1721955
ตัดสินใจอยู่สักพักว่าจะเขียนถึงโอลิมปิกอีกสักชิ้นดีไหม เพราะต่อเนื่องกันมาชิ้นนี้ก็เป็นชิ้นที่ 4 พอดี ไม่รู้ผู้อ่านจะเบื่อแล้วหรือยัง แต่พอคลิก ๆ อ่านข้อมูลหลาย ๆ อย่างมันจึ้ง มันน่าสนใจจริง ๆ และเท่าที่เห็นบทความในไทยก็ยังไม่เจอใครเขียนถึงในมุมเหล่านี้ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ถือว่าเนื่องในเดือนแห่งโอลิมปิก ก็จัดไปให้จบ ๆ คราวหน้าจะได้ไปประเด็นอื่นกันเสียที
ประเด็นในคราวนี้จะว่าด้วยเรื่องของทวยเทพสำคัญในช่วงพิธีปิด โอลิมปิก Paris 2024 ที่เขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Golden Voyager ปรากฏตัว อันเป็นตัวละครที่มาในรูปลักษณ์แบบนิยายวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก 2 สิ่งต่อไปนี้ คือ
Le Génie de la Bastille อัจฉริยะแห่งบัสตีย์ หรือจิตวิญญาณแห่งบัสตีย์ เป็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์สร้างโดย ออกุสเต ดูมงต์ เมื่อปี 1836 ตั้งอยู่เหนือเสา Place de la Bastille ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1835-1840 เพื่อเป็นการรำลึกถึงสามวันแห่งการปฏิวัติเดือนกรกฎาคมที่เกิดขึ้นในปี 1830 อันนำไปสู่การล่มสลายของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 10
อ่านเพิ่มเติมกรณีบุกคุกบัสตีย์ และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องได้ในสองบทความนี้คือ
บนแผ่นป้ายด้านล่างของเสานี้ระบุว่า
“เพื่อเป็นเกียรติแก่พลเมืองฝรั่งเศสที่ติดอาวุธและต่อสู้เพื่อปกป้องเสรีภาพสาธารณะในวันอันน่าจดจำของวันที่ 27, 28, 29, 1830”
แม้เสานี้จะสร้างขึ้นในช่วงหลังจากการปฏิวัติครั้งที่สอง แต่ก็เป็นตัวแทนถึงจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติที่เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 1789 ต่อกรณีการลุกฮือขึ้นล้อมคุกบัสตีย์อันถือเป็นหมุดหมายแรกแห่งการปฏิวัติฝรั่งเศส
กล่าวคือหลังจากคุกบัสตีย์ล่มสลายอย่างยับเยิน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 1789 มีการถกเถียงกันว่าควรจะสร้างอะไรมาแทนที่ หรือควรจะคงซากคุกนั้นไว้เป็นอนุสรณ์สถาน ซึ่งท้ายที่สุดชาวเมืองก็ตัดสินใจรื้อคุกบัสตีย์ออกด้วยแรงงานกว่าพันคนในอีกหลายเดือนต่อมา แล้วทำให้พื้นที่คุกเก่านี้เป็นจัตุรัส ส่วนหินที่รื้อถอนออกมาก็นำไปใช้ก่อสร้าง ปงต์เดอลาคองคอร์ด (Pont de la Concorde) อันเป็นสะพานโค้งสำหรับข้ามแม่น้ำแซน ซึ่งแล้วเสร็จในปี 1791
