
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
เปิดสมุดปกขาว กกร. ชง นายกฯ 4 แนวทาง แก้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพ ดัน GDP กลับมาขยายตัว 3-5% ต่อปี ระยะสั้นจี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหารถกระบะถูกยึด – สกัดกั้นสินค้านำเข้าราคาถูก ไม่ได้มาตรฐาน – พร้อมจัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำช่วย SMEs พร้อมโปรโมทสินค้า “Made In Thailand” เป็นซอฟต์พาวเวอร์ – แนะรัฐจัดโครงการ ‘คนละครึ่ง’ อัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ได้แก่ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย และนายสุธีร์ สธนสถาพร ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน เพื่อหาแนวทางการส่งเสริมและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะพบปะหารือกับคณะกรรมการร่วมเอกชน ซึ่งจากการรับฟังครั้งก่อนได้รับประโยชน์และนำไปปรับปรุง ในการบริหารงานของรัฐบาลได้อย่างมาก ซึ่งประเทศไทยประสบปัญหาศักยภาพการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 10 ปี ส่งผลกระทบต่อประชาชน และเกิดหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น จึงต้องการให้ภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันในทุกมิติ ทั้งนี้การปรับโครงสร้างหนี้เพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายหารายได้ใหม่ ๆ เข้าประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ ที่ผ่านมาไม่กี่เดือนรัฐบาลได้เร่งทำเรื่อง “ซอฟต์พาวเวอร์” โดยได้ร่วมมือกับเอกชนจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นภาคสำคัญในการทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งรัฐบาลและภาคเอกชนจะทำงานร่วมกันเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจต่อประชาชน ทั้งนี้รัฐบาลพร้อมสนับสนุนและรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน เพื่อนำไปปรับให้เข้ากับนโยบายของรัฐบาลต่อไป”
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมเสนอรายงานผลจากการระดมความเห็นจากตัวแทนภาคธุรกิจในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้รัฐบาลนำไปประกอบเป็นแนวทางกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ให้สอดรับกับสถานการณ์ของโลกและภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะกลางและระยะยาว เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ โดยมีเป้าหมายไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ 2. การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 3. การบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ และ 4. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นายสนั่น ได้ขอให้รัฐบาลสนับสนุนส่งเสริมประชาชนที่ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ เช่น รถกระบะในการทำมาหากิน โดยขอให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน อาทิ การขยายเวลาการผ่อนชำระ การยกเว้นดอกเบี้ยปรับ ค่างวดรถที่ค้างชำระ และขอให้ผ่อนปรนในการยึดรถ เพื่อช่วยให้ประชาชนมีรถใช้ทำมาหากินได้ต่อไป
ส่วนด้านการท่องเที่ยว นายสนั่น ขอให้รัฐบาลเร่งประชาสัมพันธ์เทศกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเฉพาะงานพืชสวนโลก ซึ่งจังหวัดอุดรธานีจะเป็นเจ้าภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว
สำหรับเรื่องการบริหารจัดการน้ำ นายสนั่นขอให้รัฐบาลพิจารณานโยบายในสมัยของรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำมาต่อยอดเดินหน้าโครงการต่อไป เพื่อประโยชน์ต่อประชาชน และต่อพื้นที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ และขอให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่ล้าหลังเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ พร้อมเสนอให้มีการพบปะหารือระหว่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันกับนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลทุก ๆ 6 เดือน
ขณะที่นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลว่าขอให้เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก โดยเสนอให้รัฐบาลจัดทำโครงการ “คนละครึ่ง” ต่อเนื่องจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนพิการ เพื่อเป็นการกระตุ้นในระยะเร่งด่วน โดยเฉพาะต้นปีหน้านี้ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน และเทศกาลสงกรานต์ เป็นช่วงที่ประชาชนต้องจับจ่ายซื้อของและเดินทางท่องเที่ยว พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลเร่งรัดให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
“สุดท้ายนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณภาคเอกชนสำหรับข้อเสนอและแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยจะนำข้อเสนอไปพิจารณา และจะติดตามการดำเนินการตามนโยบายต่าง ๆ ในรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทำไว้ดีอยู่แล้ว ให้เกิดความต่อเนื่อง ไม่ให้สะดุด ในส่วนของกฎหมายที่อาจก่อให้เกิดต้นทุนแฝงและกฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ ขอให้ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาล ซึ่งพร้อมพิจารณาดำเนิน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังตอบรับข้อเสนอของภาคเอกชนในการพบปะหารือร่วมกันอย่างน้อย 6 เดือนอีกด้วย” นายจิรายุ กล่าว
