธิได้รับใบประกาศเกียรติคุณทำนองเดียวกันกับผู้เกษียณอายุ ซึ่งจากการสำรวจนายตำรวจที่จะเข้าในโครงการนี้จะมีตำแหน่งสำคัญยศพลตำรวจโท 13 นาย พลตำรวจตรีอีก 50 นาย”
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ตร. ได้ดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพลมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบันมาแล้วกว่า 25 รุ่น โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังพลให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (ไม่มีการยุบเลิกตำแหน่ง) และเป็นมาตรการหนึ่งในการบำรุงเสริมสร้างขวัญกำลังใจและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานรวมทั้งเป็นการประหยัดงบประมาณของรัฐด้วย ทั้งนี้ ในระยะที่ผ่านมา ผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดซึ่งสมัครใจเข้าร่วมและได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการตามโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล จะมีผลในการลาออกตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมของปีงบประมาณที่ดำเนินการ และจะได้รับสิทธิประโยชน์ตอบแทนเป็นพิเศษ เช่น การได้รับการเสนอขอพระราชทานยศ/เลื่อนยศ สูงขึ้น 1 ชั้นยศ เป็นกรณีพิเศษ การได้รับใบประกาศเกียรติคุณทำนองเดียวกับผู้เกษียณอายุราชการ
2. เพื่อให้การดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพลสามารถบรรลุ ตามวัตถุประสงค์ของโครงการมากยิ่งขึ้น ตร. จึงได้ปรับปรุงเพิ่มเติมหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการใหม่ และในคราวประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมดังกล่าว ได้มีมติเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์แนวทางดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล ตามที่ ตร. เสนอ ดังนี้
-
2.1 เพิ่มรอบการดำเนินโครงการ รอบ 1 เมษายน โดยมีผลในการลาออกจากราชการตามโครงการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนด้วย นอกเหนือจากรอบ 1 ตุลาคม ของแต่ละปี เฉพาะกรณีผู้มียศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท
2.2 ต้องมีระยะเวลาครองยศพลตำรวจตรี หรือ พลตำรวจโทมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ 31 มีนาคม ของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ 1 เมษายน) หรือ ครองยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโทมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ 30 กันยายนของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ 1 ตุลาคม) ทั้งนี้ หากเป็นการได้รับการแต่งตั้งยศพลตำรวจตรี หรือ พลตำรวจโท ในการแต่งตั้งตามวาระประจำปี ให้เริ่มนับเวลาการครองยศนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ของวาระประจำปีนั้น
2.3 มีเวลาราชการเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่ 1 เมษายน หรือ 1 ตุลาคม แล้วแต่กรณี
2.4 สำหรับคุณสมบัติและเงื่อนไขอื่น ๆ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องที่จะพึงได้รับตามโครงการ ให้เป็นไปตามแนวทางเดิม
ทั้งนี้ สามารถสรุปเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพลได้ ดังนี้
ปรับวิธีคำนวณภาษีมรดก “หุ้นนอกตลาดฯ”
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก (ฉบับที่..) พ.ศ. … ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็น การแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าหุ้นของบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) โดยให้คำนวณมูลค่าหุ้นที่ต้องเสียภาษีการรับมรดกเท่ากับมูลค่าทางบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับกรรมสิทธิในหุ้นนั้น
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ดังกล่าว เพื่ออำนวยความสะดวกและลดความซับซ้อนให้แก่ผู้ได้รับมรดกที่มีหน้าที่เสียภาษี การรับมรดก และเจ้าพนักงานประเมินในการคำนวณและตรวจสอบการคำนวณมูลค่าหุ้น รวมทั้งจะเป็นการดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักภาษีอากรที่ดี
ทั้งนี้ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับในร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีดังนี้
-
1. ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีภาระการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีลดลง โดยไม่มีภาระเกินสมควร
2. การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดกมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน และสามารถปฏิบัติตามได้ง่าย
3. เจ้าพนักงานประเมินสามารถตรวจสอบการคำนวณภาษีได้อย่างรวดเร็วขึ้น และอยู่ในกำหนดเวลา อันทำให้ผู้ที่เสียภาษีทราบอย่างรวดเร็วขึ้นด้วยว่าคำนวณภาษีถูกต้องหรือไม่
4. ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีความสมัครใจในการเสียภาษีเพิ่มขึ้น
จัดงบฯ 2,838 ล้าน ช่วย กยศ.จ่าย ‘ค่าเทอม – ค่าครองชีพ’ นักศึกษา
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษา ด้วยการให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาแก่นักเรียน/นักศึกษา ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ โดยมีวงเงิน 2,838.6492 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียน หรือ นักศึกษาของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยเป็นค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพระหว่างการศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 (เริ่มดำเนินการให้กู้ยืมตั้งแต่เดือนเมษายน 2568) และให้ กยศ. เร่งดำเนินนโยบายในการกระตุ้นการชำระหนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามขั้นตอนทางกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ เพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่มีวงเงินมากกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งระเบียบว่าด้วยการบริหารงประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ข้อ 9 (3) กำหนดให้หน่วยรับงบประมาณนำเรื่องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว
ผ่าน กม.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว – เพิ่มโทษ 10 เท่า
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระพรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฯ ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 เพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงมากขึ้น โดยปรับนิยามความรุนแรงในครอบครัวที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น นอกจากจะหมายถึงการทำร้ายร่างกาย จิตใจ สุขภาพแล้ว ยังรวมถึงการล่วงเกิน หรือ คุกคามทางเพศและการกระทำที่มุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ สุขภาพ หรือ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยสำหรับการลงโทษได้เพิ่มอัตราโทษปรับในความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย การดูหมิ่น หรือ การบังคับให้กระทำ หรือ ไม่กระทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย หรือ ศีลธรรมต่อบุคคลในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ (เดิม ปรับไม่เกิน 6,000 บาท) และ
หากมีการกระทำความผิดซ้ำภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ได้กระทำความผิดครั้งก่อน หรือ กระทำต่อเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ผู้กระทำจะต้องรับโทษหนักกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง รวมถึงกำหนดมาตรการเพื่อให้ผู้ถูกกระทำได้รับความช่วยเหลือจากกลไกที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายอย่างเหมาะสม เช่น เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการกระทำความผิดซ้ำ ให้ผู้ที่จะถูกกระทำหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวให้มีคำสั่งห้ามมิให้กระทำการนั้น และออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพเพื่อคุ้มครองผู้ที่จะถูกกระทำตามสมควรแก่กรณี (เดิม ไม่ได้กำหนดไว้)
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์และระยะเวลาการร้องทุกข์ และกำหนดมาตรการเพิ่มเติม เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพผู้ที่จะถูกกระทำ ด้วยความรุนแรงในครอบครัว และป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีความครอบคลุม และสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และการดำเนินการ แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษ
ในคราวประชุมคณะกรรมการปรับปรุงพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนา และคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว รวมทั้งได้จัดทำแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจำนวน 2 ฉบับ
แก้ กม.อาญา เพิ่มฐานความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ 5 ประเภท
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สืบเนื่องจากกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี ด้านการสื่อสาร และคอมพิวเตอร์ในสื่อออนไลน์ ซึ่งมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และยังไม่สามารถดำเนินการคุ้มครองสิทธิเด็ก และเยาวชน จากการตกเป็นเหยื่อของการกระทำความผิดต่อเด็ก และเยาวชนผ่านทางสื่อออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในการกระทำความผิด โดยเฉพาะการกระทำความผิดต่อเด็ก และเยาวชน ซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถถูกล่อลวง และตกเป็นเหยื่อของผู้กระทำความผิดได้โดยง่าย อีกทั้งการกระทำความผิด โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลยังกระทำได้อย่างไร้พรมแดนและยากที่จะควบคุม
ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … (การกระทำผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมความผิดเกี่ยวกับเพศ และความผิดต่อเสรีภาพตามประมาลกฎหมายอาญา เพื่อกำหนดการกระทำผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งกำหนดเพิ่มเติมฐานความผิดในประมวลกฎหมายอาญาไว้ 5 ประเภท ดังนี้
-
1. การล่อลวงเด็ก เพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ
2. การพูดคุยเรื่องเพศไม่เหมาะสม
3. การแบล็กเมลทางเพศ
4. การติดตามคุกคาม
5. การกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์
กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานกิจการยุติธรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทำร่างกฎหมาย และเปิดเผยสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์ดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบด้วยแล้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยในหลักการ
กำหนด มอก. ‘เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน’ งานโครงสร้างทั่วไป