ต่อมาเริ่มมีการเฉลิมฉลองเสรีภาพกันนับตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 1792 โดยในปีนั้นตั้งใจว่าจะสร้างเสารำลึกขึ้นมา จึงมีการวางหินก้อนแรกเอาไว้ แต่สุดท้ายไม่ได้สร้าง แล้วหันไปสร้างน้ำพุขึ้นมาแทน ซึ่งแล้วเสร็จในปี 1793 อันต่อมาตัวเสาถูกสร้างขึ้นมาจริง ๆ ในช่วง 1835-1840 เรียกว่า Colonne de Juillet (เสาแห่งเดือนกรกฎาคม)
ตัวเสานี้ประกอบด้วยสัมฤทธิ์ 21 ชิ้น หนักกว่า 74 ตัว ตั้งสูงขึ้นไป 47 เมตร ภายในมีบันไดเวียน วางอยู่บนฐานหินอ่อนสีขาวประดับด้วยรูปปั้นนูนรูปสิงโต บนเสาสลักด้วยทองคำเป็นรายชื่อผู้เสียชีวิต 615 ราย เหนือเสาทรงโครินเธียนแบบกรีกโบราณ ภายในเป็นห้องขนาดกว้าง 4.9 เมตร
ด้านบนประดับด้วยลูกโลกสีทอง มีรูปปั้นทอง Génie de la Liberté อันเป็นตัวแทนแห่งจิตวิญญาณเสรีภาพ ตั้งยืนอยู่ในท่ายืนลั้ลลาขาเดียว แบบเดียวกันกับรูปปั้นเทพแอร์เมส หรือเมอร์คิวรี (Hermes/Mercury) เทพแห่งการส่งสารจากเทพเจ้าผู้เคลื่อนไหวได้อย่างไวว่องและเป็นท่องโลกอย่างเป็นอิสระระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ของเทพเจ้า มีบทบาทเป็นผู้นำทางวิญญาณไปสู่ชีวิตหลังความตาย
สวมมงกุฎรูปดวงดาว มือหนึ่งถือคบเพลิงแห่งอารยธรรม อีกมือกวัดแกว่งเศษซากโซ่ตรวนที่ขาดออก ตัวรูปปั้นนี้ต่อมาปรากฎบนเหรียญสิบฟรังก์ของฝรั่งเศสด้วย
Voyager Golden Record คืออีกสิ่งที่ Golden Voyager ได้แรงบันดาลใจมา มันคือแผ่นเสียงสีทองสองแแผ่นเหมือนกัน บนยานอวกาศวอยยาจเจอร์ 1 และ 2 ซึ่งทั้งสองลำถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจนอกโลกเมื่อปี 1977 ตัวแผ่นเสียงนี้บันทึกเสียงและภาพที่คัดสรรมาแล้วเพื่อแสดงถึงความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตและอารธรรมบนโลก มีเอาไว้สำหรับเป็นสิ่งที่จะสื่อสารเผื่อว่ายานอวกาศนี้จะได้พบกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกอันชาญฉลาด เป็นดั่งแคปซูลกาลเวลา
เนื้อหาภายในประกอบด้วยรูปภาพ 116 รูปที่ได้รับการคัดเลือกโดยคณะกรรมการที่นำโดย คาร์ล เซเกน นักดาราศาสตร์ชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ โดยในส่วนของเสียงนอกจากจะเป็นเสียงธรรมชาติต่าง ๆ ยังมีเสียงดนตรีที่คัดเลือกมาจากหลากหลายวัฒนธรรมแล้วยังมีเสียงสัตว์ เสียงฝีเท้า เสียงหัวเราะ รวมถึงคำทักทายใน 59 ภาษา ซึ่งในบรรดานี้มีภาษาไทยด้วย คือประโยคว่า “สวัสดีค่ะ สหายในธรณีโพ้น พวกเราในธรณีนี้ขอส่งมิตรจิตมาถึงท่านทุกคน” เจ้าของเสียงถูกบันทึกว่าชื่อ Ruchira Mendiones ซึ่งเราพบว่าในปี 2018 มีกระทูพันทิป สืบค้นว่าเธอคือใคร https://pantip.com/topic/37957130 เราขอสรุปให้ว่า เธอมีชื่อเดิมว่า รุจิรา ชินพงศ์ เป็นศาสตราจารย์ด้านภาษาไทยในสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ เกิดเมื่อปี 1918 เป็นนิสิตอักษร จุฬา รุ่นที่ 8 ภายหลังแต่งงานกับสามีชาวฟิลิปินส์ ก่อนจะย้ายไปอยู่นิวยอร์ก อันแปลว่าขณะที่เธอบันทึกเสียงทักทายมนุษย์ต่างดาวนี้เธอมีอายุ 59 ปี ส่วนใครอยากจะรู้ว่าภายในแผ่นเสียงนี้มีภาพและเสียงอะไรบ้างสามารถดูได้ตามคลิปด้านล่างนี้เลย
