ย่านอโศก เมืองแห่งความท้าทายและโอกาสเผชิญโลกร้อน

กฤษฎา บุญชัย

แม้ปัญหาโลกร้อนที่จะเป็นรับรู้มากขึ้น แต่สังคมไทยยังขาดความเข้าใจวิถีชีวิตวัฒนธรรมของเมืองจากผู้คนตัวเล็ก ๆ ในการเผชิญผลกระทบและปรับตัวโลกร้อน ตลอดจนปัญหาความไม่เป็นธรรมสภาพภูมิอากาศที่พวกเขาได้รับ ผู้เขียนจึงขอนำเสนอวิถีเมืองกับโลกร้อนในย่านที่เติบโตที่สุดของกรุงเทพฯ และประเทศไทย นั่นคือ “ย่านอโศก สุขุมวิท และมะกะสัน” ที่อยู่ในภูมิทัศน์เมืองร่วมกัน

ก่อนที่จะเป็นภาพย่านที่เราคุ้นเคยซึ่งมีทั้งรถไฟฟ้าสายแรก ๆ มีห้างสรรพสินค้า โรงแรม 5 ดาว และย่านที่พักอาศัยของคนต่างชาติ ตลอดจนที่ตั้งของสถานฑูตต่าง ๆ ย่านแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของ “ทุ่งบางกะปิ” ตำนานของขวัญกับเรียม จากนิยายเรื่องแผลเก่า ประพันธ์โดยไม้เมืองเดิม

แทบไม่น่าเชื่อว่าดินแดนแห่งเมืองทันสมัย เคยเป็นพื้นที่ป่าชุ่มน้ำ (wetland) ที่มีดิน น้ำอุดมสมบูรณ์ มีทุ่งนา ป่า บึง คลอง และหนองน้ำ อุดมไปด้วยสัตว์นานาชนิด เช่น นกทุ่งนาชนิด ปลาหลายสายพันธุ์ สัตว์เลื้อยคลาน พื้นที่ของทุ่งครอบคลุมเขตพื้นที่ปัจจุบันได้แก่ เขตวัฒนา ห้วยขวาง บางกะปิ สะพานสูง มีนบุรี คลองสามวา เป็นต้น และเป็นพื้นที่ชนบทแรก ๆ ที่เมืองขยายตัวมาถึง

ชุมชนแรก ๆ เกิดที่นี่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ชาวมลายูถูกกวาดต้อนมาเป็นแรงงานในย่านชานเมืองพระนคร และมาตั้งบนที่ดอน จนเป็นชื่อเรียก “บ้านดอน” ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 นับได้ว่าเป็นชุมชนเก่าแก่ที่สุดที่มาปักหลักทำนา ทำสวน ค้าขาย และก็เป็นช่วงใกล้เคียงกับการขุดคลองแสนแสบเพื่อเป้าหมายทางการลำเลียงทางทหารตั้งแต่รัชกาลที่ 3 คลองแสนแสบจึงเป็นทั้งเส้นทางคมนาคมและเป็นคลองชลประทานไปในตัว ทำให้เกิดการขยายพื้นที่นาในบริเวณนั้นอย่างกว้างขวาง ชาวบ้านดอนเคยเล่าให้ฟังว่า เคยเป็นพื้นที่เลี้ยงวัว ควายมาก่อน และเรื่องราวของขวัญกับเรียมซึ่งบ่งบอกวิถีชนบทกึ่งเมือง ก่อนที่จะกลายเป็นเมืองในเวลาต่อมา

และแล้วเมืองหลากวัฒนธรรมก็เริ่มขึ้น ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มิชชันนารีชาวอเมริกันมาก่อตั้งโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย โรงเรียนสตรีแห่งแรกในปี 2447 ต่อมาปี 2460 ก็เริ่มสร้างถนนสุขุมวิท ตามมาด้วยขยายรถไฟ เกิดชุมชนรถไฟมักกะสันในปี 2473 ทำให้แรงงานจากที่ต่าง ๆ ก็หลั่งไหลมาทำงานกับรถไฟและเกิดเป็นชุมชนที่นั่นสืบมา และในปี 2475 ก็ได้มีก่อตั้งสำนักงานถาวรของสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ในย่านอโศกมนตรี เพื่อส่งเสริมการค้นคว้าด้านศิลปศาสตร์และธรรมชาติวิทยาของไทยและประเทศใกล้เคียง

