ThaiPublica > Sustainability > Climate Action > มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯชี้ “ปลูกป่า- ปลูกคน” ทางรอดลดโลกร้อน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯชี้ “ปลูกป่า- ปลูกคน” ทางรอดลดโลกร้อน

17 กันยายน 2024


มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ พร้อมภาคี ชี้ทางรอดจากหายนะโลกต้องปลูกป่า ปลูกคนและสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนปลูกป่าเพิ่ม 11 ล้านไร่เพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 120 ล้านตันเทียบเท่าภายในปี 2580 เพื่อรักษาอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศา เซลเซียส   ขณะที่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมเตรียมใช้กฎหมายโลกร้อนคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคอุตสาหกรรม

วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดเสวนา Mae Fah Luang Sustainability Forum 2024 หัวข้อ “ปลูกป่า ปลูกคน: ทางเลือก ทางรอด” โดยมี หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมกับการเสวนาหัวข้อ “ความยั่งยืนของภาคธุรกิจ: จากทางเลือกสู่ทางรอด” โดยตัวแทนภาคเอกชนมาแบ่งปันวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน กลยุทธที่ปฏิบัติได้จริง โดยผู้ร่วมเสวนาได้แก่ นางต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) นางสุศมา ปิตากุลดิลก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืนและบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ นางสุมลรัตน์ ทวีกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนองค์กร บริษัท ยูนิชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด

ปลูกป่า-ปลูกคน ลดโลกร้อน

หม่อมหลวงดิศปนัดดา  ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ  กล่าวว่า อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือในช่วงนี้ คือ ผลกระทบที่เกิดจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดย ดอยตุงเองก็เผชิญกับปัญหาเดียวกัน ถนนถูดตัดขาดไปกว่า 75 จุด ซึ่งทำให้ต้องหันมาดูแลธรรมชาติในฐานะที่เป็นประเทศที่เสี่ยงสูงจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน

อย่างไรก็ตาม ตลอดการทำงาน 36 ปี ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง คือ หัวใจของความสำเร็จที่ประเทศไทยจะบรรลุตามข้อตกลงปารีสในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสามารถสรุปบทเรียนมาจากการปลูกป่าบนดอยตุงของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ว่า ประกอบด้วยการใช้กระบวนการทางธรรมชาติ (nature-based solution) และการมีส่วนร่วมของชุมชน   หรือ คน ธรรมชาติ และชุมชน

“สมเด็จย่าฯทรงตรัสว่า คนก็เหมือนต้นไม้ต้องดูแลเลี้ยงดู  ต้นไม้ก็เช่นกัน ต้องดูแล ใส่ปุ๋ย ดังนั้นการปลูกคน กับปลูกป่า จึงเป็นกระบวนการเดียวกัน โดยขบวนการปลูกคนเพื่อสร้างสำนึกความรักและดูแลป่า ทำให้ตลอดการทำงานที่ผ่านมาเราทำทั้งการปลูกป่าและปลูกคน”

หม่อมหลวงดิศปนัดดา  กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการมีป่าเพียงอย่างเดียวกำลังจะไม่เพียงพอ เพราะโลกกำลังต้องการป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ และนอกจากนั้นป่ากับความหลากหลายจะยั่งยืนได้ก็ต้องมีคนคอยดูแล ซึ่งก็คือชุมชน ดังนั้นในการเดินไปสู่เป้าหมายของประเทศจะต้องมีทั้งสองปัจจัยนี้ และจะแยกจากกันไม่ได้

ดังนั้นตลอดระยะเวลา 36 ปีที่ปลูกป่าบนดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ฟื้นฟูป่าได้ประมาณ 90,000 ไร่ สร้างอาชีพที่ดีแก่ประชาชนกว่า 10,000 คน และได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(อบก.) กว่า 419,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ภาคีต่าง ๆ ในระยะยาว

นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากกรมป่าไม้ และภาคีภาครัฐและเอกชน 25 องค์กร ที่ร่วมกับ 281 ชุมชน เพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าชุมชนกว่า 258,186 ไร่ โดยมีเป้าหมายขยายโครงการไปยังป่าชุมชน 1 ล้านไร่ ภายในปี 2570 จากพื้นที่ป่าชุมชนทั้งหมด 6.8 ล้านไร่ในปัจจุบัน