ยานวอยยาจเจอร์หลุดออกนอกระบบสุริยะจักรวาลไปตลอดกาลเมื่อปี 2012 ซึ่งเว็บ Spaceth ได้ระบุว่า ‘ที่ผ่านมายานวอยยาจเจอร์ได้เดินทางออกจากนอกระบบสุริยะไปตลอดกาลสู่ช่องว่างอวกาศระหว่างดวงดาว ในสภาวะสุญญากาศของอวกาศนั้นไร้ซึ่งลมหรือของเหลวใด ๆ ที่จะมากัดเซาะหรือสร้างความเสียหายให้กับตัวยานวอยยาจเจอร์และบันทึกทองคำได้ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่บันทึกทองคำจะอยู่รอดในอวกาศเป็นเวลาหลายพันล้านปี’
โดยยานทั้งสองลำยังคงล่องลอยอยู่ในอวกาศ ในส่วนของวอยยาจเจอร์ 1 เมื่อปี 2017 นาซาประสบความสำเร็จในการยิงจรวดเพื่อควบคุมแก้ไขวิถีของยานเป็นครั้งแรก ทำให้ยานนี้จะอยู่บนนั้นไปได้อีกถึงอย่างน้อยปี 2025 และตัวยานเองมีอายุการใช้งานได้นานถึงปี 2030 ด้วยเครื่องกำเนิดเทอร์โมอิเล็กทริกรังสีไอโซโทป (RTG) ของยานนี้อาจจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอที่มันจะส่งคืนข้อมูลทางวิศวกรรมกลับมายังโลกได้ไปจนถึงปี 2036
ขณะที่วอยยาจเจอร์ 2 ปัจจุบันยังคงติดต่อกับโลกผ่านทางเครือข่ายห้วงอวกาศของนาซา ด้วยเสาอากาศสื่อสารที่ส่งไปยังฐานแห่งหนึ่งในออสเตรเลียที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองแคนเบอร์รา และปัจจุบันนี้ถือว่ายานวอยยาจเจอร์ 1 เป็นวัตถุเดียวที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ยังคงอยู่ในห้วงอวกาศแล้วออกไปได้ไกลจากโลกมากที่สุดอีกด้วย
Nike
ในระหว่างพิธีปิดได้ปรากฏประติมากรรมหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า Winged Victory of Samothrace เธอคือเทพีไนกี้ แห่งซาโมเทรซ เราขอเล่าถึงเทพีไนกี้ก่อนก็แล้วกัน และใช่แล้วนางคือที่มาของแบรนด์รองเท้ากีฬาชื่อดัง เพราะนางคือเทพีแห่งชัยชนะ ใครสายมูที่อยากจะประกวดหรือแข่งขันอะไร ให้บูชานางได้เลย เพราะนางไม่ใช่แค่เทพีแห่งชัยชนะสำหรับนักกีฬาเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงศิลปะ ดนตรี กรีฑา และชัยชนะในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งเธอปรากฎอยู่บนเหรียญรางวัลโอลิมปิกด้วย และไม่ใช่เพิ่งจะมามีในปีนี้ แต่อยู่มาทุกปีนับตั้งแต่โอลิมปิกยุคใหม่ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1986 ที่ออกแบบโดยประติมากรชาวฝรั่งเศส ชูลส์-เคลมงต์ ฌาปลัง แม้รูปลักษณ์ของเธอจะเปลี่ยนไปในบางปี แต่เรายังสามารถอนุมานได้ว่าเป็นเธอจากลักษณะเฉพาะคือมีปีและถ้าไม่ถือช่อมาลามะกอก ก็จะถือใบปาล์ม หรือแตรยาว อันเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ
ในมหากาพย์ Titanomachy หรือสงครามแห่งไททัน ตามตำนานของเฮสิโอด (เทพปกรณัมกรีกมีผู้แต่งกันหลายคนและตำนานก็ต่างกันไป) อันเป็นการต่อสู้ของเหล่าทวยเทพ มหาสงครามโค่นล้มบัลลังก์พ่อตัวเอง คือเดิมทีเชื่อกันว่าจักรวาลเกิดจากความว่างเปล่าอันมืดมิด ก่อนจะกำเนิดเทพดึกดำบรรพ์องค์แรกขึ้น ก็คือเคออส (Chaos) “ความโกลาหล” รากภาษากรีก เคออสมีความหมายว่า “ความว่างเปล่าอันเวิ้งว้าง, รอยปริแตกแยก” เคออสมีลักษณะเป็นหลุมลึกไร้ก้นที่หากอะไรตกลงไปก็จะร่วงลงไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด ปราศจากทิศทาง เป็นพื้นที่ว่างแยกและคั่นกลางระหว่างโลกกับท้องฟ้าออกจากกัน
ก่อนจะเกิดเทพชุดแรกอีกหลายองค์ที่มีตัวหลัก คือ ไกอา (โลก) กับ ท้องฟ้า (ยูเรนัส) ซึ่งแต่เดิมแยกจากกัน ตำนานของเฮสิโอดเล่าว่ายูเรนัสเป็นทั้งลูกและผัวของไกอา สองเทพนี้สมรักกันด้วยฝีมือของอีรอส (“ความใคร่” ยุคหลังถูกแทนภาพด้วยเทวดาถือธนูที่เรารู้จักกันในชื่อ “คิวปิด”) ด้วยเหตุผลว่า “ผืนดินนั้นมองฟ้าทุกวัน อีรอสจึงแผลงศรให้ทั้งสองรักกัน” ทั้งคู่ให้กำเนิดเทพไททันรุ่นแรกเป็นยักษ์บ้าง เป็นปีศาจอัปลักษณ์บ้าง 12 ตน ซึ่งทั้งหมดถูกยูเรนัสนำไปซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งในไกอา (ก็คือซ่อนไว้ในโลก หรือซ่อนไว้ในร่างกายของไกอาเอง / แต่บางตำนานว่ายูเรนัสจับพวกเขาไปขังไว้ยังนรกขุมลึกที่สุดเรียกว่า “ทาร์ทารัส”) ทำให้ไกอาโกรธ นางจึงเสกเคียวอะดาเมนไทน์ขึ้นมาแล้วไปปลุกระดมให้ลูก ๆ ของนางขืนขึ้นสู้พ่อตนเอง แต่ไม่มีใครกล้า ยกเว้นเพียงลูกชายคนสุดท้อง “โครนัส” (ดาวเสาร์ ต่อมาเป็นผู้นำแห่งไททัน)

แล้วขณะที่ยูเรนัสกำลังจะร่วมหลับนอนกับไกอา โครนัสก็เอื้อมมืออกมาจากไกอา ตวัดเคียวนั้นตัดพวงกระปู๋ของพ่อตนเองทั้งยวงแล้วเหวี่ยงโยนลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน [เลือดและอสุจิจากกระปู๋ยูเรนัสที่ขาดวิ่นพอตกทะเลก็ผุดขึ้นมาตรงชายฝั่งไซปรัสกลายเป็น เทพีอะโฟรไดท์ (ฟองสมุทร ความรัก กามราคะ) ชื่อของนางในโลกปัจจุบันชื่อของเธอเป็นที่มาของคำว่า “ยาเสียสาว” (Aphrodisiac) ในยุคโรมันเธอทำงานคู่กับ วีนัส (ความลุ่มหลง) บ้างก็ว่าจริง ๆ แล้ววีนัสคือชื่อละตินของนางเองนั่นแหละ และวีนัส นามนี้เป็นที่มาของคำว่า “กามโรค” (Venereal)]