ทุ่งบางกะปิได้เปลี่ยนเป็นเมืองเป็นแห่งแรก ๆ ของกรุงเทพฯ เมื่อเส้นทางถนนขยายตัวมาแทนที่ลำคลอง ทั้งถนนลาดพร้าว รามคำแหง เพชรบุรีตัดใหม่ และเมื่อสงครามเวียดนาม ทหารจีไอก็เข้ามาพักอาศัยย่านสุขุมวิท อโศก นานา เกิดร้านอาหาร ผับ บาร์ อพาร์ตเมนต์เติบโตอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยคอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า สถานฑูตต่าง ๆ และล่าสุดโครงการรถไฟฟ้า BTS ก็ตัดผ่านสุขุมวิทเป็นพื้นที่แรก ๆ ในปี 2542

จากทุ่งบางกะปิที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำภาคกลาง อุดมด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและพื้นที่ความมั่นคงอาหาร ก็ได้กลายเป็นเมืองอันคับคั่งไปแล้ว ยิ่งทำให้ชีวิตของเมืองที่ความหลากหลายมากขึ้น ทั้งชุมชนเก่าแก่อย่างชุมชนสุเหร่าบ้านดอน ชุมชนรถไฟมักกะสันที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน กลุ่มศาสนาอื่น ๆ เช่น กลุ่มศาสนาคริสตจักรภาคที่ 1 สมาคมนามธารีแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นนิกายสำคัญของซิกซ์ย้ายมาจากเยาวราชมาตั้งที่นี่ในทศวรรษ 2520 และยังมีคนต่างชาติที่มาพักอาศัย ทำงาน มีคนชั้นกลางเก่าแก่ที่ปักหลักอยู่อาศัยกว่า 50 ปี มีพนักงานออฟฟิศที่เข้ามาทำงาน รวมไปถึงร้านอาหาร แม่ค้าในตลาดอโศก วินมอเตร์ไซด์ นักเรียนนักศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่พื้นที่อื่น แต่เข้ามาทำงานในทำเลทองแห่งนี้

ในความหลากหลาย ซับซ้อนของเมือง การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเห็นได้ชัดเจน ไม่มีทุ่งอีกแล้ว พื้นที่สีเขียวตามธรรมชาติก็ถูกแทนที่ด้วยพื้นที่เศรษฐกิจการค้า

คลองแสนแสบกลายเป็นคลองระบายน้ำเสียหรือกลายเป็นน้ำครำ (ชาวมุสลิมบ้านดอนเรียกว่า “น้ำจา”) ถูกใช้รับมือกับภาวะน้ำท่วม และเป็นเส้นทางคมนาคม คลองถูกจัดระเบียบด้วยคอนกรีตริมคลองตลอดสองฝั่ง ชีวิตชุมชนคลองเหลือแต่เพียงเส้นทางวิ่งของเรือด่วนที่แผดเสียงดัง และปล่อยควันจากเครื่องยนต์

การเกิดขึ้นของตึกสูงจำนวนมาก ตามมาด้วยการจราจรคับคั่งได้บีบให้พื้นที่สีเขียวหดหายไป เหลือแต่เพียงสวน สนามหญ้าของศาสนาสถาน เช่น กุโบว์ (หลุมฝังศพของคนมุสลิม) ในรั้วโรงเรียนวัฒนวิทยาลัย และในที่อยู่อาศัยของคนมีฐานะ พื้นที่สีเขียวในย่านอโศกจึงมีสภาพเป็นเกาะพื้นที่สีเขียวน้อยนิด ที่ประชาชนหาเช้ากินค่ำไม่สามารถเข้าถึงได้มากนัก จะมีก็หย่อมต้นไม้ริมถนน ริมคลองที่ยังหลงเหลือให้เป็นร่มเงาของวินมอเตอร์ไซด์ ศูนย์เด็กเล็กฯลฯ ในท่ามกลางแดดอันแจดจ้าและฝุ่นควันที่มืดมัว

การพื้นที่สีเขียวหายไป ได้ส่งผลกระทบไปถึงสรรพชีวิตตามธรรมชาติของเมือง เช่น นก ที่เคยมีต้นไม้เกาะพักพิงก็ต้องมาเกาะตามเสาไฟฟ้า จำนวนและชนิดของนกก็ลดไปมาก สัตว์อื่น ๆ เช่น ตัวเงินตัวทองก็ยังพอมีอยู่ริมคลองแสนแสบ