สำหรับข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจัดทำโดย กกร.มีรายละเอียดดังนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย และปัญหาหลากหลายมิติ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย , สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ระดมความเห็นจากภาคธุรกิจในสาขาต่าง ๆ และจัดทำเป็นสมุดปกขาวข้อเสนอทางเศรษฐกิจ เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลในการพิจารณาดำเนินการ ทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว โดยมีประเด็นข้อเสนอเป็น 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ 2) การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 3) การบริหารจัดการน้ำ และ 4) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มีรายละเอียดดังนี้
1. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลก ที่ชะลอตัว กระทบการส่งออกในภาคเกษตรและการผลิต หนี้ครัวเรือนสูง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมยังพึ่งพาการผลิตต้นทุนต่ำ ขาดนวัตกรรม และ การพัฒนาทักษะแรงงานยังไม่ทันต่อความต้องการ
ข้อเสนอระยะเร่งด่วน ได้แก่
-
1.1 มาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน และต้นทุนของผู้ประกอบการ ทั้งการควบคุมราคาสินค้าพื้นฐานและบริการที่จำเป็น การตรึงราคาค่าไฟฟ้า น้ามันดีเซล เพื่อลดต้นทุน ผู้ประกอบการและลดภาระของประชาชน รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยเอกชนขอให้เป็นไปตามกลไกคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด และ คณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) และการแก้ไขปัญหาหนี้ โดยเฉพาะหนี้เสียจากสินเชื่อรถยนต์ (กระบะ) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือทำมาหากินของประชาชน จำเป็นต้องมีมาตรการผ่อนผัน เพื่อบรรเทาภาระของประชาชนให้สามารถกลับมาประกอบกิจการได้
1.2 การลดราคาพลังงาน และปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ตลอดจนผลักดันให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาพลังงาน (กรอ.พลังงาน)
1.3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยแยกวิธีการให้เหมาะสม และใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ (1) มุ่งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจไปยังกลุ่มเปราะบางเป็นสิ่งเร่งด่วนก่อน ซึ่งรัฐบาลได้ดาเนินการไปแล้ว (2) ประชาชนกลุ่มที่ยังพอมีกาลังซื้อ สามารถดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะโครงการคูณสอง เพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาก (3) สำหรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง สามารถออกมาตรการดึงการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น เช่น มาตรการ Easy e-Receipt และมาตรการทางภาษีอื่น ๆ โดยรัฐไม่ต้องใช้งบประมาณ
1.4 กระจายงบประมาณไปยังภูมิภาคอย่างทั่วถึง กระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งใช้จ่ายงบประมาณตามแผนงานโครงการที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นส่วนเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
ข้อเสนอระยะกลาง ได้แก่
-
1.5 การหาแนวทางผันเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบ โดยพิจารณา incentive จูงใจให้ประชาชน และภาคธุรกิจที่อยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ การเชื่อมโยงข้อมูล ทั้งรัฐและเอกชนให้ธุรกิจมีตัวตนในระบบ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ในระบบได้ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ Rule of law และการบังคับใช้กฎหมาย
1.6 มาตรการแก้หนี้ครัวเรือนทั้งในระบบและนอกระบบ ควบคู่กันอย่างเหมาะสม โดยมี pathway ของการลดลงของหนี้ที่ชัดเจน
2. การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งปัจจุบัน SMEs ยังประสบปัญหา ในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ตลอดจนขาดการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพและผลิตภัณฑ์
ข้อเสนอระยะเร่งด่วน ได้แก่
-
2.1 การเร่งสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ โดยการศึกษาผลกระทบของสินค้าที่ทะลักเข้ามาในประเทศอย่างจริงจัง การใช้ Data Driven ส่งเสริมสินค้าไทยผ่าน Platform E-Commerce ควบคู่ไปกับการผลักดันสินค้าไทยออกไปในต่างประเทศ การจัด Priority สินค้าบางประเภทของไทยที่จำเป็นต้องมีมาตรการปกป้อง และใช้เป็นมาตรฐานอย่างเท่าเทียมกับประเทศอื่น ๆ การเพิ่มมาตรการด้านการลงทุน โดยเน้นใช้ Local Content ให้มากที่สุด ตลอดจนมีมาตรการควบคุมระบบชำระเงิน Payment ต่างชาติให้เข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง ภายใต้ การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย และการจัดเก็บภาษีแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างชาติ
2.2 สนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อ มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ และกองทุนต่าง ๆ ทั้ง สสว., บสย. และธนาคารแห่งประเทศไทย
2.3 การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SME ได้แก่ 1) มาตรการทางการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับ SME ทั้งกลุ่มที่มีปัญหาเครดิตบูโร และอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ โดยควรจัดสรรวงเงินเฉพาะเพื่อช่วยเหลือเพื่อประคองธุรกิจ และการผ่อนปรนเงื่อนไขการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ สำหรับกลุ่มที่สามารถดำเนินกิจการได้ปกติ รัฐบาลควรมีมาตรการสินเชื่อพิเศษดอกเบี้ยต่ำ ปรับเพิ่มระยะเวลาการผ่อนเป็นทางเลือก และการปรับลดค่าธรรมเนียมค้าประกันสินเชื่อ 2) มาตรการส่งเสริมและผลักดันผู้ประกอบการสู่ Smart SME เช่น จัดตั้งกองทุนเพิ่มผลิตภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การจัดหาตลาดรองรับสินค้านวัตกรรม การจัด Event แสดงสินค้าไทยในต่างประเทศ สนับสนุนเงินทุนสำหรับการขอการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมแก่ SME 3) การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อส่งเสริม Ease of Doing Business