ทันใดนั้นโครนัสก็จับพ่อตัวเองไปขังไว้ที่ทาร์ทารัสอย่างรวดเร็ว พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินทำให้เหล่าเทพไททันสามารถขึ้นมาปกครองบนภูเขาโอธริสได้ แล้วโครนัสน้องเล็กสุดก็ขึ้นควบคุมอำนาจสูงสุดแห่งจักรวาล [บางตำนานมีเทพอีกองค์เรียกว่า โครนอส (กาลเวลา) ซึ่งเป็นคนละองค์กับโครนัสคนนี้ แต่ในสมัยโรมยุคหลัง ความเชื่อนั้นเปลี่ยนไปพบว่า โครนัสกับโครนอส คือเทพองค์เดียวกันในตำนานบางท้องที่] หลังจากหั่นไข่ตอนพ่อตัวเองเสร็จ ยังไงไม่รู้ นี่อ่านไปก็งงไปเหมือนกันว่าเฮสิโอดเอาหินเอาแดดจากไหนมาแต่งเรื่อง จู่ ๆ ไกอาก็เตือนโครนัสว่าวันใดที่เขามีลูก เขาก็จะถูกโค่นบัลลังก์เช่นเดียวกันกับพ่อ (เดี๋ยวนะ! หล่อนปลุกปั่นลูกตัวเอง แล้วสาปลูกตัวเองเพื่อ?) แล้วแม่ไกอาก็ยก รีอา ลูกสาวของตัวเองผู้เป็นพี่สาวของโครนัสนั่นแหละให้เป็นเมียโครนัส
รีอา มีลูกกับโครนัส 6 คน ซึ่งทุกคนล้วนถูกโครนัสจับกินหมด เพราะกลัวคำทำนายของไกอา ยกเว้นคนสุดท้อง รีอาเธอเอาหินแม็กนีไทต์มาห่มผ้าหลอกให้โครนัสเขมือบแทน แล้วเหาะพาลูกไปซุกไว้ยังเกาะครีต สุดท้ายลูกคนเล็กนั้นเติบโตกลับมาโค่นโครนัสลง แล้วทำให้โครนัสอ้วกออกมาด้วยมัสตาร์ดกับไวน์ พี่ ๆ ของเขาที่เคยถูกกลืนลงไปบัดนี้โตแล้วก็รอดกลับมาได้ทั้ง 5 คน
ซึ่งน้องคนสุดท้องที่ว่านี้ก็คือ “ซุส (สายฟ้า)” เทพผู้ครองโอลิมปัสนั่นเอง ส่วนเหล่าพี่ ๆ ที่ถูกอ้วกกลับออกมาก็คือเทพเจ้าโอลิมเปียรุ่นแรก อันได้แก่ โพไซดอน (ทะเล), เฮเดส (ยมโลก), ดีมีเทอร์ (การเก็บเกี่ยว), เฮสเทีย (เตาไฟ), เฮร่า (การสมรส) ต่อมาซุสได้กันกับพี่สาวตัวเองคือดีมีเทอร์ มีลูกชื่อว่าเพอร์เซโฟนี (ฤดูกาล) มีอยู่ตำนานนึงโหดมากเขียนว่าซุสได้กับรีอาแม่ตัวเอง ทว่าตำนานส่วนใหญ่เชื่อกันว่า เมียที่แท้ทรูของซุสคือเฮร่า
[อย่างไรก็ตามสำหรับซุสแล้วไม่มีคำว่าเมียที่แท้ทรู เพราะรู้กันทั่วโอลิมปัสว่าซุสเป็นนักเย็บ ไม่มีอะไรในโลกที่ซุสยังไม่เคยเย็บ และเย็บได้ทุกเพศ ไม่ว่าคน เทพ วัว หงส์ นกยูง ซุสเย็บตะพึดตะพือมาแล้ว เย็บไปเหาะข้ามประเทศไปก็เคยมาแล้ว ใครสายมูสายเย็บต้องหาเทพซุสมาบูชาแล้วมั้ย แต่ถามว่าถูกจับได้มั้ย ตอบได้เลยไม่เคยมีครั้งไหนเฮร่าจับไม่ได้ เฮร่าได้ชื่อว่าขี้หึงมาก ตามไปราวีอิบรรดาพวกที่ถูกซุสเย็บทุกรายไป นี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเฮร่าไม่สาปผัวตัวเองแทนจะได้ไม่ต้องเที่ยวไปเย็บใครอีก ความหึงของเฮร่าร้ายกาจมาก ไม่แค่ทำชีวิตคนอื่นพัง บางทีพาลพินาศวอดวายกันทั้งเมืองทั้งโคตรเหง้าแม่ก็ทำมาแล้ว]
ลากมาเสียยาว แล้วเทพีไนกี้จะโผล่มากี่โมง ตรงนี้ต้องวกกลับไปที่สงครามกับไททัน Titanomachy ที่เล่าค้างเติ่งเอาไว้นั้น คือพอซุสปลดปล่อยพี่ ๆ ตัวเองเสร็จ เขาก็ลงไปยังใต้ผืนไกอา (โลกพิภพ) เพื่อช่วยปลดปล่อย ยักษ์ห้าสิบหัว เฮคาตอนชีร์ กับยักษ์ตาเดียว ไซคลอปส์ (ทั้งสองเป็นลูกของยูเรนัสกับไกอาที่ถูกยูเรนัสเอาไปซ่อนไว้) สองตนนี้มาร่วมผนึกกำลังกับทีมซุส เพื่อต่อสู้กับเทพไททันยุคเก่า แต่ในบรรดาเทพไททันก็มีบางคนที่แปรพักตร์หันมาเป็นพันธมิตรกับซุส เช่น โพรเมธีอุส (ไฟ ความรู้) และเทพีเทมิส (ความยุติธรรม-สัญลักษณ์ที่ฝรั่งใช้กันในศาล)