สภาพตึกสูงระฟ้าที่เบียดเสียดกัน ประกอบกับพื้นที่ถนนได้กลายเป็นแหล่งกักเก็บความร้อนและฝุ่นควันไว้ในเมือง และสภาพพื้นที่แออัดยามเมื่อฝนตกหนักเกินกว่าระบบระบายน้ำจะเอาอยู่ ทำให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายครั้ง จนต้องระบายลงคลองแสนแสบเตรียมที่พร่องน้ำไว้รอระบาย

ทั้งแม่ค้า วินมอเตอร์ไซด์ ชุมชนรถไฟ หรือชุมชนสุเหร่าบ้านดอนต่างบอกตรงกันว่า อโศกร้อนขึ้นมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หลายคนเริ่มทนไม่ไหวทั้งภาวะอากาศ เศรษฐกิจ เช่น แม่ค้าในตลาดอโศกบางคนกำลังจะเลิกค้าขายที่นี่ แต่บางคนที่รู้สึกคุ้นชินกับความร้อนไปแล้ว ชาวบ้านต่าง ๆ ในย่านต่างพากันสันนิษฐานถึงสาเหตุทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้น เช่น ความร้อนจากรถยนต์ แอร์ ความเป็นเมืองคอนกรีตที่ไม่มีพื้นที่สีเขียว แล้วพวกเขาจะปรับตัวอะไรได้บ้าง

ชุมชนสุเหร่าบ้านดอนที่เก่าแก่ที่สุด ก็พยายามดูแล ปลูกต้นไม้ในกุโบว์ รักษาพื้นที่สีเขียว จัดการแยกขยะในครัวเรือน ชุมชน และใช้ชีวิตให้สมถะตามแนวทางศาสนา เช่นเดียวกับชุมชนนามธารีซึ่งบริโภคอาหารมังสวิรัติที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำอยู่แล้ว และยังใส่เสื้อขาวที่ไม่ดูดความร้อนจากแดด แต่หลายคนเริ่มขับรถมาร่วมพิธีศาสนาแทนการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ

ชุนชนช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างชุมชนรถไฟมักกะสันที่แม้รายได้ไม่สูงนัก แม้จะอยู่บ้านไม้ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องติดแอร์เพื่อบรรเทาความร้อน เช่นเดียวกับศูนย์เด็กเล็กชุมชนมะกะสันก็เตรียมติดแอร์ตามนโยบายห้องเรียนปลอดฝุ่นของ กทม. แม้จะแลกกับค่าไฟที่จะแพงขึ้นกว่าเท่าตัว

กลุ่มคนทำงานกลางแจ้ง เช่น วินมอเตอร์ไซด์ แม่ค้าขายของริมทาง ก็ต้องหาทางปรับเวลาทำงานจากช่วงร้อนจัดมาเป็นช่วงที่แดดร่มลมตกบ้าง แต่ส่วนมากก็ไม่มีทางเลือก จะทำได้ก็เพียงหาต้นไม้พักพิง

ขณะที่กลุ่มนักเรียนนักศึกษา คนทำงานออฟฟิค ผู้อยู่อาศัยในคอนโด ก็ใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์ ห้างสรรพสินค้า ลดการออกไปใช้ชีวิตกลางแดด ทำให้พวกเขาไม่ค่อยเห็นความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและผลกระทบต่อผู้คนมากนัก ส่วนคนชั้นกลาง หรือผู้มีรายได้สูงหลายรายปรับตัวด้วยการออกไปอยู่นอกเมือง

แม้ดูเหมือนเมืองจะไม่มีทางเลือกที่จะปรับตัวกับโลกร้อนมากนัก หรือยิ่งปรับ เช่น ติดแอร์ ขับรถ ฯลฯ ก็ยิ่งมีต้นทุนสูงและปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น แต่การช่วยดูแลกันเพื่อหาทางรอดก็บ่งบอกถึงศักยภาพวัฒนธรรมของเมืองได้อย่างมีความหวัง