2.4 Corporate digital ID ระบบพิสูจน์ และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลสำหรับนิติบุคคล เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลที่จดเป็นทะเบียนนิติบุคคล ในการแก้ปัญหาบัญชีม้าที่เป็นบัญชีนิติบุคคล
3. การบริหารจัดการน้ำ เพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำซาก
ข้อเสนอระยะเร่งด่วน ได้แก่
-
3.1 มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการทางด้านการเงินและการลงทุน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถประกอบกิจการได้ในกรณีที่ประสบสถาการณ์ที่เกิดจากภัยพิบัติ
3.2 การบูรณาการหน่วยงานภาครัฐในการบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาระบบแจ้งเตือน แบบ Real time ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ
3.3 การจัดตั้ง War Room ของรัฐบาล เพื่อสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ
3.4 ผลักดันให้มีการพัฒนาและเชื่อมต่อแหล่งน้ำทั่วประเทศ
ข้อเสนอระยะกลาง ได้แก่
-
3.5 การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างความต้องการน้ำ (Demand) และการจัดหาน้ำ (Supply) อย่างสอดคล้องและเหมาะสม
3.6 ขยายผลการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต้นแบบไปสู่พื้นที่อื่นๆ เช่น การบริหารจัดการน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
3.7 ส่งเสริมองค์ความรู้แก่ผู้ใช้น้ำทั้งภาคประชาชน และภาคธุรกิจด้านเทคโนโลยี และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ข้อเสนอระยะยาว ได้แก่
-
3.8 นโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางการบริหารจัดการน้ำ (Infrastructure and Water Management) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความทันสมัยและยั่งยืน เพื่อรองรับการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และชุมชน อย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถรับมือกับปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยได้อย่างยั่งยืน
4. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ ทั่วประเทศ ส่งผลให้คนไทยมีงานที่มีคุณภาพ รายได้สูง และเศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
ข้อเสนอระยะเร่งด่วน ได้แก่
-
4.1 ผลักดันและขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนใน EEC โดยเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ให้แล้วเสร็จตามแผนงาน การจัดทำสิทธิประโยชน์ เพื่อจูงใจและดึงดูดการลงทุน และเสนอให้เพิ่มจังหวัดปราจีนบุรี เป็นอีก 1 จังหวัด ที่รวมอยู่ในพื้นที่ EEC
4.2 การอำนวยความสะดวกด้านการถ่ายลำทางเรือในระบบคอนเทนเนอร์ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยขอพิจารณาจัดทำ Transshipment Sandbox เป็นระยะเวลา 1 ปี
4.3 การปกป้องผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะสินค้านำเข้าที่ไม่มีคุณภาพ และการทุ่มตลาด การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย สินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MiT) และการส่งเสริมสินค้าไทยด้วยการโปรโมทซอฟต์พาวเวอร์
4.4 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบโลจิสติกส์ และการส่งเสริมการค้าชายแดน โดยเฉพาะการเจรจากับเพื่อนบ้าน เพื่อยกระดับจุดผ่านแดนทางการค้า การแก้ไขข้อจำกัด และอุปสรรคการขนส่งสินค้าจากไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน การปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพการนำเข้า – ส่งออกสินค้าทางอากาศ
4.5 เร่งรัดการปรับปรุง – ทบทวน กฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมดของภาครัฐ
ข้อเสนอระยะกลาง ได้แก่
-
4.6 ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต โดยรักษาและต่อยอดความเป็นฐานการผลิตยานยนต์ ICE การผลักดันนโยบาย ZEV ให้มีความต่อเนื่องทั้ง Eco System การส่งเสริมนโยบาย Part Transformation เข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ฯลฯ
4.7 ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy or Eco-friendly Economy) ภายใต้แนวคิด BCG Model ทั้งการส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) ส่งเสริมการนำกากอุตสาหกรรมไปใช้ประโยชน์ เป็นวัสดุหมุนเวียน (Circular Materials) และการใช้ประโยชน์ใหม่ (waste symbiosis) เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) รวมถึงบูรณาการแนวทางการออกกฎหมาย ระเบียบ และแนวทางปฏิบัติต่อเรื่อง Climate Change ให้ไปในทิศทางเดียวกัน
4.8 เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ และก้าวทันกระแสโลก ทั้งการเจรจากับประเทศคู่ค้าให้เกิดการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างทางการเงินและการค้าระหว่างกันในภูมิภาค การส่งเสริม Cashless & digital economy การสนับสนุน tax incentive สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้ Transition finance และการลงทุนที่เกี่ยวกับ Green ฯลฯ
ข้อเสนอระยะยาว ได้แก่
-
4.9 เร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ โดยผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค การเพิ่มสิทธิประโยชน์ การอำนวยความสะดวก เรื่องการครองที่ดินในกลุ่มแรงงานที่มีทักษะ หรือ ความเชี่ยวชาญระดับสูง
“ในการนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) หวังเป็นอย่างยิ่งว่าภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด จะมีส่วนช่วยผลักดันข้อเสนอดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้เต็มศักยภาพ โดยมีเป้าหมายให้ GDP ของไทยกลับมาเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3 – 5% ในอนาคตอันใกล้ต่อไป…”