ระหว่างสงครามนี้เอง ซุสได้เรียกเทพเจ้าทั้งหมดมายังโอลิมปัสเพื่อตัดสินความจงรักภักดี โดยประกาศว่าใครจะให้ความร่วมมือในการโค่นโครนอส ซุสจะมอบเกียรติและความโปรดปรานให้คืนแก่ผู้นั้น ซึ่งทีมแรกที่เข้ามาคือเทพีสแต็กซ์ (แม่น้ำสู่ยมโลก) กับลูก ๆ ของเธอ 4 คน คือ ไนกี้ (ชัยชนะ), เซลัส (ความทะเยอทะยาน), กราตอส (ความแข็งแกร่ง) และเบีย (อำนาจ) ซุสจึงมอบคำอำนวยพรอันยิ่งใหญ่จากเหล่าทวยเทพแก่เทพีสแต็กซ์ ส่วนลูก ๆ ของเธอจะได้รับความโปรดปรานชั่วนิรันดร์ 4 คนนี้จึงอยู่เคียงข้างซุสอย่างหนักแน่นตลอดกาล และชัยชนะจึงเป็นของซุสเสมอ
[ใจใฝ่ต่ำของเราก็ตั้งคำถามว่า ถ้าไนกี้เธออยู่กับซุสตลอดเวลา เธอจะเคยโดนนักเย็บในตำนานอย่างซุสเย็บบ้างมั้ยนะ แล้วอิ 4 พี่น้องนี่จะต้องตามซุสไปทุกทีเลยหรอ ตอนอึตอนฉี่ตอนปี้คงวุ่นวายกันหน้าดู แต่อันที่จริงตำนานเหล่านี้เป็นดังภาพเปรียบเทียบในลักษณะบุคคลาธิษฐาน (Personification) คือ สร้างสิ่งที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาให้มีตัวตน หรืออีกนัยหนึ่งคือการจุติของเทพให้มีรูปลักษณ์อย่างมนุษย์เพื่อให้คนเราเห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น]สงครามกินเวลาสิบปีจบลงด้วยชัยชนะของทีมซุส แล้วฝังกลบไททันบางตนไว้ที่ทาร์ทารัส บางตนก็ถูกลงโทษ เช่น แอตลาส เล่าอย่างนี้ก่อนว่าปัจจุบันมีตำนานที่ถูกเข้าใจผิด คิดว่าแอตลาสถูกลงโทษให้ไปแบกโลก ต้องเข้าใจก่อนว่ายุคนั้นไม่เคยมีความเชื่อว่าโลกกลมมาก่อนเลย ซึ่งความเชื่อที่ผิดนี้เกิดมาจากภาพวาดที่มักจะให้แอตลาสแบกอะไรบางอย่างที่เป็นทรงกลมที่หลายคนตีความว่าคือโลก ทว่าจริง ๆ แล้วมันคือท้องฟ้า เนื่องจากซุสลงโทษให้แอตลาสไปสุดขอบโลกด้านตะวันตกแล้วชูท้องฟ้าเอาไว้บนบ่า ซึ่งฟ้าสวรรค์ในคติกรีกมีสัณฐานกลม แล้วนับแต่นั้นแอตลาตก็กลายเป็นแกนแห่งสรวงสวรรค์
บางตำนานเชื่อว่าไนกี้กับ อะธีนา (เทพีแห่งสงคราม ความรอบรู้ และหัตถกรรม) เป็นคนเดียวกัน ขณะที่บางตำราว่าเป็นคนละคน ของเฮสิโอดอ้างว่าไนกี้เป็นธิดาของพัลลาส (เทพแห่งสงคราม) ทว่าตำราของโฮเมอร์อ้างว่า อาเรส ต่างหากที่เป็นเทพแห่งสงคราม และเขาเป็นพ่อของไนกี้
จริง ๆ แล้วหากเราเรียกชื่อของไนกี้ในแบบชาวโรม เราจะร้องอ๋อทันทีเลยว่าทำไมเธอจึงเป็นเทพธิดาแห่งชัยชนะ เพราะในสมัยโรมัน พวกเขาเรียกไนกี้กันว่า “วิกตอเรีย” อันเป็นที่มาของ ชัยชนะ (Victory) นั่นเอง