นักศึกษาและผู้นำชุมชนมุสลิมบ้านดอน

ชุมชนมุสลิมบ้านดอนจัดกิจกรรมเรียนรู้โลกร้อนให้ชุมชนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยมีกิจกรรมเรียนรู้ให้กับเด็ก ๆ ได้เห็นคุณค่าของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชุมชนนามธารีแจกอาหารให้กับผู้ยากไร้ทุกสัปดาห์ และยังมีสถาบันต่าง ๆ ทั้งสยามสมาคมฯ มหาวิทยาลัย มศว.ประสานมิตร โรงเรียนวัฒนาฯ และอื่น ๆ ก็พยายามรักษาพื้นที่สีเขียว เกิดร้านอาหารที่ชูแนวคิดสีเขียว เช่น ร้านวนาคาม ที่ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้

พลังของชุมชนหากร่วมมือกันก็อาจสามารถหยุดยั้งหรือเปลี่ยนแปลงปัญหาเชิงโครงสร้างได้ เช่นเมื่อครั้งที่ชุมชนและกลุ่มทางสังคมต่าง ๆ เช่น สยามสมาคมฯ ชุมชน กลุ่มศาสนา ภาคธุรกิจ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านได้เคยรวมตัวกันเป็น “กลุ่มรักษ์อโศก” คัดค้านโครงการสร้างสะพานลอยฟ้าข้ามแยกอโศกด้วยเหตุผลกระทบสภาพวิถีชีวิต เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงสภาพแวดล้อมของชุมชนและประชาชนในพื้นที่ จนยุติไปในปี 2556 นั่นย่อมบ่งบอกว่า หากชุมชนต่าง ๆ ร่วมมือกันก็มีพลังในการปกป้องวิถีเมืองไว้ได้

ยังมีการเรียนรู้ ปรับตัวของผู้คนตัวเล็กตัวน้อยในย่านอโศกอีกมากมายที่เราไม่ได้รับรู้ พวกเขามองปัญหา ได้รับผลกระทบ และหาทางปรับตัวอย่างไร และมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การพัฒนาอีกมากมายยิ่งซ้ำเติมภาวะโลกร้อนโดยไม่ยี่หระต่อทุกข์ยากของประชาชนที่กำลังเผชิญวิกฤติโลกร้อน

นักศึกษา มศว.ประสานมิตร สัมภาษณ์แม่ค้าในตลาดอโศก

นั่นคือที่มาของโครงการส่งเสริมการเรียนรู้และการสื่อสารให้กับกลุ่มนักศึกษา มศว.ประสานมิตรในเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในมิติวัฒนธรรมชุมชนเมือง” จากความร่วมมือระหว่างสยามสมาคมฯ Thai Climate Justice for All มศว.ประสานมิตร และ Hear and Found โดยให้นักศึกษาเข้าไปสัมภาษณ์ ไปรับฟังเสียงผู้คนที่เราไม่เคยได้ยิน ไปบันทึกเสียงจากสภาพเมือง ผู้คน และธรรมชาติของเมือง ไปสัมผัสอุณหภูมิด้วยใจและวัดด้วยเทอร์โมมิเตอร์ เพื่อเข้าใจความหมายของวิถีเมืองในภาวะโลกร้อน เพื่อนำไปสู่การออกแบบการสื่อสารให้แก่ชุมชน และสังคมภายนอกได้รับรู้และเข้ามาร่วมสนับสนุนการปรับตัวของชุมชนเมือง โดยนักศึกษากำลังเตรียมที่จะแสดงผลงานการสื่อสารสู่สังคมวันที่ 18 มิถุนายนนี้ที่สยามสมาคมฯ

เพราะมีความเหลื่อมล้ำมากมายที่เรายังไม่เห็น และก็มีพลังทางวัฒนธรรมจากผู้คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวเรียนรู้ปรับตัวและมีบทบาทช่วยลดโลกร้อน และพลังของน้อง ๆ นักศึกษาจะมีส่วนร่วมสำคัญที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เมืองอโศกรับมือกับวิกฤติโลกร้อนและอื่น ๆ ได้อย่างเท่าทัน ยืดหยุ่น เข้มแข็ง

จึงเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่ใส่ใจต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอดจนการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรม จะต้องร่วมกันเสริมสร้างพลังวัฒนธรรมของเมืองอโศกให้เป็นต้นแบบของเมืองที่เกื้อกูลธรรมชาติและเป็นธรรมต่อผู้คน ก่อนที่วิกฤติโลกร้อนจะทำให้เมืองไม่น่าอยู่สำหรับวิถีเมืองได้อีกต่อไป