“ในช่วงไฟป่าที่ผ่านมา คนไทยพากันหวาดกลัว PM2.5 แต่เราพบว่าไฟป่าในป่าชุมชนที่ร่วมงานกันลดลงจากเฉลี่ย 22% เหลือเพียง 0.86% จึงพิสูจน์แล้วว่าชุมชนเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อม สอดคล้องกับพระบรมราโชบาย “ปลูกป่า ปลูกคน” นี่จึงทำให้เห็นว่าจะเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ดี ตั้งแต่แก้ปัญหาหมอกควัน เพิ่มพื้นที่ป่า สร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้ชุมชน และเอกชนได้รับคาร์บอนเครดิต”

ส่วนในเรื่องของคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต หม่อมหลวงดิศปนัดดา ยังตั้งข้อสังเกตว่าประชาคมโลกกำลังจัดมาตรฐานคาร์บอนเครดิตกันใหม่ โดยมีแนวโน้มการพัฒนาคาร์บอนเครดิตที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างประโยชน์แก่ชุมชนในป่า

หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

หวังกฎหมายช่วยบรรลุเป้าหมาย

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นโยบายและแนวทางการรักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ” โดยยอมรับว่าสถานการณ์ โลกร้อนในปัจจุบันได้ถึงจุดที่เรียกว่า วิกฤติแล้ว  ขณะที่ประเทศไทยในฐานะภาคีสมาชิกกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีส จะต้องดำเนินการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่อุณหภูมิโลกในปี 1850 สูง 1.3 องศาเซลเซียส ทำให้มีเวลาและช่องว่างไม่มากในการควบคุมอุณหภูมิลกไม่ให้ร้อนขึ้น

“นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการบอกว่าหากเราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นได้ เราต้องเผชิญกับความเสียหายมหาศาลจนทำให้สังคมและธุรกิจไม่สามารถรับมือได้”

สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นหากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ในระดับ 1.5 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น 48 เซ็นติเมตร  ทั่วโลกจะเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ เมดิเตอร์เรเนียน ออสเตรเลีย บราซิล และเอเชีย   ขณะที่ อาหาร  ข้าว ข้าวโพดผลผลิตลดลง  พืชและสัตว์ท้องถิ่น แนวประการัง 9 ใน 10 จะเสี่ยงฟอกขาว

หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียสน้ำทะเลจะสูงขึ้น 56 เซ็นติเมตร  ประชากรโลกกว่า 8% ขาดแคลนน้ำรุนแรง และผลผลิตการเกษตรลดลง สูญเสียแนวปะการังทั้งหมด   ถ้าโลกอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น 7 เมตร ธารน้ำแข็งหิมาลัยละลายเกินครึ่ง  พันธุ์ปลาท้องถิ่นสูญพันธ์ ระบบนิเวศทางทะเลอาจจะล่มสลาย และถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 4 องศาเซลเซียส  น้ำทะเลเพิ่มขึ้น 9 เมตร ปัญหาภัยแล้วรุนแรงบ่อยมากขึ้น วิกฤติความมั่นคงอาหาร และพืชและสัตว์ท้องถิ่นเสี่ยงสูญพันธ์

ดร.พิรุณ บอกว่า  ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นได้ ทำให้ไทยร่วมกับประชาคมโลกเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนลงให้ได้ 30-40% ในปี 2030 และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 รวมทั้งเป้าหมายการมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“จากที่เราปล่อยคาร์บอนในปี 2019 จำนวน 232 ล้านตัน เพื่อให้เดินไปสู่เป้าหมายประเทศไทยต้องเพิ่มการดูดคาร์บอนให้ได้ 120 ล้านตันในปี 2580 โดยอาจจะใช้เทคโนโลยี เช่น การดักจับและการกักเก็บคาร์บอน หรือ Carbon Capture and Storage หรือ การใช้พื้นที่ป่าไม้จะช่วยการดูดคาร์บอนได้มากขึ้น ซึ่งตั้งเป้าหมาย การเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ 55% และต้องมีป่าธรรมชาติเพิ่มขึ้น 11 ล้านไร่ ป่าเศรษฐกิจ 15 ล้านไร่”

นอกจากนี้ เพื่อให้ประเทศไทยเดินไปสู่เป้าหมายการลดอุณหภูมิโลก ไทยได้รับรอง กรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออล ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework: KM – GBF) เพื่อหยุดยั้งการสูญเสียและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ นำไปสู่การบรรลุพันธกิจปี ค.ศ. 2030 (2030 Mission )  เพื่อที่จะหยุดยั้งการสูญเสียและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์ทางบก ทางทะเล และน้ำจืดให้ได้ 30% ภายในปี ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573 และวิสัยทัศน์ ปี ค.ศ. 2050 ให้ประชาคมโลกมีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่กับการมีธรรมชาติที่สมบูรณ์