ไนกี้ปรากฏในวรรณกรรมอีกหลายชิ้นในฐานะเทพธิดาผู้ตัดสินความเป็นเลิศของเทพเจ้ากับมนุษย์ในการแข่งขันด้านทักษะต่าง ๆ ในงานศิลปะเธอมักจะถูกสร้างให้มีปีก ถือสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ เช่น มาลาช่อมะกอก ใบปาล์ม หรือแตรประกาศชัยชนะ และให้ร่างกายของเธอโน้มพุ่งไปข้างหน้า หรือมองลงมายังมนุษย์
ส่วนประติมากรรม Winged Victory of Samothrace นั้น เป็นอนุสรณ์คำปฏิญาณที่พบครั้งแรกบนเกาะซาโมเทรซทางตอนเหนือของทะเลอีเจียน เป็นประติมากรรมจากยุคเฮเลนิสติก (323-146 ปีก่อนค.ศ.) ซึ่งชิ้นนี้คาดว่าน่าจะมีอายุในช่วง 190 ปีก่อนค.ศ. เป็นรูปปั้นที่เป็นตัวแทนของเทพีไนกี้ ที่ส่วนของศรีษะและแขนหายไป ตั้งอยู่บนฐานรูปหัวเรือ ความสูงจริงรวมฐานแล้ว คือ 5.57 เมตร หากไม่รวมฐานตัวเธอจะสูง 2.75 เมตร ปัจจุบันจัดแสดงอยู่บนบันไดโถงหลักของพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ มาตั้งแต่ปี 1884
ในโลกปัจจุบันสำนักข่าว Greek Reporter เมื่อสิงหาคม 2013 เคยมีรายงานว่า ‘ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของลูฟว์ในปารีสกำลังระดมเงินอีก 1 ล้านยูโรเพื่อปรับปรุงประติมากรรมอันโด่งดังนี้ที่ถูกชาวฝรั่งเศสขโมยไปจากเกาะกรีกในศตวรรษที่ 19 กรีซจึงต้องการจะขอคืน อาคิส เจรอนโดปูลอส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศกรีกกล่าวว่า “หากฝรั่งเศสและลูฟว์มีปัญหา เราก็ขอยืนยันว่าต้องการจะนำกลับคืนมาเพื่อรักษาเป็นสมบัติของชาติ” กรีกให้ข้อมูลว่า ชิ้นส่วนหินอ่อนจากวิหารพาร์เธนอน ภาพสลักที่ถูกขโมยไปจากกลุ่มวิหารอะโครโพลิส รวมถึงรูปปันนี้เมื่อเกือบ 200 ปีก่อน นับเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของโลก ทว่าฟากฝรั่งเศสกล่าวว่าผลงานชิ้นเอกเหล่านี้มาจากยุคกรีกโบราณ และอารยธรรมกรีกก็ล่มสลายไปนานแล้ว สิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่ของประเทศกรีซ และว่ากรีซไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไร
การขโมยประติมากรรมนี้เกิดขึ้นในปี 1863 เมื่อรักษาการหัวหน้ากงสุลฝรั่งเศส ชาร์ลส์ ชองโปซีโซ (1830-1909) ดำเนินการสำรวจซากปรักหักพังของสถานศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าบนเกาะซาโมเทรซตั้งแต่ 6 มีนาคม-7 พฤษภาคม 1863 ระหว่างช่วงเวลานั้นเอง ในวันที่ 13 เมษายน เขาได้ค้นพบบางส่วนของรูปปั้นนี้ กับมีบล็อกหินอ่อนสีเทาขนาดใหญ่ 15 บล็อก เขาตัดสินใจทิ้งบล็อกสีเทาเอาไว้ ก่อนจะส่งชิ้นส่วนของรูปปั้นที่แตกออกเป็น 3 ส่วนไปยังลูฟว์
การบูรณะรอบแรกเกิดขึ้นในปี 1864-1866 แล้วออกจัดแสดงในสภาพแตกหักทั้งอย่างนั้นในลูฟว์เมื่อปี 1880 ต่อมาชองโปซีโซกลับไปยังเกาะซาโมเทรซอีกครั้งหนึ่งในช่วงวันที่ 15-29 สิงหาคม 1879 เพื่อนำบล็อกสีเทาเหล่านั้นกลับมาประกอบเป็นฐานรอง แล้วนำตัวฐานมาประกอบกัน