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไปต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ… ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1479 – 2558 โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. มอก. 1479 – 2566 เนื่องจากประกาศใช้มาเป็นเวลามากกว่า 5 ปี และข้อกำหนดอันเป็นสาระสำคัญในเอกสารที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดมาตรฐานดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลง และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป มีขอบข่ายครอบคลุมถึงเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน ทั้งเหล็กกล้าไม่เจือและเหล็กกล้าเจือ (unalloyed and alloy steels) สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป เช่น สะพาน เรือ ล้อเลื่อน จึงเห็นควรแก้ไขปรับปรุงมาตรฐานให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามมาตรฐานอ้างอิงที่มีการปรับปรุงใหม่เพื่อให้รองรับการพัฒนาเทคโนโลยีการทำ และการใช้งานภายในประเทศ และมีข้อกำหนดเพื่อควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ดีและรัดกุมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่กิจการอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ทำหรือผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไปจะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้า ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป จะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ผ่านร่าง กม.จัดตั้งสภาฯกำกับดูแลวิชาชีพรังสีเทคนิค
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพรังสีเทคนิค พ.ศ. …. และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ปัจจุบันการประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิค เป็นการประกอบโรคศิลปะสาขาหนึ่งที่อยู่ในความควบคุมตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบโรคศิลปะในเชิงนโยบายของการประกอบโรคศิลปะสาขาต่าง ๆ และมีคณะกรรมการวิชาชีพสาขาต่าง ๆ ทำหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ และควบคุมการประกอบโรคศิลปะสาขานั้น ๆ ในกรณีมีกระทำผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ อย่างไรก็ดี เมื่อวิทยาการและเทคโนโลยีทางด้านรังสีเทคนิคในประเทศไทยได้เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ประกอบกับมีจำนวนผู้ประกอบโรคศิลปะในสาขารังสีเทคนิคเพิ่มมากขึ้น แต่การดำเนินการเชิงนโยบายต่าง ๆ เกี่ยวกับสาขารังสีเทคนิคยังต้องผ่านการพิจารณาและการดำเนินการของคณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะเสียก่อน ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร นอกจากนี้ ยังประสบปัญหาเกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ เช่น การขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การออกหนังสือรับรองความรู้ความชำนาญเฉพาะทางในการประกอบโรคศิลปะ เนื่องจากกฎกระทรวงว่าด้วยการขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตการออกใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2547 ได้กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับใบอนุญาตโรคศิลปะทุกสาขาให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิทยาการและเทคโนโลยีทางด้านรังสีเทคนิคที่เปลี่ยนแปลงไป
2. สธ. เสนอร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพรังสีเทคนิค พ.ศ. …. เพื่อแยกการกำกับดูแล และการควบคุมการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคออกจากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะ และคณะกรรมสาขารังสีเทคนิค ตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 ออกมาจัดตั้งเป็น “สภารังสีเทคนิค” โดยมีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) สภารังสีเทคนิค
-
(1) กำหนดให้มี “สภารังสีเทคนิค” เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ อาทิ ส่งเสริมการศึกษา การพัฒนา การวิจัย และการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ควบคุม กำกับ ดูแล และกำหนดมาตรฐานการประกอบวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ควบคุมความประพฤติ คุณธรรม และจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคให้เป็นไปตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพรังสีเทคนิค
(2) กำหนดให้สภารังสีเทคนิคมีอำนาจหน้าที่ อาทิ รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค รับรองปริญญา ประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตร ในวิชาชีพรังสีเทคนิคของสถาบันต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการสมัครเป็นสมาชิก ออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคสาขาต่าง ๆ
(3) กำหนดให้สภารังสีเทคนิคอาจมีรายได้จาก
-
(3.1) เงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน
(3.2) ค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
(3.3) ผลประโยชน์จากการจัดการทรัพย์สินและกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ของสภารังสีเทคนิค
(3.4) เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้ให้แก่สภารังสีเทคนิค
(3.5) ดอกผลของเงินและทรัพย์สินตามข้อ (3.1) (3.4)
2) คณะกรรมการสภารังสีเทคนิค
-
(1) กำหนดให้มีคณะกรรมการสภารังสีเทคนิค ประกอบด้วย
-
(1.1) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
(1.2) กรรมการซึ่งเป็นคณบดีคณะรังสีเทคนิคในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐหรือเอกชน จำนวน 5 คน
(1.3) กรรมการซึ่งเป็นผู้แทนสมาคมหรือมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพรังสีเทคนิค จำนวน 3 คน
(1.4) กรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิกมีจำนวนเท่ากับจำนวนกรรมการใน (1.1) – (1.3) รวมกันในขณะเลือกตั้งแต่ละคราว