“ เรามี 4 เป้าประสงค์ ดังนี้ เป้าประสงค์ A เพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ทุกระบบนิเวศ เป้าประสงค์ B ดำรงรักษาหรือเพิ่มพูนประโยชน์ที่ได้รับจากธรรมชาติ เป้าประสงค์ C แบ่งปันผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างยุติธรรมและเท่าเทียม เป้าประสงค์ D แก้ปัญหาช่องว่างทางการเงินและแนวทางดําเนินงานอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนการบรรลุวิสัยทัศน์ ปี ค.ศ. 2050”

ดร.พิรุณยังบอกอีกว่า เวทีการประชุมในต่างประเทศที่ต้องจับตามองในการออกมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกของโลกคือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาฯ สมัยที่ 29 (COP 29) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 – 22 พฤศจิกายน 2567 ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการผลักดันในการยกระดับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการจัดทำเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) ซึ่งมีกำหนดจัดส่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2025   นอกจากนี้ยังจะมีมาตรการให้ประเทศพัฒนาแล้ว มาช่วยเหลืองบประมาณกับประเทศกำลังพัฒนาในการลดก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย

ส่วนมาตรการในประเทศไทย ดร.พิรุณ บอกว่า  กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมจัดทำ ร่าง พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นการวางกรอบกฎหมาย กลไก และเครื่องมือในภาคบังคับและส่งเสริมที่จำเป็นและเหมาะสมกับการขับเคลื่อนประเทศไทย ให้บรรลุเป้าหมายการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยกฎหมายมีทั้งหมด 14 หมวด  และหมวดที่สำคัญคือหมวดที่ 8 ที่มีการจำกัดสิทธิการปล่อยคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรม

“หลายคนบอกเราว่า กฎหมายโลกร้อนจะเป็นเครื่องมือในการฟอกเขียวให้ธุรกิจ ผมยืนยันว่าถ้ากฎหมายบังคับใช้จะไม่ใช่การฟอกเขียวเพราะมีหมวด 8 ว่าด้วยการจำกัดสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจแต่ละกลุ่ม โดยหวังว่า กฎหมายโลกร้อนจะบังคับใช้ในปีหน้า (2568 ) และจะทำให้การเดินหน้า ลดก๊าซเรือนกระจกของเราไปถึงเป้าหมายได้”

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ภายในงานยังมีการอภิปรายเกี่ยวการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนควบคู่กับการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าชุมชนภายใต้โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งให้ผลพลอยได้เป็นคาร์บอนเครดิตที่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายรองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. นายสมิทธิ หาเรือนพืชน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนการปฏิบัติงานพิเศษ   มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และ นางปราณี ราชคมน์ ประธานเครือข่ายป่าชุมชน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

ขณะเดียวกันยังมีการเสวนาหัวข้อ “ความยั่งยืนของภาคธุรกิจ: จากทางเลือกสู่ทางรอด” โดยตัวแทนภาคเอกชนมาแบ่งปันวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน กลยุทธที่ปฏิบัติได้จริง ได้แก่ นางต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) นางสุศมา ปิตากุลดิลก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืนและบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Wealth และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ นางสุมลรัตน์ ทวีกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนองค์กร บริษัท ยูนิชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด

นอกจากนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ นำองค์ความรู้ด้านความยั่งยืนไปเสริมทัพกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรเอกชนเพื่อนำกลยุทธความยั่งยืนขององค์กรไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การพัฒนาชุมชน การจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการระบบน้ำ การปลูกและฟื้นฟูป่า การจัดการของเสีย เป็นต้น และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังมุ่งมั่นต่อยอดแนวคิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนควบคู่กับการฟื้นฟูและรักษาธรรมชาติ สอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based solution) และการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพและประโยชน์จากระบบนิเวศเป็นแนวทางในการปรับตัว (Ecosystem-based adaptation) การจัดงานครั้งนี้ยังได้รับตรารับรอง Net Zero Event งานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก “สุทธิเป็นศูนย์” จาก อบก. โดยมีการชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ภายในงานด้วย “คาร์บอนเครดิตจากการอนุรักษ์ป่าไม้” ในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ จังหวัดเชียงราย