ต่อมาในช่วง 1880-1883 แผนกโบราณวัตถุของลูฟว์ตัดสินใจสร้างแบบจำลองขนาดเต็มขึ้นมา แล้วประกอบชิ้นส่วนทั้งหมดตามแบบจำลองนั้น ในช่วงประหว่างปี 1880-1883 แล้วเติมเต็มส่วนประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยปูน เช่นส่วนเข็มขัด แต่ยังคงทิ้งรอยแตกหักของส่วนหัว แขน และเท้าเอาไว้ ทั้งหมดถูกจัดประกอบกันแล้วตั้งเอาไว้ที่ลูฟว์อย่างที่เห็นกันมาจนทุกวันนี้ (จริง ๆ แล้วในปี 1891 ชองโปซีโซ กลับไปอีกครั้งเพื่อจะค้นหาส่วนหัว แต่ไม่สำเร็จ)
เหตุใดรูปปั้นสมัยกรีกหรือโรมันจำนวนมากหัวหักหรือแขนขาด
เว็บไซต์ YouFineArtandSculture อธิบายว่า ‘เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพวกกรีกโรมันสร้างรูปสลักเหล่านี้ขึ้นมาอย่างไร กล่าวคือศิลปินจะสร้างส่วนลำตัวและขาขึ้นมาก่อน แล้วท้ายที่สุดจึงจะนำท่อนแขนและศรีษะไปประกอบเข้าด้วยกัน คือมันถูกสร้างแยกจากกันตั้งแต่แรก ด้วยการออกแบบให้ช่วองข้อต่อเหล่านั้นมีหมุดและลูกเดือย อาจจะทำจากโลหะ หรือหิน บางกรณีมีการยาแนวปูนเข้าไปช่วยยึดด้วย
ดังนั้นเมื่อมันถูกตั้งประดับอยู่ตามวิหารต่าง ๆ หรือลานโล่ง ที่อาจมีพายุ แผ่นดินไหว น้ำท่วม หรือแม้แต่สงคราม หรือการทำลายล้างโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ อาจเป็นการโค่นล้มอำนาจกษัตริย์องค์ก่อน หรือโค่นล้มความเชื่อทางศาสนาเก่า เหล่านี้มีส่วนทำให้มันแตกหัก และหัวกับแขนมักจะเป็นส่วนแรก ๆ ที่หักเนื่องจากมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นชิ้นเดียวกันตั้งแต่แรก

เว็บไซต์นี้ยังอธิบายต่อไปถึงสาเหตุด้วยว่าทำไมพวกกรีกโรมันจึงสร้างแยกจากกัน ‘ในความเป็นจริงหากประติมากรรมของ วีรบุรุษ กษัตริย์ ผู้มีชื่อเสียง สูญเสียอำนาจ โดนโค่นบัลลังก์ หรือถูกตราหน้าว่าเป็นทรราชย์เนื่องจากข่มเหงรังแกประชาชน ก็มักจะถูกทุบทำลายใบหน้า พวกเขาจึงทำให้ส่วนศรีษะถอดออกได้ เพื่อเปลี่ยนมันแทนที่ด้วยวีรบุรุษคนใหม่คนอื่นเข้าไปแทน
เช่น กรณีประติมากรรมจักรพรรดิโรมัน ที่ตั้งอยู่ ณ โรงละครโรมันแห่งออเรนจ์ ในฝรั่งเศส จะมีการเปลี่ยนส่วนหัวทุกครั้งเมื่อจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ไปจนถึงกรณีที่เรียกกันว่า Damnatio Memoriae (การลงทัณฑ์ทางความทรงจำ) หากมีวีรบุรุษ หรือกษัตริย์องค์ใดประพฤติชั่วต่อประชาชน กลายเป็นเผด็จการเหี้ยมโหดหรือทรราชย์ เป็นที่เกลียดชัง ชาวโรมันจะทุบทำลายใบหน้าของรูปปั้นนั้นเสีย บ่อยครั้งจะพบส่วนจมูกที่แตกหัก ใบหน้าเสียโฉมอันเป็นการประจนเพื่อให้อับอาย ตลอดจนเมื่อมีการโค่นบัลลังก์ กษัตริย์องค์ใหม่จะลบความทรงจำเกี่ยวกับบรรพบุรุษเก่าลงด้วยวิธีนี้