(2) กำหนดให้คณะกรรมการสภารังสีเทคนิคมีอำนาจหน้าที่ อาทิ บริหารและดำเนินกิจการสภารังสีเทคนิคตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ กำหนดแผนการดำเนินงานและงบประมาณของ สภารังสีเทคนิค ออกข้อบังคับสภารังสีเทคนิค
3) การควบคุมการประกอบวิชาชีพสีเทคนิค
-
(1) กำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตจากสภารังสีเทคนิค โดยผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตต้องสมัครเป็นสมาชิก สภารังสีเทคนิค และมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของสภารังสีเทคนิค (ใบอนุญาตให้ใช้จนถึงวันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ 5 นับแต่ปีถัดจากปีที่ออกใบอนุญาต)
(2) กำหนดห้ามผู้ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคทำการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค หรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิทำการประกอบวิชาชีพดังกล่าว เว้นแต่ในบางกรณี อาทิ นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรม ซึ่งทำการฝึกหัดหรืออบรมในความควบคุมของสถาบันการศึกษา บุคคลซึ่งหน่วยงานของรัฐมอบหมายให้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค หรือบุคคลซึ่งปฏิบัติงานในสถานพยาบาล ซึ่งอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค
(3) กำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคต้องประกอบวิชาชีพภายใต้บังคับแห่งข้อจำกัดและเงื่อนไข และต้องรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพรังสีเทคนิค ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสภารังสีเทคนิค ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับความเสียหายเพราะผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคฝ่าฝืนบังคับหรือจรรยาบรรณ ผู้ที่พบหรือทราบว่า ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฝ่าฝืนบังคับหรือจรรยาบรรณ หรือกรรมการสภารังสีเทคนิค มีสิทธิกล่าวหาหรือกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคดังกล่าวได้ โดยคณะกรรมการสภารังสีเทคนิคมีอำนาจลงโทษ ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต และเพิกถอนใบอนุญาต
4) บทกำหนดโทษ กำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติ ตามบทบัญญัติในร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ อาทิ
-
(1) ผู้ใดทำการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(2) ผู้ใดแสดงด้วยวิธีการใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิทำการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(3) ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคซึ่งอยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ผู้ใดทำการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5) เพดานอัตราค่าธรรมเนียม กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตรา ดังนี้
-
(1) ค่าขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฉบับละ 10,000 บาท
(2) ค่าหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฉบับละ 1,000 บาท
(3) ค่าหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฉบับละ 5,000 บาท
(4) ค่าใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ 1,000 บาท
(5) ค่าใบแปลใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฉบับละ 1,000 บาท
(6) ค่าต่ออายุใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฉบับละ 5,000 บาท
อนุมัติงบฯ 133 ล้าน สนับสนุนโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามเอกชน
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติแผนการอุดหนุนทางการเงินและให้ความช่วยเหลือด้านอื่น (แผนการอุดหนุนทางการเงินฯ) ให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามและโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการพระราชดำริฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569-2572 จำนวน 20 โรงเรียน กรอบวงเงินทั้งสิ้น 133.87 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 58.42 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2570 จำนวน 24.60 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2571 จำนวน 35.63 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2572 จำนวน 15.22 ล้านบาท
นายคารม กล่าวว่า เนื่องจากการดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริฯ แผนระยะ 5 ปี (ปึงประมาณ พ.ศ. 2563-2567) ได้สิ้นสุดเมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 แต่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริฯ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ( สช.) จำนวน 19 โรงเรียน ยังมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนการพัฒนาด้านอาคารเรียนอาคารประกอบ ครุภัณฑ์ สื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ โรงเรียนอนุกูลวิทยา (วัดดอนแก้ว) จังหวัดตาก (โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา) เป็นโรงเรียนในโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งแต่ปี 2550 แต่ยังไม่เคยได้รับการอุดหนุนทางการเงินและการให้ความช่วยเหลือด้านอื่น คณะทำงานบริหารโครงการฯ จึงได้สำรวจความต้องการขอรับการสนับสนุนการพัฒนาด้านอาคารเรียน อาคารประกอบ ครุภัณฑ์ สื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนของโรงเรียนอนุกูลวิทยา (วัดดอนแก้ว) และได้จัดทำแผนการอุดหนุนทางการเงินและให้ความช่วยเหลือด้านอื่นให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามและโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริฯ รวมทั้งสิ้น 20 โรงเรียน ซึ่งคณะทำงานบริหารโครงการฯ มีมติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 เห็นชอบแผนอุดหนุนทางการเงินฯ ให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามและโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2596-2572 จำนวน 20 โรงเรียน กรอบวงเงิน 133.87 ล้านบาท
สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับ จากแผนการอุดหนุนทางการเงินข้างต้น โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามและโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริฯ สามารถใช้ประโยชน์จากอาคารเรียน อาคารประกอบ ครุภัณฑ์ สื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้นักเรียนได้รับการพัฒนาความรู้อย่างมีคุณภาพ
ตั้ง ‘ธีรภัทร มงคลนาวิน’ เป็นเอกอัครราชทูต ‘ไนจีเรีย’
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติ/เห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงขงหน่วยงานรัฐ มีรายละเอียดดังนี้
1.เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เสนอแต่งตั้ง นายสุเนตร ชุตินธรานนท์ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร แทนประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างนั้น อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
2. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน จำนวน 2 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
-
1. นายอนุชา เศรษฐเสถียร
2. นางจันทิรา บุรุษพัฒน์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป
3. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม จำนวน 5 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
-
1. นายสิทธิพร หาญญานันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 1
2. นายรวีโรจน์ ชุมพลกูลวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 2
3. นายอุดม ศรีมหาโชตะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 3
4. นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 4
5. นายพรชัย สังข์ศรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านโรงแรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป
4. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เสนอแต่งตั้งนายธีรภัทร มงคลนาวิน ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง อัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว
5. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนแทนตำแหน่งที่ว่าง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้ง นายคธาทิพย์ เอี่ยมกมลา เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน แทน นายอรรถสิทธิ์ กอชัยพฤกษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
6. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ รวม 7 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
-
1. นางชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ประธานกรรมการ
2. นายประมา ศาสตระรุจิ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. นายธงทิศ ฉายากุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นายวิชญะ เครืองาม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นายทศพร ละดาพรพิพัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. นายนำโชค โสมาภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
7. นายวรภัทร ภัทรธรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป
7. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์รวม 9 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
-
1. นางวิลาวรรณ มังคละธนะกุล ประธานกรรมการ
2. นายกอบศักดิ์ ดวงดี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงิน
3. นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงิน
4. นางปิยนุช วุฒิสอน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
5. นายศักรินทร์ ร่วมรังษี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านนิติศาสตร์
6. นายเฉลิมรัฐ นาควิเชียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์
7. นายสุพันธุ์ ตั้งจิตกุศลมั่น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์
8. พลตำรวจตรี เอกธนัช ลิ้มสังกาศ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสังคมศาสตร์
9. นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสังคมศาสตร์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป
8. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน 4 คน เนื่องจากกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
-
1. นายถาวร ทันใจ (ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
2. นายทศพร ละดาพรพิพัฒน์
3. พลตำรวจโท วิวัฒน์ ชัยสังฆะ
4. นายอิสรพงษ์ มากอำไพ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป
9. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอแต่งตั้ง นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ แทน นายสมิทธิ ดารากร ณ อยุธยา กรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว
อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 18 มีนาคม 2568 เพิ่มเติม